บทที่ 447: วายร้าย (4)
【แปลโดยฝีมือ...ยักษาแปร...มาติดตามได้ที่แฟนเพจหรือเพื่อติดตามเอาข่าวสารได้นะ】
【แค่ คอมเมนต์ ก็เหมือนการให้กำลังใจแล้วนะครับ รบกวน comment กันหน่อยน๊า ;-;】
【Thai-novelจะทำการลงไวกว่าที่อื่นทุกที่ เป็นจำนวน 5 ตอน แต่เรื่องราคาแพงกว่าที่อื่นนิดหน่อย】
บทที่ 447: วายร้าย (4)
“เริ่มแต่งหน้าอสูรได้!” เสียงตะโกนของผู้กำกับบิล เลาต์เนอร์ดังขึ้น คังวูจินผู้สวมชุดราตรีเต็มยศ ดูสง่างามราวกับขุนนางตั้งแต่หัวจรดเท้า ก้าวออกจากพื้นที่ถ่ายทำ ทันใดนั้นเหล่าทีมงานกว่าร้อยชีวิตก็เคลื่อนไหวอย่างเป็นระบบอีกครั้ง คังวูจินกวาดสายตามองรอบ ๆ อย่างพินิจพิเคราะห์
‘เหลือเชื่อจริง ๆ ยิ่งเห็นยิ่งอลังการ’
เขาหมายถึงฉากปราสาทขนาดมหึมาที่ใช้เป็นฉากชีวิตของ ‘อสูร’ ในภาพยนตร์ ‘โฉมงามกับเจ้าชายอสูร’ แม้แต่กำแพงปราสาทก็ยังสร้างขึ้นใหม่ทั้งหมด แค่ตรงนี้ก็ยิ่งใหญ่อยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบกับ ‘สตูดิโอSPT’ ขนาดกว่า 50000 พย็อง (ประมาณ 135000 ตารางเมตร) ทั้งหมดแล้ว ที่นี่ก็เป็นเพียงพื้นที่เล็ก ๆ ส่วนหนึ่งเท่านั้น ถึงกระนั้นก็ยังคงน่าตื่นตะลึงอยู่ดี
‘นี่มันทั้งประเทศเลยหรือเปล่านี่?’
ไม่ใช่แค่ขนาดที่ใหญ่โตจนแทบลืมหายใจ แต่สิ่งที่ทำให้วูจินอุทานออกมาซ้ำ ๆ คือบรรยากาศโดยรวมของฉาก ไม่ว่าจะเป็นหมู่บ้านหรือปราสาท ‘สตูดิโอSPT’ แห่งนี้ทั้งหมดยิ่งกว่าโลกแฟนตาซี และในบรรดาผู้คนมากมายที่นี่ มีเพียงวูจินคนเดียวที่เคยสัมผัสโลกของ ‘โฉมงามกับเจ้าชายอสูร’ มาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
กระนั้น การที่โลกอันกว้างใหญ่ถูกจำลองขึ้นในโลกแห่งความจริงได้อย่างสมจริงเช่นนี้ก็ยังคงน่าอัศจรรย์ใจ
‘แน่นอนว่าในเรื่องของคุณภาพ มิติว่างเปล่าย่อมเหนือกว่า’
ความตื่นเต้นแล่นริ้วอยู่ในอก ภาพยนตร์ที่เคยอยู่ในความทรงจำถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์คนแสดง และ ‘อสูร’ ในฉากนั้นก็คือตัวเขาเอง ภายนอกอาจดูนิ่งเฉย แต่ภายในใจของคังวูจินนั้นเปี่ยมล้นไปด้วยความปลื้มปีติราวกับจะเหินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ขณะที่วูจินเคลื่อนไหวไปพร้อมกับทีมงานต่างชาติ สายตาก็ยังคงจับจ้องไปยังยอดกำแพงปราสาท
บอกไม่ถูก แต่มันดูเขียวขจีเหลือเกิน
