ตอนที่แล้วตอนที่ 43 หัวใจอิ่มเอม ฤดูใบไม้ผลิกำลังจะมาอีกครั้ง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 45  ความคิดเหมือนสายน้ำไหล

ตอนที่ 44 สินสอดที่ขโมยมา


เมื่อการหมั้นถูกยกเลิกในชนบท ตราบใดที่ครอบครัวของทั้งสองฝ่ายได้พูดคุยตกลงกันล่วงหน้า   และใช้ข้ออ้างว่าลักษณะนิสัยของเด็กทั้งสองไม่เข้ากัน ก็สามารถปกปิดเรื่องนี้ได้ แต่การถูกตบหน้าอย่างเงียบๆ แบบนี้กลับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก

ซีจื่อถูกแม่ของเขาเปิดโปงอีกครั้งต่อหน้าคนอื่น  ในขณะนี้ชายหนุ่มที่ตัวโตคนนี้กลับร้องไห้สะอึกสะอื้นก้มหน้าซ่อนหัว

หลี่เหอไม่ทันสังเกตเห็นขวดเหล้าด้านหลังซีจื่อตอนที่เดินเข้าไป ตอนนี้เขาเห็นขวดเหล้าที่ว่างเปล่าแล้วก็รู้สึกว่าซีจื่อน่าจะดื่มไปมากพอสมควร

"น้องชาย  นายต้องให้ไว้หน้าพี่ด้วย ดื่มกับพี่เถอะ" ซีจื่อพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ร้องไห้แต่ก็ยังหยุดสะอึกสะอื้นไม่ได้ เขาหันไปหยิบขวดเหล้าอีกขวดจากหลังธรณีประตูแล้วส่งให้หลี่เหอ

หลี่เหอก็รู้สึกเจ็บปวดเช่นกัน ดูเหมือนจะนึกถึงช่วงเวลาในชีวิตก่อนของเขา ตอนที่เขาไม่อยู่บ้านในฤดูหนาวที่หนาวเย็น ซีจื่อขับแทรกเตอร์ไปส่งหวังหยูหลานที่โรงพยาบาลแล้วเฝ้าห้องผู้ป่วย

เขาหยิบขวดเหล้าขึ้นมาดื่มโดยไม่พูดอะไร ดื่มไปสองอึก "พี่ซีจื่อ พวกนั้นยังไม่ได้คืนเงินสินสอดใช่ไหม  ทำอย่างนี้ไม่ได้หรอกนะ"

ก่อนที่ซีจื่อจะตอบ ป้าสะใภ้รองก็ตอบกลับไปว่า "ลุงรองของเธอไปที่บ้านนั้นเกือบโดนตีซะแล้ว ครอบครัวจ้าวเป็นครอบครัวใหญ่ในเหอหว่าน  บ้านนี้ก็เอาเรื่องอยู่นะ   หน้าไม่อายจริง ๆ ลูกสาวคนเดียวแต่ขายให้สองบ้าน   ช่างเถอะ  ตระกูลหวังก็มีลูกพี่ลูกน้องราวสิบคน ทั้งใหญ่และเล็ก แต่เขาก็ไม่ได้ออกตัวช่วยอะไร หลานก็รู้นิสัยของลุงนี่"

สิ่งที่ป้าสะใภ้รองหมายถึงก็คือคนนอกกำลังรังแกเธอ  แต่คนสกุลหวังไม่สามัคคี และญาติพี่น้องไม่ช่วยเหลือกัน

หลี่เหอรู้สึกจุกในอกและตะโกนออกไปว่า "พี่  ไปกันเถอะ ผมจะไปกับพี่  วันนี้เราต้องเคลียร์กับครอบครัวจ้าวให้รู้เรื่อง"

เขารู้สึกว่าต้องทำบางสิ่งบางอย่างในวันนี้  แต่ก็ยังไม่สามารถขับไล่ความโกรธในใจได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห

เดิมทีเขาคิดจะกลับไปที่หมู่บ้านหลี่เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่แล้วก็คิดได้ว่านี่คือการสนับสนุนครอบครัวของลุงเขา ถ้าเขาพาคนจากหมู่บ้านหลี่ไปที่นั่น มันจะกลายเป็นเรื่องระหว่างสองหมู่บ้าน และหมู่บ้านหลี่จะสร้างปัญหาให้เหอหว่าน  แล้วกลายเป็นเรื่องใหญ่

ทุกวันนี้การต่อสู้เป็นเรื่องปกติมาก ใครที่มีครอบครัวใหญ่กว่าหรือมีพี่น้องมากกว่าก็จะแข็งแกร่งกว่าและก็จะกล้ารังแกคนอื่น ส่วนเรื่องที่สัญญาปากเปล่าไว้น่ะหรอ  ใครจะสนล่ะ?

การบอกว่าคนบางคนตรงไปตรงมามันไม่ใช่แค่การชมเชย การตรงไปตรงมาหมายถึงการไม่อายที่จะพูดออกไปอย่างตรงไปตรงมา การแสดงความกระตือรือร้นอย่างตรงไปตรงมา และสามารถจะโหดร้ายกับคุณได้อย่างตรงไปตรงมา

เมื่อพูดถึงการทะเลาะในชนบท การแจ้งตำรวจนั้นลืมไปได้เลย  บางทีอีกฝ่ายอาจจะเรียกลุงเจ็ด ลุงแปด ลูกพี่ลูกน้องมารุมเล่นงานเลยก็ได้

แตกต่างจากในภายหลัง แม้กระทั่งในช่วงตรุษจีนก็ยังยากที่จะให้ลุงเจ็ดกับลุงแปด  ลูกพี่ลูกน้องเมารวมตัวกันได้ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นพี่น้องกัน แต่ก็มีหลายคน คนหนึ่งอยู่ทางใต้และอีกคนหนึ่งอยู่ทางเหนือ

ดังนั้น, ครอบครัวแกมีความสุขหรอ,  ฮึ! ฉันจะตีแก  บ้านแกไม่มีพี่น้องใช่ไหมละ แล้วแกจะทำอะไรฉันได้!

สถานีตำรวจยังบอกกับคนที่ไม่มีพี่น้องว่าไม่ต้องกลัว เพราะคนพวกนั้นจะต้องจ่ายเงินค่าปรับ

ซีจื่อโกรธมาตลอดทั้งเช้า ไม่ว่าเขาจะซื่อสัตย์แค่ไหน เขาก็ทนไม่ได้ ทุกคนต่างมีขีดจำกัดความอดทนของตัวเอง ยิ่งคนที่เงียบมากเท่าไร เมื่อลุกขึ้นมาระเบิดความโกรธจะยิ่งน่ากลัวมากขึ้น เขาหยิบพลั่วแล้วมุ่งไปที่ประตู "ถ้าอย่างนั้น... ไปตีพวกมันให้ตายไปเลย"

พูดจบเขาก็เหลือบตามองพ่อและพี่น้องของเขาอีกครั้ง

ลุงรองถอนหายใจ สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเช้ายังติดในใจเขา เทพเจ้าแข่งขันกันเพื่อธูปหอม  คนเราก็แย่งกันหายใจ พวกเขาถูกกลั่นแกล้งแบบนี้ก็จริง แต่สุดท้ายเขาก็ยังมีลูกชายสามคน จะให้คนอื่นมารังเกียจแบบนี้ได้ยังไง? เขาพูดกับหลี่เหอว่า "พวกเราสี่คนอย่าพึ่งไปที่นั่น ไปนั่งกับปู่สักพัก เดี๋ยวกลับมาค่อยคุยกัน"

หลี่เหอหยิบไม้ท่อนใหญ่จากกองฟืนที่หน้าประตูขึ้นมาแล้วพูด "ลุง ผมถืว่าซีอซือจื่อเหมือนพี่ชายของผม เรื่องของเขาคือเรื่องของผม ลุงก็รู้ว่าผมจะยอมรับการต่อสู้เล็กๆ น้อยๆ แบบนี้"

