บทที่ 1 พ่อลูก
บทที่ 1 พ่อลูก
ปีที่ 350 แห่งยุคอันผิง เมืองหนานหยวน มณฑลต้าเซี่ย ภายในเรือนของตระกูลซูนั้นมีกลิ่นหอมกรุ่นของอาหารลอยอบอวลอยู่ ซูอวี่ก้าวเท้าเข้าบ้านแล้วเดินตามกลิ่นหอมไป ทิ้งกระเป๋าลงกับพื้นอย่างไม่ใยดี ดวงตาฉายแววกระหาย มือคว้าเนื้อหมูแดงชิ้นโต อัดเข้าปากเคี้ยวตุ้ย ๆ อย่างเอร็ดอร่อย
“พ่อ…พรุ่งนี้เปลี่ยนเมนูหน่อยได้ไหมครับ กินแต่เนื้อทุกวันก็เบื่อเหมือนกันนะ” ซูอวี่เอ่ยถาม ระหว่างเคี้ยวเนื้อหมูแดงอย่างไม่หยุดพัก
“มีให้กินก็ดีแล้ว ยังจะเลือกอีก!” เสียงบ่นห้วน ๆ ของซูล่งดังมาจากห้องครัว “จะให้พ่อพูดอีกกี่รอบ ปีนี้ลูกก็สิบแปดแล้ว เมื่อไหร่จะเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง เมื่อไหร่จะดูแลตัวเองได้สักที? พ่อเนี่ยนะ ต้องทำหน้าที่ทั้งพ่อและแม่ คอยดูแลลูกมาตั้งนานแล้ว มันถึงเวลาที่พ่อจะได้พักบ้างแล้วนะ”
ซูอวี่หัวเราะร่า เคี้ยวเนื้อหมูแดงไปพลาง “พ่อ…พ่อทำอาหารอร่อยจังเลย เกือบจะเป็นเชฟมืออาชีพได้แล้วล่ะ ผมก็อยากทำอาหารเองนะ แต่ว่า…ผมทำแล้วมันกินไม่ได้น่ะสิ!”
“ฮะ!” ซูล่งหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ไอ้เด็กคนนี้ปากดีแต่ไม่เคยลงมือทำเลย
ไม่นานซูล่งก็เดินออกมา มือถือจานอาหารต่าง ๆ ร่างกำยำ สูงเกือบสองเมตร แต่กลับสวมผ้ากันเปื้อนตัวเล็ก ๆ ดูแล้วช่างขัดตา ซูอวี่บ่นเรื่องนี้ทุกครั้ง ครั้งนี้ก็เช่นกัน “พ่อ…เปลี่ยนผ้ากันเปื้อนให้ใหญ่กว่านี้หน่อยได้ไหมครับ บ้านเราก็ไม่ได้ขัดสนขนาดนั้นนี่!”
“ลูกจะไปรู้เรื่องอะไร!” ซูล่งไม่สนใจ จัดจานอาหารลงบนโต๊ะ ไม่ยอมถอดผ้ากันเปื้อน แล้วนั่งลง “กินข้าวกัน! อะไรประหยัดได้ก็ประหยัด แล้วก็ผ้ากันเปื้อนนี่…มันก็ใหม่นะ…”
“พูดมาสามปีแล้วนะ!” ซูอวี่เบ้ปาก สามปีก่อนก็บอกว่าใหม่แต่ช่างเถอะ แต่สามปีต่อมายังจะพูดแบบนี้อีก พ่อของเขานี่เหลือเกินจริง ๆ
ซูล่งไม่สนใจ นั่งลงกินข้าวอย่างตะกละตะกลามด้วยความเร็วสูง
ซูอวี่เห็นแบบนี้จนชินแล้วจึงไม่ได้ใส่ใจเท่าไรนัก เขานั่งลงอย่างสบายอารมณ์ พลางตักข้าวเข้าปากไปพลางบ่นพึมพำเบา ๆ “พ่อครับ แนวหน้าคงจะเกิดสงครามอีกแล้วใช่ไหมครับ? ผมเพิ่งกลับมา เห็นรถบรรทุกทหารที่ลานจอดรถข้างล่าง มาเกณฑ์ทหารที่คอนโดของเราหรือเปล่าเนี่ย? ไม่รู้ว่าบ้านไหน…”
ซูล่งชะงักการกินข้าวไปเล็กน้อย และวางช้อนส้อมลงอย่างรวดเร็ว สีหน้าจริงจัง “ปกป้องชาติบ้านเมือง เป็นหน้าที่ของเราทุกคน! ฟังจากน้ำเสียงแล้ว หรือลูกคิดว่าการเป็นทหารมันไม่ดีงั้นเหรอ?”
