ตอนที่ 27 หรือจะมีความลับบางอย่างที่ซุกซ่อนอยู่
ตอนที่ 27 หรือจะมีความลับบางอย่างที่ซุกซ่อนอยู่
หลังจากหารือเกี่ยวกับข้อตกลงกับเสิ่นจินเหวินแล้ว สวี่จื้อก็ไม่รีบร้อนที่จะจากไปในทันที
ตอนนี้ทัศนคติของเสิ่นจินเหวินได้ผ่านการทดสอบแล้ว เธอจึงคิดจะพูดอะไรบางอย่างกับอีกฝ่าย
“พี่สาว พี่รู้จักชุมชนวิลล่าหนานซานมั้ย” เธอถาม
เสิ่นจินเหวินพยักหน้า “ฉันรู้สิ”
“ที่นั่น อยู่ห่างจากเรามากแค่ไหน?”
เมื่อได้ยินคำถามของสวี่จื้อ สีหน้าของเสิ่นจินเหวินก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย “เธออยากไปที่นั่นเหรอ?”
สวี่จื้อส่ายหัว “ไม่ ฉันแค่ถามดูเท่านั้น”
เสิ่นจินเหวิน “ค่อนข้างไกลเลยทีเดียว หากขับรถไปก็ต้องใช้เวลาประมาณ 40 นาที ที่นั่นอยู่ทางตอนใต้ของเมือง”
“ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ ถนนบางเส้นน่าจะใช้งานไม่ได้ เราจึงต้องอ้อมไกลกว่าเดิม น่าจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยเป็นชั่วโมงหนึ่งหรือมากกว่านั้น”
ดูเหมือนว่าเธอจะกลับไปที่นั่นไม่ได้เป็นการชั่วโมง เว้นแต่ว่าจะสุ่มเกิดในบริเวณใกล้เคียง
สวี่จื้อหยุดถามคำถามเกี่ยวกับชุมชนวิลล่าหนานซาน เมื่อเห็นว่าอยู่รบกวนนานเกินไปแล้ว เธอก็พร้อมที่จะกล่าวคำอำลา และออกจากห้อง
แต่ก่อนที่จะออกไป เสิ่นจินเหวินหยุดเธอ และถามว่า “ฉันวางแผนที่จะออกไปหาเครื่องมือติดต่อสื่อสารอย่างเครื่องส่งรับวิทยุ เธอต้องการมันสักเครื่องมั้ย?”
จริงๆ นี่เป็นคำใบ้เล็กๆ น้อยๆ อาจจะคล้ายกับคำถามว่า เธออยากเป็นเพื่อนร่วมทีมกับฉันมั้ย?
สวี่จื้อคิด มองดูเสิ่นจินเหวินที่รอคำตอบอย่างสงบ ดังนั้นเธอจึงยิ้ม และพยักหน้า “แน่นอน จากนี้เราจะได้ติดต่อหากันได้ง่ายขึ้น”
เมื่อได้ยินคำตอบของสวี่จื้อ เสิ่นจินเหวินก็ยิ้มออกมา ขัดกับรูปลักษณ์ของผู้หญิงเย็นชา และเข้าถึงยากของเธออยู่ไม่น้อย แต่ทั้งนี้ก็เพราะทั้งสองดูจะใกล้ชิดกันมากขึ้น
สวี่จื้อรู้ว่านี่เป็นเพราะพวกเขาบรรลุ ‘ข้อตกลงร่วม’ ระหว่างกัน
ระหว่างทางกลับบ้าน สวี่จื้อยังคงคิดว่า ผู้คนไม่ควรด่วนตัดสินจากรูปลักษณ์ภายนอก หลังจากที่ได้ลองพูดคุย และไปมาหาสู่กับเสิ่นจินเหวินแล้ว อีกฝ่ายก็ต่างที่เธอคิดไว้ในตอนแรกๆ
แต่เธอไม่รู้ว่า นี่เป็นเรื่องที่สมควรหรือเปล่าที่จะตัดสินคนที่อายุมากกว่าแบบนี้
สำหรับเสิ่นจินเหวิน ตอนแรกอีกฝ่ายดูตื่นตัว และขีดเส้นกั้นบางอย่างเอาไว้ ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูเย็นชา เธอจึงดูเหมือนคนที่คุยด้วยยาก แต่เมื่อลองคุยดูแล้ว มันก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น และเมื่อสนิทกันถึงจุดๆ หนึ่ง อีกฝ่ายก็เริ่มแสดงความมีน้ำใจออกมา และเอ่ยปากชักชวนเธอก่อน
สวี่จื้อชอบเพื่อนร่วมทีมที่เชื่อฟัง และไม่ออกความเห็นมากเกินไป แม้การรับฟังความเห็นของคนอื่นจะเป็นเรื่องดี ในเมืองที่เต็มไปด้วยอันตรายเช่นนี้ เธออยากตัดสินใจเรื่องต่างๆ ด้วยตัวเองมากกว่า แม้จะมีอะไรผิดพลาดจริงๆ เธอก็ยอมจะรับผลที่ตามมา