หลังจากได้ยินเช่นนั้น ลุงรองรู้สึกโล่งอกมากและไม่ได้พูดอะไรอีก  เขาพาลูกชายสามคนและหลี่เหอไปที่บ้านจ้าว

ถึงแม้ว่าป้าสะใภ้รองจะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ก็ห้ามไม่ทัน จึงต้องรีบล็อคประตูแล้วตามหลังไป

แม้ว่าทั้งสองครอบครัวจะอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน แต่พวกเขากลับอาศัยห่างกันมาก หมู่บ้านเหอหว่านแบ่งแยกโดยแม่น้ำและเนินเขา และผู้อยู่อาศัยค่อนข้างกระจัดกระจาย หมู่บ้านทั้งหมู่บ้านกระจายอยู่ตามแนวแม่น้ำ

ครอบครัวจ้าวก็มีบ้านดินหลายหลังทั้งหน้าและหลัง มีสนามกลางบ้าน ซึ่งคล้ายกับบ้านทั่วไปในหมู่บ้าน

หญิงชราตระกูลจ้าวนั่งยองๆ ที่ประตู กินเมล็ดแตงโมและคุยกับหญิงชราคนอื่นๆ ขอบคุณสายตาที่ดีของเธอที่เห็นหวังหยูกั๋วกับครอบครัวของเขากำลังเดินมาจากระยะไกลโดยแบกของบางอย่าง

มาด้วย เธอรีบบอกเด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังเล่นอยู่ที่ประตูว่า “ไปหาพ่อแล้วเรียกพ่อออกมา  เรียกพี่ชายมาด้วย  บอกพวกเขาว่าตระกูลหวังมาหาเรื่อง”

เห็นแม่ตื่นตระหนกขนาดนี้ เด็กหญิงจึงรีบออกไปหาผู้ชายในตระกูลโจวที่กำลังมาเยี่ยมบ้านพอดี

หญิงชราตระกูลจ้าวเป็นคนดุร้าย เมื่อเห็นตระกูลหวังมาถึงประตู เธอก็บอกด้วยสีหน้าถมึงทึงว่า “บ้านเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับครอบครัวของแกอีกแล้ว ทำไมถึงได้หน้าด้านขนาดนี้”

ป้าสะใภ้รองก็ไม่ใช่คนที่จะคุยด้วยง่าย ๆ  ดังนั้นเธอจึงรีบเดินไปหาหญิงชราตระกูลจ้าวแล้วชี้หน้าด่ากลับไปว่า "บ้านแกขายลูกสาวให้กับสองครอบครัว  แล้วบ้านตัวเองยังไร้ยางอายขนาดนี้ ยังจะมีหน้ามาพูดอีก?"

ลูกสาวคนโตของบ้านจ้าวอายุ 17 ปี พวกเขากำลังเตรียมการหมั้นให้กับลูกสาว ซึ่งหมั้นหมายนี้จะมาพร้อมกับสินสอดหลายร้อยหยวน  ซึ่งสามารถบรรเทาความลำบากของครอบครัวได้

หลังจากตกลงการหมั้นเสร็จสิ้นแล้ว หวังหยูกั๋วได้มอบสินสอดให้กับบ้านจ้าวจำนวน 200 หยวน เมื่อเห็นว่าหาเงินได้ง่ายขนาดนี้ ครอบครัวจ้าวก็จัดการหมั้นหมายให้อีกครอบครัวและรับเงินเพิ่มอีก 300 หยวน

ครอบครัวจ้าวคิดว่าครอบครัวหลังอีกบ้านมีฐานะดีกว่า พวกเขาต้องการก่อกวนหวังหยูกั๋วและบังคับให้เขาเป็นฝ่ายยกเลิกการหมั้น  หากฝ่ายชายขอให้ยกเลิกการหมั้น พวกเข้าก็จะไม่ต้องคืนสินสอด

ขณะที่ครอบครัวจ้าวกำลังฝันหวานอยู่นั้น ครอบครัวหวังก็รีบมาเคาะประตู  นี่จะทำให้ชื่อเสียงของลูกสาวบ้านจ้าวเสียหาย

