ตอนที่ 43 หัวใจอิ่มเอม ฤดูใบไม้ผลิกำลังจะมาอีกครั้ง
เมื่อถึงเวลานอนในตอนกลางคืน หลี่เหอยืนหาวเพราะง่วงเต็มที แต่ตอนนี้กลับมีต้วนเหมยเพิ่มเข้ามาอีกคน หลี่เหมยและหวังหยูหลานยังไม่ได้จัดที่นอนให้ลงตัว เขาเลยได้แต่นั่งยอง ๆ สูบบุหรี่ที่หน้าประตู
ตามกฎของชนบท หลังหมั้นแล้วหลี่หลงกับต้วนเหมยสามารถนอนร่วมกันได้ และเพียงแค่จัดงานเลี้ยงตามประเพณีในภายหลังก็ถือว่าเสร็จสมบูรณ์
ในฐานะพี่ชายของเจ้าบ่าวหลี่เหอไม่กล้าพูดถึงเรื่องนี้ แต่หวังหยูหลานในฐานะแม่ที่เคยผ่านเรื่องเหล่านี้มาก่อน สังเกตเห็นหลี่หลงกับต้วนเหมยล้างเท้าอยู่ในครัวเล็ก ๆ ทั้งคู่ถูฝ่าเท้าไปมา โดยไม่มองหน้ากันและไม่ได้พูดอะไร ใบหน้าของทั้งสองแดงเหมือนก้นลิง ไฟปรารถนาในใจของพวกเขาคงปะทุถึงขีดสุดแล้ว
ในที่สุดหวังหยูหลานก็ไม่ทำตัวเหนียมอายอีกต่อไป เธอพูดตรง ๆ กับทั้งสองคน
"เจ้าสาม คืนนี้ทั้งสองคนไปนอนที่ห้องพี่สาวคนโตนะ รีบไปนอนได้แล้ว"
เมื่อเห็นว่าต้วนเหมยก้มหน้าเงียบถือว่าเธอยอมรับโดยปริยาย หวังหยูหลานหันไปตะโกนในลานบ้าน
"อาเหมาย พาน้องสาวไปนอนที่ห้องเก่าของอาหลง ส่วนอาเหอไปนอนห้องตัวเอง"
หลี่เหอเหมือนได้รับพระราชโองการ เขาหาวอีกครั้ง มองนาฬิกาเห็นว่าเลยห้าทุ่มมาแล้ว เขาจึงกลับเข้าห้องนอนด้วยความง่วง
กลางดึกยังได้ยินเสียงประทัดดังเปรี้ยงปร้างไม่ขาดสาย บางคนยังคงรักษาประเพณีโบราณด้วยการอยู่เฝ้าปีเก่าหรือฉลองปีใหม่ และจะเริ่มจุดประทัดในเวลากลางคืน ว่ากันว่าในคืนวันที่ 30 เทพเจ้าต่าง ๆ จะลงมาสู่โลกเพื่อเพลิดเพลินกับแสงสีเสียงของโลกมนุษย์ โดยเฉพาะเทพเจ้าแห่งโชคลาภ เทพเจ้าแห่งความสุข และเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่ง หากจุดประทัดก่อนเวลาที่เหมาะสม อาจนำเทพเจ้าที่ไม่ดีมาสู่บ้านได้
ประมาณตีสี่หลี่เหอกำลังหลับสนิท แต่จู่ ๆ ก็รู้สึกหนาวสะท้าน เมื่อเขาลืมตาขึ้น ก็พบว่าน้องสาวตัวน้อยดึงผ้าห่มเขาออกไป
หลี่เหอบ่นอย่างขัดใจ