“เปล่าครับ!”
ซูอวี่รีบปฏิเสธ พ่อของเขาเองก็เป็นทหารผ่านศึก มาพูดพล่อย ๆ ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นก็คงโดนฝ่ามือพ่อตบแน่
ซูล่งฮึดฮัดเบา ๆ แล้วจึงยกช้อนส้อมขึ้นกินข้าวต่อ
ระหว่างกินข้าว น้ำเสียงของซูล่งเปลี่ยนไป ดูหดหู่ลงเล็กน้อย “แนวหน้าวุ่นวาย กองทัพใหญ่ ๆ ออกคำสั่งเกณฑ์ทหารอยู่เรื่อย! มีตั้งแต่เกณฑ์ทหารใหม่หรือเรียกทหารเก่ากลับไปประจำการ…”
ตะเกียบที่ซูอวี่กำลังคีบผักอยู่ชะงัก เขาเงยหน้าขึ้นมองพ่อ รอยยิ้มหายไปจากใบหน้า ขมวดคิ้วเล็กน้อย “พ่อครับ นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับเรานี่ครับ? พ่อก็ปลดประจำการมา 18 ปีแล้ว ผมก็เพิ่งบรรลุนิติภาวะ แล้วก็กำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย เกณฑ์ทหารก็คงไม่มาถึงบ้านเราหรอกครับ…”
“18 ปีแล้ว…”
ซูล่งถอนหายใจเบา ๆ ใช่แล้ว 18 ปีแล้ว
“พ่อปลดประจำการมา 18 ปี มีคำสั่งเรียกทหารเก่าของกองทัพปราบปีศาจครั้งนี้เป็นครั้งที่ 5 คนที่อายุเกิน 50 ปี ก็จะไม่ถูกเรียกกลับไปอีกแล้ว”
“4 ครั้งก่อนหน้านี้ เพราะลูกยังเล็ก พ่อเป็นห่วงลูก กลัวลูกจะดูแลตัวเองไม่ไหว เลยไม่ได้ไปรับใช้ชาติ”
สีหน้าซูอวี่เปลี่ยนไป “พ่อครับ บ้านเราไม่จำเป็นต้องไปหรอกครับ เราก็มีสิทธิเลือกว่าจะไม่ไปก็ได้นะครับ!”
“ใช่ เราทำแบบนั้นได้ก็จริง แต่…”
ซูล่งยิ้มแห้ง ๆ สายตาพิจารณาลูกชายพลางเงยหน้าขึ้น “เพราะฉะนั้น พ่อเลยไม่ไปไง สิบแปดปีมาแล้ว มีการเกณฑ์ทหารถึงสี่ครั้ง พ่อก็ไม่ไปเลยสักครั้ง! แต่…วันนี้ลูกชายพ่อโตเป็นหนุ่มแล้ว! อายุสิบแปดปีแล้ว!”
“พ่อ!” ใบหน้าของซูอวี่เปลี่ยนสีซีดเผือด “พ่อจะพูดอะไรครับ?”
