บทที่ 6 ความโกลาหล
บทที่ 6 ความโกลาหล
เสียงพูดคุยกันของคนสองคนค่อยๆ เบาลงและจางหายไป!
หลิวจู่เสียนแอบกัดฟัน ต่อให้เป็นคนโง่งี่เง่ามากขนาดไหน ก็คงจะสามารถเดาได้ว่าใครเป็นคนปีนกำแพงและแอบดูเธอเมื่อครู่นี้?
เธอจึงอดรู้สึกแอบโมโหตัวเองไม่ได้ว่าทำไมเธอจึงไม่ขว้างถ้วยชาให้มันแรงกว่านี้! ขว้างให้โดนหัวของเจ้าชายชั่วร้ายคนนั้นให้กลายเป็นคนงี่เง่าไปเลย! กล้าดียังไงมาบุกรุกพื้นที่ส่วนตัว และมาแอบมองข้า….
แต่หากจะพูดไปแล้ว เรื่องเช่นนี้ก็ไม่แปลกมากนัก ไม่ว่าเป็นใครก็ต้องอยากจะรู้อย่างแน่นอนว่าตัวเองกำลังจะแต่งงานกับใคร!
แต่สิ่งที่เขากระทำนั้นก็มากเกินไป! บ้านเมืองมีกฎหมาย ประเทศยังมีจารีตประเพณี การมาเยี่ยมเยียนและพบเจอกับว่าที่ภรรยาในอนาคตก็มิใช่เรื่องแปลกๆอันใด!
หากเป็นคนปกติทั่วไป ก็ย่อมจะต้องเข้าตามตรอกออกทางประตู ด้วยการนำของขวัญของฝากมาเยี่ยมเยียนว่าที่พ่อตาแม่ยายและว่าที่ภรรยา!
แต่เจ้าชายอันธพาลผู้นี้นั้นกลับแอบปีนกำแพงขึ้นมาเพื่อแอบมอง! พฤติกรรมเช่นนี้นั้นไม่ต่างจากข่าวที่ได้ร่ำลือมา ผู้ชายคนนี้เป็นคนเลวทรามและไร้ซึ่งการศึกษา!
แล้วจะให้เธอแต่งงานกับคนแบบนี้เช่นนั้นหรือ? เธอยิ่งรู้สึกรังเกียจและรับมิได้มากยิ่งขึ้น…
ยิ่งหลิวจู่เสียนคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่เธอก็ยิ่งโกรธมากขึ้นเท่านั้นด้วยเสียง
“แกรบ!”
เสียงบางอย่างที่หักโค่นก็ดังขึ้น!
และเมื่อเธอรู้สึกตัว เธอก็เห็นต้นพุทราขนาดข้อมือที่อยู่ข้างกำแพงก็ถูกมือเธอบดขยี้จนแหลกเละ!
โม่จูค่อยๆพยุงต้นพุทราที่ร่วงหล่นลงมาอย่างใจเย็นเพื่อป้องกันไม่ให้เสียงของมันดังเวลาตกลงมาเพราะกลัวคนอื่นได้ยิน!
แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากที่จะต้องคอยช่วยเหลือคุณหนูของเธอในเรื่องเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง แต่เธอก็ทำหน้าที่ได้ดีมาโดยตลอด ก่อนจะกล่าวเตือนด้วยน้ำเสียงที่สงบและชาชิน
“คุณหนูโกรธอีกแล้ว! คุณหนูไม่สามารถระบายความโกรธกับทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวได้! หากนายหญิงเห็นว่าต้นพุทราหายไป เราจะแก้ตัวว่าอย่างไร?”
โม่จูจ้องมองไปที่คุณหนูของเธอขณะที่พูด คล้ายกับว่ากำลังดุเด็กเล็กๆ อยู่!
“ก็แค่บอกว่าเราไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลยเกี่ยวกับต้นพุทราต้นนี้!”
หลิวจู่เสียนทำสีหน้าเหร๋อหรา ขณะที่พูด แต่เธอก็ยังรู้สึกโกรธเจ้าชายฉินเสี่ยวเทียน และเนื่องจากในเวลานี้ไม่สามารถทำอะไรเขาได้ เธอจึงจดบัญชีแค่นี้ไว้ในใจก่อนชั่วคราว
หลิวจู่เสียนไม่ได้บอกใครเรื่องที่มีคนปีนขึ้นไปบนกำแพงในวันนั้น เพราะจะทำให้ทุกคนในตระกูลหลิวรู้สึกหดหู่ แล้วมันก็ไม่ได้ช่วยทำให้อะไรดีขึ้นด้วย!
….
สองเดือนนั้นไม่ยาวนานหรือสั้นนักแต่สำหรับตระกูลหลิวมันเป็นช่วงเวลาที่วุ่นวายและสับสน
‘หยวนหลี่เย่’ ภรรยาของหลิวเจิ้งหยางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง เธอจัดเตรียมของให้ลูกสาวไปด้วยร้องไห้ไปด้วยสุดท้ายเธอก็ล้มป่วย!