แม้ว่าเธอจะถูกตีจนตายหญิงชราตระกูลจ้าวก็ยังไม่ยอมรับว่าให้ลูกสาวหมั้นหมายกับผู้ชายสองครอบครัว  แม้ทุกคนในที่เกิดเหตุจะรู้ชัดเจนกันดีแล้ว แต่เธอก็ยังตะโกนว่า "คนตระกูลหวัง ถ้าแกกล้าพูดพล่อย ๆ อะไรแบบนี้อีก ฉันจะฉีกปากแกซะ  ไปถามลูกชายแกสิ?  เป็นเพราะเขาเสนอให้ยกเลิกการหมั้นไม่ใช่หรอ?  แล้วครอบครัวแกยังจะไม่พอใจอะไรอีก  และพวกแกยังไม่ยอมให้ฉันหาคนใหม่ให้ลูกสาวของฉันอีกเหรอ?"

ป้าสะใภ้รองไม่ตกใจเมื่อเห็นผู้ชายจากบ้านจ้าวที่พากันมา 5-6 คน คนจากบ้านจ้าวมาเพิ่มมากขึ้น  พวกเขาก็ด่าเธอยิ่งแรงขึ้นไปอีก

"ฮึ  หางานหมั้นใหม่เร็วเกินไปหรือเปล่า?  ลูกชายฉันมาที่นี่ตอนเช้าเพื่อนำของขวัญมาส่ง  แต่บ้านแกปิดประตูไม่ให้เข้าไป  นี่หมายความว่ายังไง?

ดีจริงๆ เลย  พอพ่อของเขาไปถามเรื่องนี้  กลายเป็นว่าลูกสาวแกกลับถูกขายให้สองครอบครัวพร้อมกัน!  บ้านแกมันไร้ยางอาย ครอบครัวเราไม่อยากได้คนหน้าด้านแบบนั้นหรอก  ใครอยากได้ลูกสาวบ้านแกก็เอาไปเลย  บ้านเราไม่ต้องการแล้ว  ทุกคนมาดูสิ  บ้านนี้ช่างมีคุณธรรมอะไรแบบนี้  ไม่รู้จักอายเลย ถ้าบ้านฉันไม่ยกเลิกการหมั้นแล้ว เราจะทำอะไรได้อีก?”

ข่าวลือในชนบทเยอะมาก ไม่มีอะไรที่สามารถปิดบังได้ ถ้าใครอยากถามเกี่ยวกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในบ้านจ้าว แค่ปิดหูไว้แล้วฟังคำพูดบ้างก็พอ แม้แต่ลูกพี่ลูกน้องที่ช่วยบ้านจ้าวก็เริ่มรู้สึกอาย

ผู้ชายจากบ้านจ้าวรู้สึกอับอายและด่าออกไปว่า "ถ้าแกพูดเรื่องไร้สาระอีก ฉันจะฉีกแกออกเป็นชิ้นๆ"

ซีจื่อเริ่มหัวร้อนและกำลังจะเข้าไปฟันด้วยจอบ  แต่หลี่เหอรีบห้ามไว้แล้วพูดกับหวังหยูกั๋วว่า "ลุง ห้ามไว้ก่อน เราสามารถระบายความโกรธได้ แต่ถ้ามีคนตายไปมันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่"

ผู้ชายจากบ้านจ้าวยืดคอเข้ามาหาซีจื่อ "มาเลย ถ้าแกกล้าก็มาฟันให้ฉันเป็นชิ้นๆ เลยสิ ถ้าแกไม่กล้า  แกก็เรียกฉันว่าปู่สิ"

หลี่เหอพูดกับผู้ชายจากบ้านจ้าวว่า "พวกแกรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันจะไม่พูดจาดี ๆ แล้ว  เราก็เป็นชาวบ้านเหมือนกัน ไม่มีประโยชน์ที่จะสร้างเรื่องใหญ่โต  พวกแกยังจะอวดดีอีกหรอ  รังเกียจว่าสินสอดที่ได้ไปมันมากเกินไปสินะ?  บ้านแกยังมีเงินเหลือพอที่จะไปโรงพยาบาลไหมล่ะ"