“ลูกก็รู้ว่าพ่อจะพูดอะไร” ซูล่งมองลูกชายด้วยแววตาที่เปี่ยมล้นด้วยความรักและความภาคภูมิใจ ริมฝีปากเผยรอยยิ้มอ่อนโยน “สิบแปดปีก่อน ถึงพ่อจะไม่เก่งมากนัก แต่ก็ยังได้เป็นหัวหน้ากลุ่มเล็ก ๆ ในกองทัพปราบปีศาจ ดูแลคนสามสิบคนอยู่”
“ตอนนั้นแม่ลูกกำลังจะคลอดลูก พ่อเลยขอลาพักกลับบ้าน ใครจะรู้ว่า…แม่ลูกก็จากไป ลูกเพิ่งลืมตาดูโลก ที่บ้านก็ไม่มีคนแก่ช่วยดูแล พ่อเลยไปไหนไม่ได้จริง ๆ ……”
“สุดท้าย…พ่อเลยต้องลาออก!” ซูล่งยิ้มแห้ง ๆ อีกครั้ง แววตาเศร้าสร้อย เต็มไปด้วยความขมขื่น “ตอนที่พ่อออกจากกองทัพปราบปีศาจ เพื่อนร่วมทีมไม่มีใครมาส่งพ่อเลย! ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่อยากให้พ่อไป แต่กลัวว่าพ่อจะทนไม่ไหว แล้วกลับไปอีก”
“สิบแปดปีแล้ว ไม่มีใครติดต่อพ่อเลย กลัวว่าพ่อจะอยากกลับไป พ่อฝันร้ายทุกคืน ฝันว่าพวกเขากำลังตะโกนด่าพ่อ ให้พ่อกลับไปเลี้ยงลูก!”
“สามสิบคน ปีแรกที่พ่อออกไป มีคนตายไปเก้าคน……”
“ไม่มีใครลาออกกลับบ้าน ส่วนอีกยี่สิบเอ็ดคน…ลูกรู้มั้ยว่าเหลืออยู่กี่คน?”
“ยังอยู่ในสนามรบ!”
ซูล่งน้ำตาคลอเบ้า “พ่อเห็นแก่ตัว พ่อเลยไม่กล้าถาม ไม่กล้าสืบเรื่อง! สี่ครั้งที่ผ่านมา พ่อไม่เคยไปรับหมายเรียก แต่ครั้งนี้…ซูอวี่ พ่อคิดว่าถึงแม้จะตาย ก็ขอให้ตายบนสนามรบเถอะ ตายอย่างกล้าหาญ พ่อ…ไม่อยากตายที่บ้าน!”
ซูอวี่เงียบไป
เขารู้เสมอว่าพ่อคิดถึงเพื่อนร่วมรบ คิดถึงบรรยากาศการต่อสู้ที่แนวหน้า หากแม่ยังมีชีวิตอยู่ พ่อคงไม่ลาออกจากกองทัพปราบปีศาจกลับมาใช้ชีวิตเรียบง่ายแบบนี้หรอก
แต่ในความคิดของเขา สิบแปดปีผ่านไปแล้ว พ่อควรจะลืมเรื่องราวเหล่านั้นได้แล้ว ควรวางอดีตลงได้แล้ว
ทว่าวันนี้ พ่อกลับบอกเขาว่า ไม่! พ่อวางมันไม่ลงจริง ๆ !
“พ่อ……” ซูอวี่เอ่ยเสียงเบา ใบหน้าซีดเผือด แสดงให้เห็นถึงความไม่สบายใจ “แนวหน้ากำลังวุ่นวาย ทหารล้มตายเพิ่มขึ้นทุกวัน สิบแปดปีที่ผ่านมา เกณฑ์ทหารผ่านศึกถึงห้าครั้งแล้ว ทุกสามสี่ปีก็จะมีการเกณฑ์ครั้งใหม่ พ่อเคยเป็นทหาร พ่อรู้ดีว่านั่นหมายความว่าอย่างไร……”
“ผม… ผมยังไม่ได้แต่งงาน ยังไม่ได้สอบเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำ ยังไม่ได้ให้พ่อได้อุ้มหลานเลย……” น้ำเสียงของซูอวี่เต็มไปด้วยความกังวล
ซูล่งหัวเราะเบา ๆ “ไม่เป็นไร พ่อรอได้! อย่าคิดว่าพ่อกลับไปเพื่อไปตายสิ พ่อกลับไปเพื่อชนะ!”