"ล้างหน้าแล้วหรือยัง? ไปขอให้พี่สี่ล้างหน้าให้ อย่าปล่อยให้หน้ามันเลื่อมอย่างนี้สิ"
เด็กน้อยส่ายหน้า
"อากั๋ว แมวขี้เกียจตื่นได้แล้ว"
หลี่เหอไม่มีทางเลือกจึงต้องลุกขึ้น ปีนี้เป็นวันแรกของปีใหม่ เขาจำเป็นต้องตื่นแต่เช้า
ในครัวหวังหยูหลานกับสะใภ้ใหม่กำลังยุ่งอยู่ วันแรกของปีใหม่มีความสำคัญพอ ๆ กับคืนส่งท้ายปีเก่า ไม่ว่าครอบครัวจะลำบากแค่ไหน พวกเขาก็พยายามเตรียมอาหารโต๊ะใหญ่ให้สมบูรณ์ที่สุด
โต๊ะอาหารในวันปีใหม่เป็นเหมือนสายใยที่เชื่อมระหว่างปีเก่ากับปีใหม่ ระดับความสมบูรณ์ของอาหารบนโต๊ะนี้สะท้อนว่าปีที่ผ่านมาอยู่ดีกินดีหรือไม่ และยังเป็นลางบอกให้เห็นว่าปีหน้าจะดีกว่าปีที่แล้ว
ในครัว อาหารยอดนิยมอย่างหัวไชเท้า กะหล่ำปลี และวุ้นเส้นยังคงเป็นพระเอกของงานเสมอ ในขณะที่ผักที่เรียกว่า "ผักนอกฤดู" เช่น มะเขือเทศและแตงกวา เป็นสิ่งที่ไม่มีใครเคยได้ยินในสมัยนั้น อาหาร "หนัก" ที่เรียกกัน ก็เหมือนกับในคืนส่งท้ายปีเก่า เช่น หมู เนื้อวัว และปลา ซึ่งล้วนเป็นวัตถุดิบทั่วไปที่สุด
บนโต๊ะอาหารมีการจัดเรียงไว้พร้อมแล้ว ทั้งปลาคาร์พตุ๋นซีอิ๊ว หนังหมูเย็นทรงเครื่อง ซุปถั่วลิสงเคี่ยว หมูสามชั้นผัดกับผักดอง และหมูตุ๋นน้ำแดง
หลี่เหอไม่ค่อยได้เข้าร่วมในวงสนทนา จึงล้างหน้าแล้วไปนั่งยอง ๆ อยู่ริมรางน้ำหน้าประตูด้วยอาการเหม่อลอย ในชีวิตก่อนของเขา เขามักเผชิญกับ "โรคคิดถึงบ้าน" ที่เกิดขึ้นในใจด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน
จริง ๆ แล้วมันคือความกลัวและการหลีกเลี่ยงความจริงมากกว่า หากเขาเพียงคิดถึงความเรียบง่ายและความอบอุ่นของชนบท ความคิดถึงนั้นคงไม่เป็นปัญหาอะไรสำหรับเขา การกลับบ้านตามถนนเส้นนี้ก็ดูเหมือนง่ายดายเหลือเกิน
แต่ความทรงจำเกี่ยวกับความยากจนและความหนาวเหน็บไม่เคยจางหายไปจากชีวิตของเขา
วันแรกของปีใหม่ตามปฏิทินจันทรคติ ทุกครอบครัวเปิดประตูบ้านต้อนรับเด็ก ๆ จากทุกบ้านในหมู่บ้านที่มาอวยพรปีใหม่