ลูกชายคนโตของบ้านจ้าวมองหลี่เหอด้วยสายตารังเกียจ "แกโผล่มาจากรูไหนวะ แกเป็นใคร  เสือกอะไรด้วย"

หลี่เหอเหมือนถูกควบคุมด้วยฮอร์โมนวัยรุ่น เขาเตะไปที่หน้าแข้งของลูกชายคนโตจากบ้านจ้าว ลูกชายคนโตล้มลงกับพื้นและร้องครวญครางออกมา หลี่เหอก็มั่นใจในการเคลื่อนไหวของตัวเอง  มากที่สุดจะทำให้เกิดอาการบวมแต่ขาจะไม่หัก

เมื่อเห็นว่าลูกชายคนโตของพวกเขาได้รับความพ่ายแพ้ ครอบครัวจ้าวก็พุ่งไปที่หลี่เหอทันที และมันก็กลายเป็นการปะทะกันอย่างดุเดือด หวังหยูกั๋วก็โยนจอบและไม้ทิ้งแล้วพาลูกชายสามคนเข้าไปสู้ด้วยมือเปล่า

เมื่อถึงเวลาที่ต้องสู้จริงๆ ลูกพี่ลูกน้องของบ้านจ้าวกลับไม่กล้าเข้าไปสู้  และก็ไม่กล้าจากไปด้วยพวกเขาต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ก่อน ลูกพี่ลูกน้องก็ไม่ได้สนิทกันตั้งแต่แรก แค่ออกมาช่วยสนับสนุนเพื่อรักษาหน้าตามันก็พอได้ แต่จะให้เข้ามามีส่วนร่วมต่อสู้ด้วยจริงๆ ก็ไม่ไหวหรอก

หลี่เหอมองไปที่คนที่กำลังกลิ้งไปมาบนพื้น ผู้ชายจากบ้านจ้าวและผู้ชายสี่คนของพวกเขาก็ไม่ได้เปรียบอะไรเลย

คนในหมู่บ้านที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ก็ไม่สามารถทนดูได้อีกแล้ว พวกเขาทุกคนก็รีบเข้ามาดึงคนออก

หลี่เหอเดินไปที่หวังหยูกั๋วและลูกพี่ลูกน้องคนโตขึ้นมาทีละคนแล้วพูดว่า "ลุง เราเสร็จแล้ว และก็ไม่ได้รับความเสียหายอะไร"

หลี่เหอเห็นลูกพี่ลูกน้องคนที่สามถูกชายร่างใหญ่จากตระกูลโจวผลักล้มลงและตาบวม เขาเตะคนที่อยู่ข้างบนอย่างรวดเร็วและดึงลูกพี่ลูกน้องคนที่สามขึ้นมา "เป็นยังไงบ้าง?"

ลูกพี่ลูกน้องคนที่สามเป็นแค่เด็กวัยรุ่นคนหนึ่วเท่านั้น  เขาเจ็บมากจนเกือบจะร้องไห้

ป้าสะใภ้รองและหญิงชราตระกูลจ้าวก็ดึงผมกันและกันอยู่ ทั้งสองคนหน้าบูดบึ้งด้วยความเจ็บปวด  แต่ไม่มีใครยอมปล่อยมือ

หลี่เหอไม่สามารถตีกับผู้หญิงได้ เขาจึงต้องดูว่าอย่างไรหวังหยูกั๋วจะจัดการกับมันอย่างไร หวังหยูกั๋วเหลือบมองไปที่ชายจากบ้านจ้าว แล้วทั้งสองก็เดินไปดึงผู้หญิงของตัวเองออกมา

หวังหยูกั๋วพูดด้วยความโกรธ "จ้าวเหล่าซือ แกต้องคืนเงินสินสอดมาให้ฉันวันนี้ ไม่งั้นฉันจะไม่ยอมให้เรื่องนี้จบง่ายๆ"

