ตอนที่ 41 ฟ้าสูงลิบมองไม่เห็น
หลังจากที่หลี่เหอกลับมา เขาไปเยี่ยมเพียงคุณปู่หลี่ฝูเฉิงและอาสองคนของเขาเท่านั้น เขาไม่ได้ไปที่อื่นเลย เพียงแต่นั่งอยู่ที่มุมบ้านรับแสงแดดยามว่าง
เมื่อไม่มีอะไรต้องกังวล สิ่งที่สามารถดึงดูดความสนใจเขาได้ก็มีไม่มากนัก ตามสุภาษิตที่ว่า "อุดมการณ์สูงส่งในวัยยี่สิบ มุ่งมั่นขยันในวัยสี่สิบ เกษียณกลับบ้านมารับแดดในวัยหกสิบ เล่นไพ่นกกระจอกในวัยเจ็ดสิบ และแขวนรูปไว้บนผนังในวัยร้อยปี"
หมู่บ้านไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก แต่จิตใจของผู้คนดูจะต่างไปอย่างเห็นได้ชัด ใครเลี้ยงไก่ เป็ด และหมูก็ดูยุ่งเหยิงทั้งวัน
"เจ้ารองเหอ กลับมาแล้วเหรอ ยังง่วงนอนอีกเหรอ?"
หลี่เหอที่กำลังพิงกำแพงอย่างเกียจคร้านลืมตาขึ้นเมื่อเห็นเฉินหย่งเฉียงเดินมา ดูเหมือนเขาจะอ้วนขึ้นไม่น้อย ไม่แปลกใจเลยที่สุภาษิตว่าไว้ว่า "พุงใหญ่คอหนา เป็นได้ทั้งนายพลหรือคนขายหมู"
หลี่เหอยิ้มพลางพูดว่า "ใส่เสื้อหนาขนาดนี้ ไม่กลัวคนอื่นจะพูดว่า อ้วนแล้วยังกลัวหนาวอีกหรือ?"
เฉินหย่งเฉียงหัวเราะ "ถ้าฉันใส่เสื้อน้อยกว่านี้ คนก็จะว่าคนอ้วนไม่กลัวหนาว คนกลัวมีชื่อเสีย หมูกลัวตัวใหญ่ ผู้ชายกลัวจน ผู้หญิงกลัวอ้วน ฉันเป็นผู้ชายอ้วนก็ถือเป็นบุญแล้ว นายผอมแบบนี้ ดูแลตัวเองหน่อยเถอะ"
ยิ่งคนอ้วนก็ยิ่งดื่มน้ำมาก ยิ่งดื่มน้ำก็ยิ่งอ้วน เฉินหย่งเฉียงลากเก้าอี้ตัวเล็กที่มุมบ้านมานั่งลงโดยไม่เกรงใจ หลี่เหอมองดูเก้าอี้ที่โยกเยก พร้อมทั้งคาบบุหรี่ไว้ที่มุมปากก่อนส่งบุหรี่ให้เฉินหย่งเฉียง "อย่าทำเก้าอี้พังล่ะ ไม่งั้นเจ้าตัวเล็กจะมาวุ่นวายกับนายแน่ ๆ นั่นมันบัลลังก์ของเธอ จะนั่งก็ไปยกเก้าอี้ในบ้านมาเองเถอะ"
เฉินหย่งเฉียงที่มีสะโพกใหญ่ นั่งไม่ได้ก็ลุกขึ้นยืน วางเก้าอี้ตัวเล็กไว้ข้าง ๆ จุดบุหรี่แล้วพูดว่า "ไม่เป็นไร ฉันจะอยู่แป๊บเดียว มีเรื่องจะปรึกษานายหน่อย ฉันอยากสร้างคอกหมูเพิ่มอีกสักสองสามคอก นายว่าดีไหม? นโยบายไม่น่าจะเปลี่ยนใช่ไหม?"
หลี่เหอถามด้วยความสงสัย "หมูในคอกเก่าไม่พร้อมขายเลยหรอ? ทำไมถึงรีบขนาดนั้น?"