ผืนสีเขียวมรกตทอดยาวคลุมทุกอณูของฉาก ตั้งแต่กำแพง ปราสาท เรื่อยไปจนถึงหลังคา ราวกับโลกทั้งใบถูกห่อหุ้มด้วยผืนกำมะหยี่สีเขียวขจี คังวูจินครุ่นคิดในใจ
‘นี่มันฉากกรีนสกรีนเป็นดงชัด ๆ ’
กรีนสกรีน... พื้นหลังสีเขียวที่มักใช้สร้างสรรค์บรรยากาศพิเศษในการถ่ายทำ และด้วยความที่ ‘โฉมงามกับเจ้าชายอสูร’ จำเป็นต้องใช้เทคนิคคอมพิวเตอร์กราฟิก หรือ CG จำนวนมาก การได้เห็นกรีนสกรีนมากกว่าภาพยนตร์ทั่วไปจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ แม้เขาจะเคยผ่านตาฉากแบบนี้มาบ้างจากหนังเรื่องอื่น แต่ก็ไม่เคยพบเห็นฉากที่ใช้พื้นที่มหาศาลขนาดนี้มาก่อน การผสมผสานระหว่างฉากจริงกับภาพกราฟิกคงจะทำให้หนังดูสมจริงน่าตื่นตาตื่นใจขึ้นอย่างมากทีเดียว
วูจินพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของตัวเอง ก่อนจะหันไปด้านข้างตามเสียงใสที่คุ้นเคย
“ชุดราชวงศ์นี่เข้ากับคุณจังเลยนะคะ”
ไมลีย์ คาร่า สาวผมบลอนด์ที่รวบผมเป็นหางม้าเรียบร้อย สวมเสื้อยืดสีขาวเรียบง่าย ดูเหมือนเธอยังไม่ถึงคิวเข้าฉาก วูจินรู้สึกได้ถึงสายตาหลายคู่ที่จับจ้องมา จึงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่สวมบทบาท
“ร้อนครับ”
“แต่คุณดูไม่ร้อนเลยสักนิด”
“ถ้าคุณได้ลองสวมเองก็จะรู้”
“ฉันลองมาสามรอบแล้วค่ะ แถมยังแอบถ่ายรูปคุณเก็บไว้ด้วย หวังว่าคุณคงไม่โกรธนะคะ”
“ไม่หรอก”
ไมลีย์ คาร่าขยับเข้ามาใกล้ แต่ก็ยังคงเว้นระยะห่างเอาไว้อย่างเหมาะสม คงเพราะเกรงสายตาของทีมงานรอบข้าง กลิ่นหอมจาง ๆ ของน้ำหอมประจำตัวเธอโชยมาแตะปลายจมูก ก่อนที่เสียงกระซิบแผ่วเบาจะดังขึ้น
“ฉันเผลอถ่ายไปน่ะค่ะ”
“······”
คังวูจินเลือกที่จะนิ่งเงียบ ไมลีย์ คาร่ายิ้มบาง ๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงร่าเริง
“ไปแต่งหน้า ‘อสูร’ กันเถอะค่ะ”
“ครับ”
“ฉันว่าคุณคงไม่เคยแต่งหน้าหนักขนาดนี้มาก่อน เตรียมใจไว้ได้เลยค่ะ”
คาร่าทำนิ้วโป้งเล็ก ๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป วูจินมองตามแผ่นหลังบอบบางนั้นพลางขมวดคิ้ว
'เตรียมใจ?' การแต่งหน้าต้องใช้การเตรีมใจด้วยอย่างนั้นเหรอ? เขาได้แต่ครุ่นคิดอย่างสงสัย การแต่งหน้าที่หนักที่สุดสำหรับเขาคงจะเป็นตอนที่ต้องสวมบทบาทเป็น ‘โจ๊กเกอร์’ ซึ่งต้องใช้เวลาในการแปลงโฉมร่วมชั่วโมง
'ถ้าระดับ ‘อสูร’ สูงกว่า คงต้องใช้เวลามากกว่านั้นสินะ?'