สุดท้ายทั้งสองครอบครัวก็ต่อรองและด่ากันไปมาอยู่นาน พวกเขาต้องการจะเข้าไปต่อยกันต่อ แต่ถูกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ดึงตัวออกมา จ้าวเหล่าซือกัดฟันแล้วพูดว่า "คืน 180 หยวน ไม่เกินแม้แต่เฟินเดียว"

จ้าวเหล่าซือยังคงโกรธที่ลูกพี่ลูกน้องของเขาไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้และไม่ได้ช่วยอะไรเลย  ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องจบเรื่องนี้ไปอย่างนี้

ในเวลานี้ แนวคิดคือการใช้กำปั้นตัดสิน และมันคงจะน่าอับอายหากไปแจ้งตำรวจ

หวังหยูกั๋วตกลงหลังจากคิดดูแล้ว เมื่อเห็นว่าเบ้าตาของลูกชายคนเล็กของเขาบวมขึ้นขนาดนั้น เขาก็ไม่อยากยุ่งยากกับเรื่องนี้อีกต่อไป

หญิงชราตระกูลจ้าวไม่มีทางเลือกนอกจากต้องนับเงินออกมา ป้าสะใภ้รองแย่งเงินไปและนับมันอย่างโกรธเคือง

เรื่องวุ่นวายจบลงแบบนั้น

พอกลับมาถึงบ้านหวังหยูกั๋วในช่วงบ่ายเกือบบ่ายสองแล้ว  ซีจื่อก็รู้สึกขอบคุณหลี่เหอมากและพูดไม่หยุดว่าเรื่องของหลี่เหอจากนี้ไปจะเป็นเรื่องของเขา ป้าสะใภ้รองก็อุ่นอาหารเหลือจากเมื่อเช้าและไม่ได้ดื่มอะไรเป็นพิเศษ  แค่กินอะไรเบาๆ

หลังจากที่หลี่เหอกินข้าวเสร็จ เขาก็ไปที่บ้านของคุณตาคุณยาย  ทั้งสองคนแยกออกมาจากลูกชายทั้งสองคนแล้ว และอาศัยอยู่ในกระท่อมฟางที่ไม่มีที่กำบังจากลมฝน

คุณตาเป็นชาวนาธรรมดาที่ซื่อสัตย์  ไม่ค่อยพูดอะไรและไม่รู้วิธีแสดงความรัก เขาถามข่าวสารทั่วไปเพียงเล็กน้อย  หลี่เหอคุยกับคุณยายมากกว่าและเมื่อเขาจะไปก็ยัดเงิน 200 หยวนใส่กระเป๋าของท่าน

คุณตาพูดด้วยเสียงเบาๆ และฟังดูอ่อนแรง "เฮ้อ... ตาแก่แล้ว ตากำลังเป็นภาระให้พวกหลาน"

"คุณตา" หลี่เหอกลัวว่าท่านจะคิดมากเกินไป จึงรีบพูดขึ้น "ตาควรได้รับการดูแลจากรุ่นหลัง ตาไม่ต้องคิดมากนะครับ"

พวกเขาไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีนัก แม้ว่าหลี่เหอจะอยากรับผิดชอบและเชิญให้ไปอยู่กับหวังหยูหลาน แต่พวกท่านก็ไม่ยอมไป  การไปอยู่ที่บ้านของลูกสาวจะทำให้ลูกชายเสียชื่อเสียง  ซึ่งเขาควรจะเป็นที่พึ่งพ่อแม่

ระหว่างทางกลับหลี่เหอก็อดที่จะบ่นไม่ได้ว่าพลังของฮอร์โมนวัยรุ่นมันรุนแรงขนาดไหน เขาหุนหันพลันแล่นขนาดนั้นได้ยังไง  เขาอายุตั้งเท่าไหร่แล้ว?

ตอนนั้นสมองขับเคลื่อนด้วยฮอร์โมน  นึกหาเหตุผลอะไม่ได้เลย

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด