ตอนที่ 26 ความต่างของพลังวิเศษ
ตอนที่ 26 ความต่างของพลังวิเศษ
"สองชั่วโมง"
แม้จะผ่านมาระยะหนึ่งแล้ว นี่เป็นการอัปเดตเกมครั้งแรกที่เธอได้เห็น มันจะส่งผลกระทบอะไรต่อแฟมิเลีย รวมตัวเธอเองหรือไม่?
"ไม่รู้ว่าหลังจากอัปเดตแล้วจะมีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง"
ตอนนี้ เมื่อไม่มีอะไรทำ สวี่จื้อจึงวางแผนที่จะขึ้นไปชั้นบนเพื่อตามหาเสิ่นจินเหวิน และทำตามสัญญาที่ได้ให้ไว้
เมื่อสวี่จื้อเคาะประตู เสิ่นจินเหวินก็กำลังกังวลเกี่ยวกับปัญหาไฟฟ้าดับอยู่
แหล่งจ่ายไฟสำรองดูเหมือนจะหมดลงแล้ว และตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เธอจะไม่มีไฟฟ้า แก๊ส หรือน้ำ
เมื่อได้ยินข่าวร้าย สวี่จื้อก็รู้สึกหนักใจ แม้เธอจะไม่ต้องการอาหาร และน้ำเหมือนเสิ่นจินเหวิน แต่ปัญหาเรื่องพลังงานก็เป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากทั้งเมืองถูกปกคลุมไปด้วยหมอกดำ แสงจึงไม่ค่อยมี เมื่อตกดึก ทุกอย่างก็จะมืดมิดจนเธอไม่อาจอ่านหนังสือได้อีกต่อไป
โชคดีที่ไม่จำเป็นต้องชาร์จเครื่องเกม ไม่เช่นนั้นสวี่จื้ออาจจะหัวเราะไม่ออกจริงๆ
ตามเคย เสิ่นจินเหวินเทน้ำแร่หนึ่งแก้วลงในถ้วยกระดาษ แต่ตอนนี้เธอก็ยังดูกังวลอย่างเห็นได้ชัด
"พี่สาว พี่ยังโอเคมั้ย?"
แม้ว่าเธอและเสิ่นจินเหวินจะเป็นเพียงคู่ แต่ก็มีสายสัมพันธ์ต่อกันถึงระดับหนึ่งแล้ว เนื่องจากเหตุผลด้านมนุษยธรรม เธอจึงถาม เผื่ออีกฝ่ายจะต้องการความช่วยเหลือ
เสิ่นจินเหวินตกตะลึง ทำให้ความกังวลหายไปชั่วขณะ แต่ก็เธอคิดว่าสวี่จื้อถามมารยาทเท่านั้น ดังนั้นเธอจึงพยักหน้าแล้วตอบอย่างสงวนท่าที “ไม่เป็นไร ยังไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
เธอได้กักตุนเสบียงเอาไว้ก่อนแล้ว ตอนนี้จึงมีเพียงพอสำหรับเธอที่จะอยู่รอดไปอีกสักพักใหญ่
เนื่องจากคำถามของสวี่จื้อ บรรยากาศระหว่างทั้งสองจึงดูอึดอัดใจเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เธอไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนมากนัก เธอจึงอ่านบรรยากาศที่ละเอียดอ่อนแบบนี้ไม่ออก เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ต้องความช่วยเหลือ เธอก็ดึงกลับเข้าประเด็นเดิม
ในตอนแรกเธอบอกเสิ่นจินเหวินอย่างตรงไปตรงมาถึงสิ่งที่อีกฝ่ายอยากรู้ แต่เสิ่นจินเหวินไม่กล้าถามอะไรมาก สวี่จื้อจึงไม่ได้พูดอะไรมากมายเช่นกัน
ตัวอย่างเช่น เธอกล่าวว่าหลังจากกินแก่นพลังแล้ว อาจทำให้ตกอยู่ในภาพลวงตา เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น อย่าลืมรักษาความมีเหตุผลของตัวเองเอาไว้ ทำให้จิตใจหนักแน่นมากที่สุด อย่างไรก็ตาม สวี่จื้อไม่ได้บอกเสิ่นจินเหวินว่าภาพลวงตาจะมีลักษณะเป็นอย่างไร เนื่องจากมันจะเปลี่ยนแปลงไปตามสายพลัง