'ก็ได้ยินผู้กำกับบอกว่าจะใช้เวลาพอสมควร น่าจะราว ๆ สองชั่วโมง เพราะมันซับซ้อนกว่า ‘โจ๊กเกอร์’ เยอะ'
คังวูจินครุ่นคิดเบา ๆ ก่อนจะก้าวเท้ามุ่งหน้าไปยังรถเทรลเลอร์หลายคันที่จอดเรียงรายอยู่บริเวณทางเข้ากองถ่าย
รถคันที่ใหญ่ที่สุดในนั้นคือศูนย์บัญชาการของทีมแต่งหน้า และไม่นานนัก คังวูจินก็พบกับนักแสดงหญิงอีกคนหนึ่งที่ทางเข้ากอง เป็นมาเรีย อาร์มาสที่เสร็จสิ้นการแต่งกายเป็นที่เรียบร้อย ผมสีน้ำตาลเป็นลอนสวยตัดกับชุดเดรสสีเบจและผ้ากันเปื้อนสีขาว ดูราวกับข้ารับใช้ในปราสาทของเจ้าชาย แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาของเขาคือ
'ถือกาอยู่ด้วย'
ในมือเรียวของมาเรียมีกาสีขาวประดับลวดลายวิจิตรบรรจงอยู่ ซึ่งสื่อถึงการที่เธอจะต้องแปลงร่างเป็นกาในโปสเตอร์
ดูเหมือนการถ่ายทำรอบต่อไปจะเป็นของเธอแล้ว
มาเรียสบตากับวูจินแต่ไม่ได้เอ่ยคำใด
“······”
หญิงสาวเพียงแค่ทำหน้ามุ่ยเล็กน้อยก่อนจะเดินผ่านเขาไป วูจินไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก แต่กลับรู้สึกอยากแกล้งเธอขึ้นมาเสียอย่างนั้น
'ตอนถ่ายทำฉากคำรามใส่เธอ คงต้องใส่เต็มที่หน่อย ก็เป็นลูกน้องฉันนี่ ไม่เป็นไรหรอก'
คังวูจินผู้มีเป้าหมายส่วนตัวอันน่าขบขัน ก้าวเข้าไปในรถเทรลเลอร์ของทีมแต่งหน้า เขาเคยมาที่นี่ครั้งหนึ่งแล้วเพื่อเตรียมตัวสำหรับบทบาท ‘เจ้าชาย’ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ครั้งนี้กลับรู้สึกแปลกใจอย่างบอกไม่ถูก แม้จะเป็นเพียงความรู้สึกภายในก็ตามที
‘โอ้ย... ซวยแล้ว นี่มันอะไรกันเนี่ย? จะเอาพวกนั้นมาแปะบนตัวฉันจริงดิ?!’
ภายในรถเทรลเลอร์ เขาสัตว์ขนาดใหญ่ ขนสีน้ำตาลปุกปุย หนังสัตว์ที่ดูน่าขนลุกขนพองสยองเกล้า และอุปกรณ์ประกอบฉากแปลกประหลาดอีกมากมาย ล้วนทำให้คังวูจินชะงักงันโดยไม่รู้ตัว เขาอยากจะร้องบอกว่า "อ่า ผมเข้าห้องผิดครับ ฮ่า ๆ " แล้วเผ่นแน่บออกไปให้รู้แล้วรู้รอด แต่ด้วยมาดเข้มที่อุตส่าห์สร้างขึ้น เขาจึงต้องแสร้งทำเป็นไม่สะทกสะท้าน
‘ช่างหัวมันเถอะ แค่ใส่ไปคงไม่ตายหรอกมั้ง’
เหล่าทีมงานต่างชาติผู้ดูเชี่ยวชาญการงาน สังเกตเห็นคังวูจินที่ทำใจกล้าได้แล้ว
“เชิญนั่งตรงนี้ครับ คุณวูจิน”
พวกเขายิ้มทักทายอย่างเป็นมิตร วูจินวางท่าสงบนิ่งขณะทรุดตัวลงบนเก้าอี้ที่ทีมงานจัดเตรียมไว้ แม้ไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน แต่เขากลับรู้สึกราวกับกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ทรมาน หัวหน้าทีมแต่งหน้าที่ยืนอยู่ด้านหลัง แตะไหล่ของคังวูจินเบา ๆ
“พักผ่อนสักครู่นะครับ การแต่งหน้า ‘อสูร’ จะใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง”
“······4 ชั่วโมง”
“ครับ ค่อนข้างนานสักหน่อย ใช่ไหมครับ? แต่นี่ก็ยังไม่ใช่การแต่งหน้าแบบเต็มรูปแบบ ถือว่าไม่เลวแล้วนะครับ ถ้ารู้สึกไม่ไหวตรงไหนบอกได้เลยนะครับ”
“ไม่ครับ ผมไม่เป็นไรหรอก”
วูจินตอบกลับด้วยน้ำเสียงโอ้อวดตามสัญชาตญาณ พร้อมกับตะโกนก้องอยู่ในใจ
‘4 ชั่วโมง??!!! บ้าไปแล้วรึไง เอาจริงดิเฮ้ย เป็นไปได้เหรอ?!’