เฉินหย่งเฉียงยิ้มเจ้าเล่ห์ "หมูแม่พันธุ์ของฉันออกลูกแล้ว พอลูกหมูกินปลา กุ้ง และหญ้าหมู ก็จะอ้วนเร็ว ลูกหมูโตเร็วและแม่หมูก็มีน้ำนมพอ"
หลี่เหอคำนวณอยู่ครู่หนึ่ง หมูแม่พันธุ์หนึ่งตัวจะมีลูกหมูมากกว่าสิบตัวต่อครอกหรือเปล่า
"ถ้านายเลี้ยงเองหรือขายลูกหมูทั้งครอก ยังไงก็ได้กำไร ถ้าทำเงินได้ ก็ทำไปเถอะ
แต่นายจะสร้างคอกหมูที่บ้านตัวเองงั้นเหรอ? ทั้งหน้าบ้านหลังบ้านคนอื่นอยู่เต็มไปหมด ไม่กลัวโดนด่าว่ากลิ่นเหม็นไปทั่วหรือไง?"
เฉินหย่งเฉียงกลอกตาใส่หลี่เหอ "ใคร ๆ ก็รู้ว่าการเลี้ยงหมูเป็นงานหนัก ฤดูร้อนยุงแมลงบินว่อนไปทั่วบ้าน ฤดูหนาวก็เปียกแฉะ จะไปหวังชีวิตสะอาดสะอ้านได้ยังไง เลิกพูดเถอะ!"
"ด้วยคำพูดของนาย ฉันก็โล่งใจและว่าจะเริ่มสร้างบ้านหลังใหญ่ ฉันถมดินริมแม่น้ำไว้ แต่ไม่มีใครดูแลเลย เดิมทีตรงนั้นเป็นพื้นที่รกร้าง ใครพัฒนาขึ้นมาก็ได้เป็นเจ้าของเอง"
หลี่เหอรู้ว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง การเลี้ยงหมูทุกวันนี้เหนื่อยทางกาย พอถึงตอนขายหมูก็จะเหนื่อยทางใจอีก
ตลาดหมูนั้นไม่แน่นอนเลย!
เมื่อไหร่ที่ตลาดดี ชาวบ้านก็สบายใจขึ้น แต่ถ้าตลาดแย่ หลายคนทำงานหนักตลอดปีครึ่ง สุดท้ายกลับขาดทุนมากกว่าได้กำไร
ตอนบ่ายวันหนึ่ง หยางเสวี่ยเหวินกับปู่ขับรถลากล่อไม้มาส่ง คุณปู่หยางพูดขึ้นว่า
"ขอบใจนะ เธอช่วยดูแลเราดีเหลือเกิน"
หลี่เหอตอบว่า "คุณปู่ครับ คิดมากไปแล้ว ผมจะไปหาคนอื่นทำงานทำไมล่ะ? ปู่ของผมเคยบอกว่าปู่นี่แหละเป็นช่างฝีมือดีที่สุดในละแวกนี้ ไม่มีใครเทียบได้เลย ถ้ามีอะไรที่ผมช่วยได้ก็แค่บอกครับ ผมยินดีช่วยทุกอย่าง"
คุณปู่หยางหัวเราะ "ถึงตอนกินข้าวทุกอย่างก็เสร็จแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก ขอแค่ข้าวมื้อเที่ยงมื้อเดียวก็พอ"
เขาดูเกรงใจอยู่บ้างที่ต้องทำงานให้คนอื่นแล้วคนอื่นยังต้องดูแลตัวเองด้วย ทุกวันนี้คนไม่ค่อยทิ้งเฟอร์นิเจอร์เก่าและไม่ค่อยมีคนที่อยากทำเฟอร์นิเจอร์ใหม่ พวกเรามีเพียงทักษะเดียวและไม่มีที่แสดงฝีมือ
เหมือนเพลงในละครที่ว่า "ฉันอายุยี่สิบแต่ไม่มีความสุข เหมือนกล้วยไม้ที่เหี่ยวเฉา"
เศษไม้ปลิวว่อนไปทั่วลาน เด็กหญิงตัวน้อยมองดูอย่างสนอกสนใจ เธอหยิบเศษไม้ขึ้นมาเล่นด้วยความสนุกสนาน