หลังจากกลับบ้าน สวี่จื้อก็นั่งรอ รอเวลาที่เกมจะอัปเดตเสร็จ
สวี่จื้อเฝ้าดูแถบความคืบหน้าสองชั่วโมงที่ค่อยๆ เต็มหลอดความยากลำบาก จากนั้นหน้าจอที่เธอเห็นเมื่อหยิบเครื่องเกมขึ้นมาเป็นครั้งแรกก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจออีกครั้ง
ท้องฟ้ามืดมน มีดวงอาทิตย์สีดำลอยอยู่บนท้องฟ้า หายนะที่โลกต้องพบเจอในตอนนี้ล้วนมีต้นตอจากดวงอาทิตย์ดวงนั้น หลังจากหยดของเหลวสีดำตกลงมาในโลก ทุกสิ่งก็เปลี่ยนไปอย่างไม่มีทางหวนกลับ
คำบรรยายที่คุ้นเคยปรากฏออกมาที่กึ่งกลางหน้าจอ
[ การอัปเดตเกมเสร็จสมบูรณ์ ]
[ หากต้องการดูรายละเอียด โปรดคลิก ]
สวี่จื้อคลิกตกลง จากนั้นรายละเอียดของการอัปเดตก็เด้งขึ้นมา
[ เนื้อหาของเกมที่มีการอัปเดตใหม่ มีดังต่อไปนี้ ]
[ 1. ปรับการตั้งค่าระบบออโต้ฟาร์มให้เหมาะสม หลังจากการอัปเดต ไม่มีการระบุเวลาอีกต่อไป และสามารถเปลี่ยนคำสั่งได้แบบเรียลไทม์ ผู้เล่นสามารถเรียกแฟมิเลียกลับมาได้ทุกเมื่อที่ต้องการ ]
[ 2. การปรับปรุงในตัวผู้เล่นที่เกิดจากการยกระดับของแฟมิเลียเพิ่มสูงขึ้น ]
[ 3. เพิ่มฟังก์ชั่นกล่องความคิดเห็น หากคุณไม่พอใจกับตัวเกมในตอนนี้ คุณใช้มันเพื่อส่งความคิดเห็นได้ และเราจะทำการพิจารณาว่าควรมีการปรับเปลี่ยนหรือเปล่า ]
รายละเอียดไม่มากนัก แต่สวี่จื้อรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่ออ่านจนจบ
ทำไมถึงทุกสิ่งถูกปรับเปลี่ยนเป็นไปตามที่เธอเคยบ่นเอาไว้?
เธอจำได้ว่าเคยบ่นเกี่ยวกับปัญหาของระบบออโต้ฟาร์มเมื่อวันสองวันก่อน มันก็ปรับให้เหมาะสมในทันที และยังเพิ่มฟังก์ชั่นกล่องความคิดเห็นเข้ามาอีกด้วย
สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือ การปรับปรุงที่เกิดจากการยกระดับของแฟมิเลีย
เธอสงสัยมาโดยตลอดเกี่ยวกับการปรับปรุงทางร่างกายที่แฟมิเลียมอบให้หลังจากยกระดับ พลังในส่วนนั้นมาจากไหน
จากแฟมิเลียของตัวเธอเองเหรอ? หรือมาจากตัวเกม?
แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบใด การอัปเดตนี้ก็ส่งผลให้พลังที่ถูกแบ่งมาให้นั้น มีสัดส่วนมากขึ้น
หรือเครื่องเกมอันนี้ มีวิญญาณบรรพบุรุษของเธออยู่?
อีกฝ่ายให้คำแนะนำแก่เธอในทุกรายละเอียด บอกความลับที่คนทั่วไปยากจะล่วงรู้โดยไม่ลังเล และให้ความช่วยเหลือทั้งทางกายและใจ และยังปรับเปลี่ยนตามความเห็นของเธออีก
ยิ่งไปกว่านั้น อีกฝ่ายไม่เคยเรียกร้องอะไรจากเธอเลย และไม่เคยทำร้ายเธอด้วย
“มีความลับอะไรซ่อนอยู่กันแน่”
สวี่จื้อเริ่มสงสัยว่าจะเป็นแผนการบางอย่างหรือไม่ อย่างเช่น ขุนเธอให้อ้วนเหมือนสัตว์เลี้ยง เมื่อถึงระดับที่มันต้องการ เครื่องเกมก็จะเปิดเผยจุดประสงค์ที่แท้จริง และฆ่าเธอทิ้ง
แต่...หากเป็นแบบนั้นจริงก็ไม่ควรเรียกเธอตั้งแต่แรก?