ส่วนทางวังอันหยางส่งคนมาเยี่ยมทุกวันแต่สุดท้ายมันยิ่งทำให้เธอเสียใจมากขึ้น มันเป็นเหมือนการตอกย้ำความรู้สึกของการสูญเสียลูกสาวให้กับคนที่ไม่เหมาะสมมากขึ้นเธอจึงล้มป่วยลง!
ถึงแม้ว่าจะไม่สบาย แต่ด้วยความกังวลที่ต้องเรื่องการจัดเตรียมสินสอดให้กับลูกสาว
คุณนายแห่งคฤหาสน์หลิว ก็ไม่ยอมหยุดพัก เมื่อลูกสะใภ้หลายคนเห็นว่าแม่สามีป่วยพวกเธอก็ไปหายารักษาและยาบำรุงมาให้ แต่น่าเสียดายที่เธอเป็นโรคทางใจ ร่างกายจึงทรุดลงตามหลังจากออกแรงไม่ได้หยุด?
แต่ทางด้านหลิวจู่เสียนเองก็ไม่ได้รู้ว่ามารดาของตนไม่สบาย เพราะเธอเองมัวแต่ยุ่งรีบเร่งตัดชุดแต่งงาน!
แต่เมื่อเห็นอาการของหยวนหลี่เย่ไม่ดีขึ้น บรรดาลูกเหล่าสะใภ้ และพี่น้องคนอื่นๆ ที่ในตอนแรกไม่อยากรบกวนหลิวจู่เสียน ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องบอกให้หลิวจู่เสียนมาคอยดูแลและพูดจาดีๆเพื่อโน้มน้าวใจมารดา!
ด้วยใบหน้าสวยงามที่ดูสงบเยือกเย็นหลิวจู่เสียนรีบเดินผ่านทางเดินและข้ามลานบ้านมุ่งหน้าตรงไปยังอาคารที่พักของหยวนหลี่เย่ผู้เป็นมารดา
เมื่อหลิวจู่เสียนมาที่ห้องนอนของมารด เธอได้กลิ่นยาแรงๆทันทีที่เธอเข้าไปในประตูพี่สะใภ้ทั้งสามคนก็อยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าเป็นกังวล ทุกคนรวมตัวกันอยู่รอบๆเตียงและปลอบโยนแม่สามีเบาๆ นางหลิวนั่งอยู่บนเตียงสวมเสื้อผ้าเรียบๆด้วยสีหน้าซีดเซียวแต่ในมือยังถือรายการสินสมรส และมองดูอย่างระมัดระวัง!
เมื่อเห็นหลิวจู่เสียนลูกสาวคนที่สามมา กลุ่มพี่สะใภ้ก็หลีกทางให้ เพื่อที่เธอจะได้เข้ามานั่งใกล้ๆมารดา
“ท่านแม่! เป็นอย่างไรบ้าง?”
หลิวจู่เสียนนั่งลงและคว้ามือแม่ของเธอมากุมไว้ด้วยความเป็นห่วง!
หยวนหลี่เย่มองลูกสาวของเธอด้วยความรักและพูดเบาๆ
“เสียนเอ๋อ! มานี่! ดูสิว่าลูกชอบรายการสินสอดที่แม่เตรียมไว้ให้ลูกหรือไม่?”
ดวงตาของหลิ่วจู่เสียนเปลี่ยนเป็นสีแดง เธอรู้สึกตื้นตันใจและทุกข์ใจ ทั้งๆที่มารดาของเธอไม่สบายแต่ก็ยังเป็นห่วงเธอมาก
หลังจากที่หลิวจู่เสียนระงับอารมณ์ได้ เธอก็กล่าวคำขอบคุณและหยิบรายการในมือของมารดามาดูแบบผ่านๆโดยไม่ได้สนใจรายการทรัพย์สินที่อยู่ในนั้น ก่อนที่เธอจะพยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้มว่า
“ลูกชอบทุกสิ่งที่ท่านแม่เตรียมไว้!”