หลี่เหอไม่ได้ดื่ม จึงกินข้าวเสร็จเร็ว หลังจากกินอิ่มแล้ว เขาพาเด็ก ๆ หลายคนไปสวัสดีปีใหม่คุณปู่คุณย่า
อย่างที่คนโบราณว่า "ลูกชายคนสุดท้อง หลานชายคนโต และย่าในบ้านคือหัวใจของครอบครัว" ซึ่งคำนี้เป็นความจริงสำหรับตระกูลหลี่ หลานชายคนโตคือบุตรคนแรกของรุ่นหลาน ซึ่งแทนความหมายถึงสายเลือดอีกหนึ่งรุ่น คนเฒ่าคนแก่ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการสืบทอดสายเลือด ดังนั้นจึงรักหลานชายคนโตเป็นพิเศษ
หลี่เหอเป็นหลานชายคนโตในรุ่นหลาน และคุณย่ารักเขามาก นับตั้งแต่หลี่เหอเข้าเรียนมหาวิทยาลัย คุณย่าก็ยิ่งภาคภูมิใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกครั้งที่ออกไปข้างนอก เธอก็ยิ่งภูมิใจในตัวเขา
หลี่เหอยื่นเงินสองร้อยหยวนให้คุณย่า "ย่า ผมไม่ค่อยได้อยู่บ้านดูแลย่าเลย เอาเงินนี่ไว้ใช้ซื้อของกินเองที่บ้านนะครับ"
คุณย่าผลักเงินกลับทันที "พูดอะไรอย่างนี้ หลานต้องใช้เงินมากมายไม่ใช่เหรอ? ส่วนย่ากับปู่อยู่บ้านเฉย ๆ ไม่มีอะไรต้องใช้เงินเลย"
ทั้งสองคนยื้อเงินกันไปมา หลี่ฟู่เฉิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า "รับไว้เถอะ หลานชายคนนี้มีอนาคตไกล เขาอยากให้ก็รับไว้อย่างเต็มใจเถอะ"
คุณย่าหันไปดุหลี่ฟู่เฉิงอย่างหัวเสีย "ตาแก่ ยังคิดว่าจะเอาเงินหลานไปใช้อีก!"
หลี่เหอไม่มีทางเลือก จึงยัดเงินใส่มือคุณย่าอย่างแน่นหนา ก่อนจะเรียนเด็กน้อยทั้งสองคนที่กำลังเล่นอยู่ในลานบ้าน แล้วเดินออกมา คุณย่าทำอะไรไม่ได้นอกจากรับเงินไว้โดยไม่ได้พูดอะไรอีก
เมื่อหลี่เหอกลับถึงบ้าน เขารีบไปบ้านของคุณตาคุณยายเพื่อพบปะญาติ ๆ ทั้งหมด จากนั้นหลี่เหอถึงจะเตรียมตัวไปบ้านว่าที่พ่อตาของเขาในวันพรุ่งนี้
เพราะว่าต้วนเหมยมาที่นี่ หลี่หลงจึงไม่ได้ไปบ้านของคุณยายที่เหอหว่าน เช่นเดียวกับหลี่เหมยที่ต้องรวมญาติฝ่ายตัวเองจึงไปไม่ได้เหมือนกัน หลี่เหอมองไปที่น้องสาวคนที่สี่ที่กำลังงอนและพองแก้ม ก่อนพูดว่า
"พี่จะไปเหอหว่าน น้องอยากไปด้วยไหม?"