“พ่อ!” ซูอวี่เรียกพ่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ไอ้หนุ่มน้อย อย่าคิดมากไปเลย กินข้าวเถอะ!” ซูล่งขัดลูกชายพลางตักข้าวเข้าปาก “กินมื้อนี้เสร็จแล้ว ต่อไปนี้ทำกับข้าวเองนะ! ถ้าไม่มีอะไรกินก็ออกไปกินข้างนอก บัญชีมีเงินอยู่ ลูกรู้รหัสผ่านอยู่แล้ว”
“ครับ…ข้างล่างเขารอพ่ออยู่ ไม่ควรเสียเวลาไปมากกว่านี้แล้ว” ซูอวี่กล่าว
“ถ้าสอบเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำได้ อย่าลืมเขียนจดหมายมาหาพ่อนะ พ่อมีเวลาเมื่อไหร่ก็จะได้อ่าน” ซูล่งบอกลูกชายด้วยรอยยิ้ม
“สอบเข้ามหาวิทยาลัยอารยธรรมต้าเซี่ยให้ได้นะ พ่อภูมิใจในตัวลูกนะ อาจารย์ของลูกก็มาคุยกับพ่อแล้ว ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดลูกต้องสอบติดแน่ ๆ ตระกูลซูของเราจะมีคนเก่งสักที!” ซูล่งพูดด้วยความภาคภูมิใจ
“ลูกนี่สมองมันเกิดมาดีจริง ๆ ฉลาดเกินไป พ่อถึงกับสงสัยเลยนะว่าไม่ใช่ลูกพ่อ… แต่ก็ดีที่ลูกหน้าตาเหมือนตอนพ่อหนุ่ม ๆ” ซูล่งหัวเราะ
สีหน้าซูอวี่ซีดเผือด พอได้ยินคำพูดนั้นก็อดไม่ได้ที่จะแย้ง “พ่อ พ่อแน่ใจนะว่าตอนพ่อหนุ่ม ๆ หน้าตาเหมือนผม?”
“จริงสิ! มันจะมีอะไรที่ไม่เหมือนอีก”
ซูล่งเงยหน้าขึ้น มองลูกชายด้วยใบหน้าหยาบกร้าน รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นที่ริมฝีปาก “ลองไปถามเพื่อนบ้านดูสิ ว่าหน้าตาคล้ายกันไหม?”
ซูอวี่หมดเรี่ยวหมดแรง รู้ทันทีว่ซูล่งกำลังเปลี่ยนเรื่อง จึงพยายามดึงหัวข้อกลับมา “พ่อครับ ไปจริง ๆ เหรอ? ไม่ใช่ผมดูถูกพ่อนะครับ แต่พ่อไม่ได้ลงสนามรบมา 18 ปีแล้ว ไม่ได้ฝึกฝนอะไรด้วย ตอนนี้ก็แค่ระดับเก้าชั้น ไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร?”
“นี่ลูกดูถูกใครกัน?”
ซูล่งตวาดเสียงดัง ใบหน้าแดงก่ำ “ระดับเก้ามันยังไงล่ะ? สนามรบมันไม่ได้ดูแค่กำลังกาย ถ้าดูแค่กำลังกายก็ไม่ต้องทำสงครามแล้ว! สนามรบอะไรก็เป็นไปได้หมด สมัยก่อนพ่อแค่ระดับเจ็ดชั้น ยังเคยฆ่าคนที่แข็งแกร่งระดับหมื่นมาแล้ว!”