นอกจากนี้ เธอยังเตือนเสิ่นจินเหวิน โดยอิงจากประสบการณ์ของตัวเอง โดยเตือนว่าหากไม่มั่นใจในพลังของตัวเอง เมื่อกินแก่นพลังควรจะมีคนคอยอยู่ข้างๆ
แล้วคนรอบเสิ่นจินเหวินมีใครบ้าง จากที่เห็นมีเพียงเธอคนเดียวที่อีกฝ่ายสามารถเรียกหาได้ในตอนนี้
สวี่จื้อรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี เมื่อถึงเวลาที่เธอต้องอยู่เคียงข้างเสิ่นจินเหวิน อีกฝ่ายก็จะติดค้างเธอ
แม้ว่าสวี่จื้อไม่มีความตั้งใจที่จะตั้งทีม แต่เธอก็ต้องการเพื่อนที่เป็นประโยชน์นอกเหนือจากแฟมิเลีย และดูเหมือนว่าเสิ่นจินเหวินจะมีฝีมือไม่น้อยเลยทีเดียว
แม้ว่าเสิ่นจินเหวินจะไม่แข็งแกร่งนัก แต่เธอก็สามารถทำบางสิ่งที่แฟมิเลียไม่สามารถทำได้ และทั้งสองคนได้สร้างความไว้วางใจต่อกันในระดับหนึ่งแล้ว
จากการสังเกตเห็น แถวๆ นี้มีเพียงเธอและเสิ่นจินเหวินเท่านั้น เธอจึงไม่ต้องกังวลว่าจะมีบุคคลที่สามปรากฏตัว และพาอีกฝ่ายออกจากที่นี่ไป
แต่สวี่จื้อก็ต้องการที่จะแน่ใจ ดังนั้นเธอจึงถามออกไปว่า “น่าจะฐานผู้ลี้ภัยที่ผู้คนไปรวมตัวกันอยู่ในเมือง พี่อยากย้ายไปอยู่ที่นั่นมั้ย?”
เสิ่นจินเหวินไม่รู้ว่าสวี่จื้อกำลังคิดอะไรอยู่ เมื่อได้ยิน เธอก็คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายหัว “อย่างที่เคยบอก ฉันไม่คิดจะออกจากที่นี่”
เยี่ยมมาก หากเสิ่นจินเหวินไม่คิดจะออกจากที่นี่ ก็ถือเป็นเรื่องดีสำหรับเธอ
“ถ้าอย่างนั้น พี่ช่วยบอกฉันหน่อยได้มั้ยว่าพี่ปลุกพลังขึ้นมาได้ยังไง และนั่นคือพลังอะไรกันแน่?”
สวี่จื้อมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย เธอเคยอยากถามเรื่องนี้มาก่อน แต่ทั้งสองยังไม่คุ้นเคยกันดีในเวลานั้น ดังนั้น การถามคำถามดังกล่าวจึงค่อนข้างจะล้ำเส้นมากเกินไปในตอนนั้น
คราวนี้ เสิ่นจินเหวินไม่ได้พูดอย่างคลุมเครือเหมือนเคย แต่พูดอย่างชัดเจน “จู่ๆ วันนี้ฉันก็ปลุกพลังขึ้นมาได้ รู้สึกจะประมาณหนึ่งสัปดาห์ให้หลังจากเมืองถูกปิดตาย”
“ตอนนั้น เป็นเวลาประมาณตีห้า หลังจากที่ฉันตื่นขึ้นจากความฝันแปลกๆ”
เมื่อเสิ่นจินเหวินพูดถึงสิ่งนี้ เธอก็ดูครุ่นคิด ราวกับว่าเธอพยายามสิ่งที่ได้พบเจอในความฝัน
“ฉันจำได้แค่เลือนรางว่าในฝัน ฉันยืนอยู่บนที่ราบกว้างที่ขาวโพลน หิมะก็ตกหนักอย่างไม่หยุดหย่อน จนแทบทั้งร่างของฉันถูกปกคลุมด้วยหิมะ จากนั้น จู่ๆ ฉันก็กลายเป็นเกล็ดหิมะที่ล่องลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ร่อนเร่ไปมาอย่างไร้จุดหมาย”
“จากนั้นฉันก็ตื่นขึ้น และเมื่อรู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นผู้ปลุกพลังแล้ว”
“แต่พลังวิเศษที่ฉันได้รับมาก็ไม่ถือว่าแข็งแกร่งนัก และดูเหมือนจะเป็นความสามารถติดตัว ถ้าจะให้ตั้งชื่อฉันก็คงเรียกมันว่า ‘คมดาบ’ นี่คือสิ่งที่จิตใต้สำนึกของฉันได้บอกมา”