"ไม่ไป" หลี่ผิงตอบอย่างไม่พอใจ เพราะหวังหยูหลานได้ริบเงินอั่งเปาในปีใของเธอไป
น้องสาวคนที่สี่ที่เกือบจะได้นอนกอดซองอั่งเปาในปีใหม่แล้วหลับฝันดี แต่ก็ต้องเสียใจที่ซองแดงนั้นถูกแย่งไปและสุดท้ายก็ต้องตกไปอยู่ในกระเป๋าของหวังหยูหลาน
หวังหยูหลานพูดจาด้วยความจริงใจตลอดทั้งเช้า โดยเหตุผลก็ไม่มีอะไรนอกจากช่วยให้เก็บไว้ใช้ในงานสินสอดหรือเพื่อการศึกษาของเจ้าตัว หลี่ผิงจึงไม่อาจขัดขืนได้และยอมมอบเงินอั่งเปาไปเหมือนกับเหมือนกับดูรถไฟแล่นออกนอกราง ไม่มีทางที่จะหยุดมันได้
หลี่เหอหยิบลูกอมสองห่อและบุหรี่สองซอง แล้วออกไปพร้อมกระเป๋า เขามองไปที่เด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังเล่นกับกระดาษประทัดที่หน้าประตูแล้ว ก็ละทิ้งความคิดที่จะพาเธอไปด้วย รู้สึกว่าเขายังไม่สามารถดูแลเธอได้
หลี่เหอไม่ได้มีความเห็นอะไรมากนักเกี่ยวกับลุงทั้งสองคนของเขา และไม่เคยมีเรื่องบาดหมางหรือความขัดแย้งใดๆ เขาไปนั่งเล่นที่บ้านลุงใหญ่พูดคุยกันสองสามคำ แล้วก็นั่งไม่ค่อยได้จึงลุกออกมา ในชีวิตก่อนของหลี่เหอ เขาไม่เคยมีความรู้สึกดีๆ ต่อลุงป้าคู่นี้ ทั้งสองคนเป็นคนเจ้าอารมณ์และเย็นชา แม้แต่หวังหยูหลานก็รู้ว่าพวกเขาเป็นเจ้านายประเภทที่ไม่ควรมาขอยืมเงิน
ส่วนลุงรองเป็นคนซื่อสัตย์ หลี่เหอไม่อาจบอกได้ว่าเขาชอบลุงรองหรือไม่ แต่เขาเห็นใจเขามากกว่า ลุงคนนี้คือชาวนาผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่กับดินมาโดยตลอด ลูกชายสามคนของเขาต้องแต่งงาน และตอนนี้ก็กำลังแบกรับภาระหนักจากการเลี้ยงดูครอบครัว
เมื่อหลี่เหอเดินเข้าไปในบ้าน เขาเห็นครอบครัวลุงรองนั่งยอง ๆ อยู่ที่หน้าประตูอย่างเงียบๆ เขาสงสัยว่ามีเรื่องอะไรที่ทำให้พวกเขาลำบากใจหรือเปล่า
ป้าสะใภ้รองพูดขึ้นว่า "อาเหอมาแล้วเหรอ ดื่มน้ำไหม? เดี๋ยวป้าเทน้ำให้"
"ป้าไม่เป็นไรครับ ผมเพิ่งดื่มน้ำที่บ้านลุงใหญ่มา ไม่ต้องทำน้ำเยอะหรอกครับ" หลี่เหอโบกมือ แล้วมองไปที่ลูกพี่ลูกน้องคนโตที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าเศร้าหมองก่อนจะถามว่า "พี่ซีจื่อเป็นอะไรไปครับ? ทำไมดูไม่ค่อยมีความสุขล่ะ?"
ป้าสะใภ้รองพูดอย่างอายๆ ว่า "ไม่ใช่ว่าเราทำการตกลงเรื่องการหมั้นกันไปเมื่อปีที่แล้วเหรอ? เช้านี้พี่ซีจื่อเอาของขวัญไปให้ แต่ของกลับถูกยึดไป"
หลี่เหอไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน ในชีวิตก่อนของเขาเขาไม่ได้ใส่ใจในเรื่องภายในครอบครัวมากนัก จึงไม่มีอารมณ์ที่จะไปสนใจเรื่องครอบครัวของคนอื่น
ซีจื่อเป็นลูกชายคนที่สองในครอบครัวและตอนนี้อายุ 20 ปีแล้ว การหาคู่ที่เหมาะสมมันยากเหลือเกิน แต่ของขวัญที่เขานำไปกลับถูกปฏิเสธ ซึ่งการยกเลิกการหมั้นแบบนี้แสดงให้เห็นว่าไม่มีการไว้หน้ากันเลย
โดยปกติแล้วในชนบทถ้าจะยกเลิกการหมั้น อย่างน้อยก็มักจะให้แม่สื่อไปแจ้งล่วงหน้า แต่การถูกปฏิเสธหลังจากที่ของขวัญถูกส่งถึงประตูแล้วนั้นถือเป็นการตบหน้ากันอย่างแรงเลย