ซูอวี่รู้สึกหนักใจ ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จริงเหรอเท็จ แต่พ่อพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาหลายปีแล้ว ความเป็นไปได้ที่มันจะเป็นเรื่องจริงจึงสูงพอสมควร
ที่สำคัญคือ เขาไม่อยากให้พ่อไปแนวหน้า
แนวหน้าเต็มไปด้วยความโหดร้าย ทุกปีมีทหารจำนวนมากล้มตายในสนามรบ สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงเรื่อย ๆ พ่อตัวเองก็อายุจะ 50 แล้ว ตอนนี้กลับไปรบอีก…ซูอวี่ไม่อยากคิดภาพนั้นเลย
“พ่อ…”
“ไม่เป็นไรน่า!”
ซูล่งขัดจังหวะ เขาลุกขึ้นเก็บจานชามแล้วพูดเสียงเคร่งขรึม “พ่อลงทะเบียนไปแล้ว ถ้าไม่ไปก็คือทหารหนีทัพถ้ายังไม่ลงทะเบียนก็ไม่เป็นไร แต่ลงทะเบียนแล้วไม่ไป รู้ผลลัพธ์ไหม? หนีทัพ นั่นก็คือตายนะลูก!”
“พ่อครับ คุยกันก่อนไม่ได้เหรอครับ?”
ซูอวี่โมโห! ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ อย่างที่ซูล่งพูด ถ้ายังไม่ลงทะเบียนก็ไม่เป็นไร สำหรับทหารเหล่านี้ คำสั่งเกณฑ์ทหารก็ไม่ได้บังคับ ทหารเหล่านี้ที่ยังมีชีวิตอยู่จนปลดประจำการได้ สมัยก่อนล้วนแต่มีคุณูปการในสนามรบทั้งนั้น
แต่ถ้าลงทะเบียนแล้ว ก็หมายความว่ากลับเข้าประจำการอีกครั้ง นั่นก็คือทหารแล้ว ตอนนี้ไม่ไป ก็คือทหารหนีทัพ
“คุยอะไร?”
ซูล่งไม่ใส่ใจนัก แค่เอ่ยขึ้นเบา ๆ ว่า “อย่าห่วงไปเลย พ่อไม่ตายง่าย ๆ หรอก ถึงจะตายจริง ๆ ขึ้นมา แต่เป็นการตายบนสมรภูมิรบนะ เงินช่วยเหลือก็มีถมเถ จำไว้ล่ะ! ถึงเวลานั้นไปรับพ่อด้วยนะ พอให้แต่งงานมีลูกได้สบาย ๆ เลย พ่อจัดการทุกอย่างเตรียมไว้ให้หมดแล้ว!”
พูดจบ ซูล่งก็หยิบสัมภาระที่เตรียมไว้เรียบร้อย ถอดผ้ากันเปื้อน สะพายกระเป๋า ดูราวกับแค่ไปเที่ยวไกล ๆ แล้วสั่งเสียอย่างไม่ใส่ใจนักว่า “ตั้งใจเรียนนะ อยู่แนวหลังสนับสนุนมนุษยชาติก็ได้ ไปเรียนในมหาวิทยาลัยดี ๆ แล้วก็ทำให้ตระกูลซูของเราภูมิใจด้วยล่ะ!”
“มหาวิทยาลัยดี ๆ นั่น……เดี๋ยวกลับไปต้องโม้ซะหน่อยว่าลูกฉันสอบเข้าสถาบันการศึกษาชั้นนำ เก่งกว่าพวกนั้นเยอะเลย!”
“ถึงจะเสียดายนิดหน่อย ใบประกาศของลูกก็คงไม่ได้เห็นแล้ว เดี๋ยวถ่ายรูปส่งมาให้พร้อมกับจดหมายด้วยนะ ไม่งั้นพวกนั้นจะคิดว่าพ่อโม้อีก……”
“พ่อ!”