หวังหยูหลานรู้สึกว่าลูกชายของเธอตัดสินใจด้วยตัวเองอีกแล้ว เขาไม่ยอมฟังคำสั่งของ "จักรพรรดิ" เลย และกำลังทำลายสิ่งดี ๆ ที่ควรเกิดขึ้น หลังศีรษะของเธอปวดตุบเหมือนเป็นตะคริว
ความโกรธจากเมื่อวานยังไม่จางหาย ตอนนี้เมื่อเธอพยายามเผชิญหน้าเขา เธอก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงหยุดไม่ได้
ตอนเที่ยงหลี่เหมยทำอาหารดี ๆ มื้อใหญ่ เสิร์ฟเหล้าและเนื้อ วางจานและเทเหล้าบนโต๊ะ และดูแลแขกยิ่งกว่าหลี่เหอเสียอีก
หลี่เหอรู้ดีในใจว่า ถ้าพี่สาวคนโตของเขาไม่ชอบหยางเสวี่ยเหวิน เรื่องนี้คงเป็นเรื่องใหญ่ เธอเจอเขาแค่สองครั้งเอง แต่ด้วยโชคชะตาของชีวิตก่อน พวกเขาไม่มีทางจะเข้ากันไมได้
สองสามวันต่อมา ไม่มีหิมะตก แต่ฝนกลับตกแทน วันที่ฝนตกทำให้คนไม่มีอะไรทำ นอกจากแกล้งเด็กเล่น หลี่เหมยทอดลูกชิ้น เด็กหญิงตัวน้อยยืนจ้องหม้ออยู่ตรงขอบด้วยความเหม่อลอย หลี่เหอไม่ได้พูดอะไร แต่ตีเธอเบา ๆ ที่ก้น
แม้ในวันฝนตก หากเธอเดินไปเล่นในดินโคลน เขาก็ตีเธอจนร้องไห้จ้า
ต่อมาแทบทุกครั้งหลังอาบน้ำ เธอจะร้องไห้ตอนแต่งตัว หลี่เหอพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ ไม่ให้แสดงความดุเกินไป แต่เด็กน้อยร้องไห้เสียงดังมาก หลี่เหอทำได้แค่ถอนหายใจยาวมองขึ้นไปบนฟ้า "น้องสาวปล่อยให้พี่ชายพักบ้างเถอะ!"
หยางเสวี่ยเหวินและปู่เริ่มมาบ้านบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ หลี่เหอมองดูหยางเสวี่ยเหวินกับหลี่เหมย พวกเขาดูเหมือนจะมีความรู้สึกที่ตรงกันอยู่แล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้แสดงออกมาให้ชัดเจน เหมือนกระดาษหน้าต่างที่ยังไม่ได้ให้เจาะทะลุ
เมื่อคนสองคนพัฒนาความสัมพันธ์ไปถึงจุดหนึ่งแล้ว การสารภาพความรู้สึกก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็นอีกต่อไป
หลี่เหมยพูดว่า
"พี่หยาง ไม่ต้องเกรงใจเลย ฉันให้ขาไก่พี่อีกชิ้นนะ"
"พี่หยาง ดื่มน้ำหน่อยสิคะ"
"พี่หยาง บอกฉันนะว่าต้องการอะไร ฉันช่วยได้อยู่แล้ว"
เธอพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนจนหลี่เหออดพูดแหย่ไมไ่ด้
"พี่สาว พี่ลากถุงข้าวสารหนักร้อยกิโลไหว คงไม่ต้องให้พี่หยางช่วยดึงน้ำจากบ่อหรอกนะ!"
มีคนเคยบอกหลี่เหอว่า "ไม่มีความจำเป็นต้องตามจีบผู้หญิงเลย ถ้าเธอใช่ ทุกอย่างจะคลี่คลายเอง"
ในคืนก่อนวันส่งท้ายปีเก่า ขณะที่ทุกคนกำลังกินข้าว หลี่เหอก็พูดเปิดประเด็นที่ค้างคาไว้
"ผมว่าหยางเสวี่ยเหวินก็ดีนะ เขาขยันขันแข็ง ดูเป็นครอบครัวที่อบอุ่น คนอื่น ๆ ก็ไม่มีปัญหาอะไรกับเขาเลย"
หวังหยูหลานวางตะเกียบลงอย่างแรง
"ลูกนี่ชักจะเพี้ยนขึ้นทุกทีนะ ครอบครัวยากจนแบบนั้น ไม่มีทางรุ่งแน่นอน คนจน ๆ จะเอาอะไรมาทำให้ชีวิตดีขึ้นได้?"
หลี่เหมยทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะตอบยังไงดี
เธอคิดในใจว่าไม่เป็นไรหรอก หากชายคนนั้นไม่ใช่คนเลวร้าย และสามารถทำให้เธออบอุ่นหัวใจได้ แม้ชีวิตจะยากลำบากไปบ้าง แต่เธอก็พร้อมยอมรับ หยางเสวี่ยเหวินสูงโปร่ง ไหล่กว้าง มีความสามารถในการทำงาน หน้าตาซื่อสัตย์ แต่ตัวเขายังผอมเกินไป เธอเผลอคิดว่าถ้าทำอาหารอร่อย ๆ ให้เขากินทุกวัน เขาคงจะแข็งแรงขึ้นแน่
เมื่อหลี่เหอเห็นสีหน้าของพี่สาว เขาก็เริ่มมั่นใจขึ้น
เขาพูดกับหวังหยูหลานว่า
"แม่ครับ ลองคิดดูสิ เขาเป็นคนดี แถมไม่มีพ่อแม่ที่ต้องดูแล พี่สาวก็จะได้เป็นใหญ่ในบ้าน ไม่ต้องโดนแม่ผัวกดหัวแบบที่คนอื่นเจอเลย แม่ก็เคยเห็นมาหลายครั้งแล้วนี่ครับ"
"ส่วนปู่กับย่าของเขาก็เป็นคนที่เข้าใจโลกที่สุด ผมไม่คิดว่าจะมีใครมีเหตุผลเท่านี้แล้วนะ"
น้องสาวคนที่สี่ที่นั่งฟังอยู่พูดขึ้นมาดื้อ ๆ
"อย่างน้อยเขาก็ดีกว่าพ่อเราล่ะ"
หลี่เหอแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่ เมื่อเห็นสีหน้าของหวังหยูหลานที่เปลี่ยนจากเขียวเป็นขาว เธอกดนิ้วลงไปที่หัวน้องสี่
"พ่อไม่รักลูกหรือไง? ลูกนี่มันไร้หัวใจจริง ๆ ทำไมไม่เข้าใจความยากลำบากของพ่อเลย!"
พูดไปน้ำตาก็เริ่มไหล เมื่อคิดว่าลูก ๆ ไม่มีใครเชื่อฟัง และทุกคนก็มีแต่เรื่องยุ่งเหยิงในหัว
หลี่เหอทำท่าเคาะหน้าผากน้องสี่
"มัวแต่พูดเพ้อเจ้อ รีบกินข้าวให้เสร็จแล้วไปทำการบ้านได้แล้ว!"
เมื่อคิดถึงเรื่องแต่งงาน หลี่เหอก็ต้องพึ่งคุณปู่หลี่ฝูเฉิง หากคุณปู่พูดอะไรขึ้นมาสักอย่าง และพ่อของหยางเสวี่ยเหวินไม่คิดเลอะเทอะ เรื่องนี้ก็คงจะจบลงได้อย่างราบรื่น
แต่เขาเองคงไม่สามารถเดินไปหาหยางเสวี่ยเหวินตรง ๆ แล้วพูดว่า
"ผมจะให้พี่สาวแต่งงานกับพี่นะ"
ตราบใดที่คุณปู่พูดเรื่องนี้ออกไปสักคำ และหยางเสวี่ยเหวินตอบรับอย่างไม่อิดออด ทุกอย่างก็ถือว่าลุล่วงแล้ว