“เมื่อฉันเหวี่ยงดาบ พลังจึงจะถูกกระตุ้น ความคม และความเหนียวของดาบที่ฉันถือจะดีขึ้นเล็กน้อย”
จากคำบอกเล่าของเสิ่นจินเหวิน สวี่จื้อก็ได้ยินถ้อยคำที่คุ้นเคยมากมายจากปากของเธอ
‘คม’ มันฟังดูคุ้นเคยจริงๆ
จากแฟมิเลียทั้งสองของเธอ เสี่ยวอี้ได้ครอบครองสกิลที่ถูกเรียกว่า ‘คมเขี้ยว’ อยู่ แต่ส่วนที่แหลมคมของพวกมันคือฟันหรือกรงเล็บของตัวพวกมันเอง แต่เสิ่นจินเหวินนั้นต้องมีดาบอยู่ในมือ
ดูเหมือนว่าพลังวิเศษของมนุษย์กับสัตว์กลายพันธุ์จะแตกต่างกัน ในบางด้านจริงๆ
จากคำอธิบายเกี่ยวกับความฝันของเสิ่นจินเหวิน ทำให้สวี่จื้อนึกถึงภาพลวงตาที่เธอได้เห็นหลังกินแก่นพลัง
ดูเหมือนว่านี่เป็นเรื่องปกติทั่วไป แค่ภาพที่เห็นจากต่างกันตามสายพลัง
เธอคิดอยู่ครู่หนึ่ง และเตือนเสิ่นจินเหวิน “พี่ครอบครองพลังเหมันต์อยู่ ส่วนความฝันที่พี่เห็นนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับพลังในตัวพี่ หลังจากกินแก่นพลัง พี่ก็ได้เห็นภาพลวงตาที่เหมือนกับความฝันนั้นอีกครั้ง แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการคาดเดาของตัวฉันเอง แต่ก็น่าสำหรับใช้อ้างอิงได้อยู่”
เสิ่นจินเหวินพยักหน้า แล้วเสริมราวกับว่าเธอเพิ่งนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “ฉันรู้สึกว่าอีกไม่นาน พลังของฉันจะพัฒนาไปสู่ระดับใหม่”
“หา?” สวี่จื้อมองด้วยความงุนงง ขณะที่เสิ่นจินเหวินค่อยๆ พูดต่อ
“แม้จะไม่รู้ว่ามันเกิดจากอะไรกันแน่ แต่ฉันสัมผัสได้ว่านับตั้งแต่ปลุกพลัง พลังในร่างกายของฉันก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นทุกขณะ เรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้วครึ่งหนึ่ง”
“ตอนนี้ความรู้สึกนั้นได้กลับมาอีกครั้ง บางทีในอีกไม่กี่วันข้างหน้า พลังของฉันก็จะพัฒนาขึ้นอีกครั้ง”
“แต่ครั้งนี้ มันทิ้งช่วงนานกว่าครั้งที่แล้วไม่น้อย”
ดวงตาขอ สวี่จื้อเบิกกว้างเล็กน้อย ทำไมเธอไม่รู้สึกแบบนั้นเลย?
นับตั้งแต่ครอบครองเนตรส่องความลับ เธอสามารถสัมผัสได้ถึงพลังที่มีอยู่ในร่างกายของตัวเองได้ตลอดเวลา แต่ไม่เค้าลางของพลังที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเลย!
เธอกับเสิ่นจินเหวินแตกต่างกันตรงไหน?
อีกฝ่ายกลายเป็นผู้ปลุกตามธรรมชาติ ส่วนเธอต้องผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากเพื่อให้ปลุกพลังได้หลังจากกินแก่นพลัง
เพราะเรื่องนี้ หรืออาจจะมีปัจจัยอื่นๆ รวมอยู่ด้วย
อย่างเช่น เครื่องเกม?
แม้ว่าสวี่จื้อจะรู้สึกสับสน แต่เธอก็ไม่ได้ไม่พอใจอะไร ท้ายที่สุดแล้วพลังที่เธอได้รับในทุกวันนี้ มากกว่าที่เสิ่นจินเหวินได้รับได้อย่างแน่นอน
แต่เธอยังคงต้องค้นหาว่ามันเกิดจากสาเหตุอะไรกันแน่