ซูอวี่รีบลุกขึ้นวิ่งตามพ่อ ท่าทางตกใจกลัว พ่อจะไปจริง ๆ แล้ว! ตลอดสิบแปดปีที่ผ่านมา เขาชินกับการมีพ่ออยู่เคียงข้างเสมอมา วันนี้พ่อจะจากไป เขาเตรียมใจไม่ทันเลยแม้แต่น้อย
“โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กนะอย่ามาทำตัวงอแงเลย!”
ซูล่งยิ้มกว้าง แล้วพูดว่า “ถ้าลูกยังไม่โต พ่อก็ไม่ไปหรอก! แต่ตอนนี้พ่อต้องกลับไปแล้ว สิบแปดปีที่แล้ว ทีมของพ่อยังมีเด็กที่อายุเท่ากับลูกอยู่หลายคน ลูกรู้ไหม? พ่อฝัน ฝันถึงพวกเขา……ฝันว่าพวกเขาร้องไห้ ตะโกนด้วยความเจ็บปวดว่าจะฆ่าพวกสัตว์เดรัจฉานพวกนั้นให้หมด ตอนนี้พ่อเริ่มเสียใจแล้ว สมัยนั้น……น่าจะส่งลูกไปอยู่ที่บ้านของทหาร ยังไงที่นั่นก็มีคนดุแลลูกอย่างดีอยู่แล้ว”
ดวงตาของซูล่งเริ่มแดงก่ำ “ถูกเกณฑ์ไปแล้วห้าครั้ง สี่ครั้งก่อนหน้านี้ พ่อเตรียมข้าวของพร้อมแล้ว แต่ทุกครั้งที่เห็นลูก พ่อก็เห็นแก่ตัว ไม่อยากไป! นี่เป็นครั้งที่ห้าแล้ว จะมีครั้งต่อไปอีกไหมนะ? ถ้ามี พออายุครบห้าสิบปี กองทัพปราบปีศาจก็ไม่รับพ่อกลับไปแล้ว!”
“ถึงเวลาแล้วล่ะ พ่อไปแล้วนะ สนามรบจูเทียน...พ่อจะกลับไปแล้ว!”
“คราวนี้ พ่อจะไปกำจัดพวกปีศาจหินนั่นให้ดู รับรองเลยว่าจะเอาซากพวกมันกลับมาด้วย!” ซูล่งโบกมือลา แล้วก้าวเดินจากไป
สิบแปดปีมาแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ซูอวี่ได้เห็นพ่อของเขาเด็ดเดี่ยว สง่างามเช่นนี้
แต่...นี่ไม่ใช่ภาพที่เขาอยากจะเห็นเลย
“พ่อ...”
“บอกแล้วไงว่าอย่าพูดมาก...”
ซูอวี่ยืนอยู่หน้าประตู กัดฟันแน่น แล้วตะโกนขึ้นมาอย่างกะทันหัน “ถ้าพ่อไม่กลับมา ผมจะไปเป็นลูกเขย ไปเข้าครอบครัวอื่น! เปลี่ยนนามสกุล ตัดขาดจากตระกูลซูของพ่อเลย ถ้าพ่อไม่แคร์ ผมก็ทำได้เหมือนกัน!”
“พ่อ...” ซูล่งถึงกับชะงัก เกือบจะหันกลับไปต่อว่าลูกชาย
เขาอยากจะหยุด อยากจะกลับบ้านไปตีลูกชายคนนี้ให้เข็ด!
ไอ้เด็กนี่มันกล้าดียังไง! ตระกูลซูของเขาทั้งชีวิตเพิ่งจะมีคนเก่งสักคน ถ้าไปเป็นลูกเขยครอบครัวอื่น ตายไปก็ไม่เอา!