มีตัวเลือกที่ดีกว่าเธอมากมาย คนอ่อนแออย่างเธอน่าจะอยู่ท้ายตารางด้วยซ้ำ
เธออ่อนแอถึงขนาดปลุกพลังของตัวเองไม่ได้ และต้องได้รับพลังมาจากการกินแก่นพลัง!
เมื่อคิดถึงการปลุกพลังตามธรรมชาติ สวี่จื้อก็หยุดชั่วคราว
คำบรรยายที่เต็มไปด้วยคำเยินยอ และ ‘ความบังเอิญ’ ที่ทำให้เธอได้รับผลไม้สีดำหลายต่อหลายคน ทำให้เธอมีความคิดที่กล้าหาญอย่างหนึ่ง
แต่ก่อนหน้านี้ เธอกลับปฏิเสธความคิดนี้ไปโดยไม่รู้ตัว ท้ายที่สุดแล้วมันก็ค่อนข้างแปลก แม้ว่าเครื่องเกมจะปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน แต่เธอก็ไม่ได้เห็นภาพหลอนใดๆ และเธอก็ไม่ได้ฝันเหมือนเสิ่นจินเหวิน เธอแทบไม่รู้สึกอะไรเลยก็ว่าได้ เหมือนตัวเธอยังเป็นคนธรรมดาเหมือนเมื่อก่อน
ดังนั้น เครื่องเกมไม่ควรเกิดจากพลังวิเศษของเธอ ไม่อย่างนั้นทำไมเธอถึงไม่รู้สึกอะไรเลยล่ะ?
หลังจากปลุกพลัง และได้รับเนตรส่องความลับ เธอรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าตัวเองนั้นก้าวผ่านจากคนธรรมดามาเป็นผู้ปลุกพลังแล้ว
แต่ตอนที่จับเครื่องเกมครั้งแรก มันไม่ให้ความรู้สึกเช่นนั้นเลย
ดังนั้น ความคิดที่กล้าหาญนี้จึงถูกสวี่จื้อปัดตกไปอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ผุดขึ้นมาในใจ
“แล้วจะเป็นอะไรได้อีกล่ะ?”
สวี่จื้อถอนหายใจ รู้สึกไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมเธอจึงถูกเลือก
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นี่เป็นสิ่งเดียวที่เธอสามารถยึดถือได้ และความสามารถของมัน เธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองแล้ว เธอจะไม่มีทางละทิ้งเครื่องมือที่สามารถทำให้เธอแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างแน่นอน
สำหรับตอนนี้ เธอต้องการสัมผัสประสบการณ์ว่าหลังแฟมิเลียยกระดับ การปรับปรุงที่เธอได้รับจะเพิ่มขึ้นมากเท่าใด
สวี่จื้อจึงนำผลไม้สีดำที่เหลืออีกสามผลออกจากคลังเก็บของ ป้อนให้โก้วจื่อหนึ่งผล และอีกหนึ่งผลให้กับเสี่ยวอี้
ส่วนอีกผลที่เหลือ เธอวางแผนที่จะดูว่าเสี่ยวอี้สามารถดูดซับพลังของมันได้มากแค่ไหนในครั้งนี้ หากมันสามารถดูดซับพลังได้มากพอ เธอจะมอบมันให้กับเสี่ยวอี้
ท้ายที่สุดแล้ว เป้าหมายของเธอในตอนนี้คือ การยกระดับขึ้นไปถึงเลเวล 20 โดยเร็วที่สุด
ยิ่งไปกว่านั้น การให้ผลไม้สีดำกับแฟมิเลียทั้งสอง จะมอบโอกาสสุ่มสกิลให้เธอมากถึงสองครั้ง ซึ่งจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งของเธอได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
เมื่อเห็นแฟมิเลียทั้งสองนอนหลับสนิทหลังจากกินผลไม้เข้าไป สวี่จื้อก็ตั้งตารอ
แฟมิเลียของเธอจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างแน่นอนหลังจากกินผลไม้สีดำ แต่เมื่อย้อนกลับมาดูตัวเอง เธอก็กังวลนิดหน่อย
เธอไม่รู้สึกว่าพลังในร่างที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นเลย เธอไม่รู้สึกว่าเนตรส่องความลับมีการพัฒนา และเธอไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงใดๆ อย่างที่เสิ่นจินเหวินบอก
การเปลี่ยนแปลงเพียงอย่างเดียวคือตัวเกมมีการอัปเดต ซึ่งทำให้เธออดคิดไม่ได้
“เหลือแค่เราสองคนแล้ว”
เด็กสาวถือเครื่องเกมไว้ในมือ และพึมพำกับตัวเองด้วยความทุกข์ใจ