เมื่อเห็นว่าแม่สามีมีจิตใจที่ดีขึ้น ลูกสะใภ้ทั้ง 3 คนก็เข้ามาคุยเพื่อพยายามทำให้หยวนหลี่เย่ผู้เป็นแม่สามีผ่อนคลาย
คุณนายหลิวแห่งตระกูลหลิวนั้นถือได้ว่าเป็นคนที่จิตใจดีและยุติธรรม เธอปฏิบัติต่อลูกสะใภ้ทุกคนอย่างดีและเท่าเทียมกัน
อย่างไรก็ตามแม้ว่าทุกคนต่างรู้สึกสบายใจมากขึ้นที่หน้าตาของมารดาสดชื่นแจ่มใสขึ้นและดูสบายใจขึ้นมาก แต่อาการไข้ก็ยังไม่สามารถรักษาให้หายได้ภายในชั่วข้ามคืน
ในขณะที่จัดเตรียมสินสอดของลูกสาว คุณนายหลิวยังรู้สึกมีเรี่ยวแรงดี แต่หลังจากจัดการเตรียมสิ่งต่างๆ ในงานแต่งเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ดูเหมือนจะหมดเรี่ยวแรง นอนหลับอยู่บนเตียงด้วยท่าทางที่ค่อนข้างจะอิดโรย
อาการป่วยของหยวนหลี่เย่ทำให้ทุกคนในครอบครัวหลิวรู้สึกเป็นทุกข์ใจ เส้นผมบนศีรษะของหลิวเจิ้งหยางจึงมีเส้นขาวเพิ่มขึ้นมาอีกหลายสิบเส้น
เหตุการณ์ที่ลูกสาวของเขากำลังจะแต่งงานกับเจ้าชายแห่งเมืองอันหยางผู้มีอิทธิพลในเมืองหลวง แล้วภรรยาอันเป็นที่รักของเขาก็ล้มป่วย จึงทำให้หลิวเจิ้งหยางรู้สึกว่าทุกข์ใจและอยู่ในอารมณ์ที่เศร้าหมอง
ความเจ็บป่วยของหยวนหลี่เย่ไม่เพียงแต่สร้างความกังวลให้แก่คนในตระกูลหลิวทั้งหมดเท่านั้น ราชาฉินแห่งเมืองอันหยางก็ยังให้ความสนใจกับเรื่องนี้มาก เขายังสั่งให้คนรับใช้ในวังนำหมอหลวงส่วนตัวมาช่วยตรวจดูอาการอีกด้วย!
ในขณะเดียวกันกลุ่มคนที่ไม่ชอบใจและอิจฉาหลิวเจิ้งหยาง กำลังแอบลุ้นและพูดคุยกันว่าคุณนายแห่งคฤหาสน์หลิวน่าจะไม่สามารถผ่านวิกฤตนี้ไปได้และจะเสียชีวิตอย่างแน่นอน และงานแต่งงานก็จะต้องถูกเลื่อนหรือยกเลิก เปลี่ยนเป็นการจัดงานพิธีศพแทน!
ราชาฉินแห่งเมืองอันหยังรู้สึกค่อนข้างจะกังวลใจที่อาการเจ็บป่วยของหยวนหลี่เย่ ยังคงไม่ฟื้นตัว พวกเขายังกลัวว่าถ้าเธอเป็นอะไรไป! หลิวจู่เสียนจะต้องปฏิบัติตามธรรมเนียมประเพณี คือการแสดงความกตัญญูด้วยการไว้ทุกข์ 3 ปี! และพิธีอภิเษกสมรสก็คงจะต้องถูกเลื่อนออกไป ที่สำคัญที่สุดในเวลานี้เจ้าชายฉินเสี่ยวเทียนก็มีอายุ 23 ปีแล้ว หากยังไม่มีทายาทไว้สืบสกุลมันก็คงจะน่าห่วงกังวลมากเกินไป!
ดังนั้นผู้คนจากวังอันหยางจึงมาเยี่ยมเกือบจะทุกวัน อย่างไรก็ตามผู้คนในวังเจ้าชายอันหยางไม่รู้ว่าทุกครั้งที่พวกเขาเยี่ยมแล้วบอกตระกูลหลิวอย่างเปิดเผยว่าให้พวกเขาอย่าได้กังวลใจไป เพราะพวกเขาก็เปรียบเสมือนญาติและครอบครัวเดียวกันแล้ว ด้วยคำพูดนี้กลับทำให้หยวนหลี่เย่ป่วยหนักขึ้น
หลิวจู่เสียนไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรแม้แต่หมอจากวังหลวงก็ถูกส่งมาตรวจอาการ แต่ในทุกครั้งหมอจากวังหลวงก็จะบอกว่ามารดาโอเคนั้นเจ็บป่วยจากภาวะซึมเศร้า ยาที่ทานนั้นสามารถรักษาอาการทางร่างกายได้เพียงเท่านั้นแต่ไม่สามารถรักษาต้นเหตุทางจิตใจได้ ควรจะหาทางอื่นในการเยียวยารักษา
แต่ในเวลานี้ทุกคนมองไม่มีหนทางอื่น นอกจากต้มยาให้คุณนายหลิวกินทุกวันและมาปลอบนางทุกวันเมื่อเห็นว่าแม่ของเธอป่วยหนักมากขึ้นหลิวจู่เสียนถึงกับวางแผนที่จะหยุดการตัดชุดแต่งงาน และพักอยู่ที่เรือนพักของมารดาเพื่อคอยดูแลเอาใจใส่ เพื่อให้มารดาของเธอนั้นมีความสุขจะได้หายเร็วขึ้น
อย่างไรก็ตามหลังจากหลิวเจิ้งหยางบิดาของเธอ รู้เกี่ยวกับพฤติกรรมของเธอ เขาก็ดุเธอและส่งเธอกลั
บไปที่ห้องของเธอเพื่อทำสิ่งที่เจ้าสาวต้องเตรียมตัวเธอทำก่อนถึงพิธีงานแต่งงาน!
…. ….
จบบท