เป็นไปได้สิ ในฮอลลีวูดมีการแต่งหน้าที่ใช้เวลานานกว่านี้อีกสองเท่า แต่สำหรับคังวูจินที่เพิ่งเคยประสบพบเจอครั้งแรก ความตกใจก็เป็นเรื่องธรรมดา ไม่นานนักเหล่าทีมงานก็เริ่มลงมือทำงานกับวูจิน
ทันใดนั้นคังวูจินก็เอ่ยปากขอทีมงานว่า
“บทภาพยนตร์ ขอหน่อยครับ”
นั่นเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่เขาซ่อนไว้
หลังจากนั้น
คังวูจินกุมบทภาพยนตร์ไว้ในมือ ราวกับเป็นเส้นด้ายแห่งความหวัง สีหน้าของเขาเริ่มแปรเปลี่ยนไปทีละน้อย ขณะเดียวกันหัวหน้าทีมแต่งหน้าก็ยิ้มพลางอธิบายอีกครั้งว่า
“ยังไงก็ตาม การแต่งหน้า 'อสูร' ไม่ได้มีมากมายอะไรหรอกค่ะ ทั้งในการถ่ายโปสเตอร์ครั้งนี้และการถ่ายทำจริงอีกไม่กี่ครั้ง······”
ถ้อยคำของเธอแทบเล็ดลอดเข้าโสตประสาทของวูจินไม่ได้เลย เพราะสัมผัสหนักอึ้งของเครื่องสำอางที่ค่อย ๆ เพิ่มพูนขึ้นบนใบหน้า แต่คำอธิบายของทีมงานยังไม่สิ้นสุด
“ในการถ่ายทำจริง เกือบ 80% จะต้องใส่ชุดสำหรับถ่ายทำแบบพิเศษ - อ้อ เคยเห็นชุดแล้วใช่ไหมคะ? ที่มันแนบไปกับตัวน่ะ”
ถึงแม้จะยังไม่เคยเห็น แต่วูจินก็ตอบเลี่ยง ๆ ไปว่า
“ครับ ผมรู้แล้ว”
เวลาล่วงเลยไปสี่ชั่วโมง
คังวูจินอดทนฝ่าฟันมาได้ด้วยการหลบเข้าสู่ห้วงมิติว่างเปล่าเป็นระยะ ทุกครั้งที่ความเหนื่อยล้าถาโถมเข้าใส่ โดยไม่มีใครล่วงรู้ เวลาที่เคยเป็นยามเช้า บัดนี้ล่วงเลยมาจนถึงบ่ายสองโมงแล้ว และในช่วงเวลาสี่ชั่วโมงที่ผ่านพ้น ไมลีย์ คาร่า และนักแสดงคนอื่น ๆ ก็ถ่ายทำเสร็จสิ้นแล้ว แต่กลับไม่มีใครเดินทางกลับบ้าน
เหตุผลเบื้องหลังนั้นช่างแสนเรียบง่ายไม่ใช่เหรอ?
เพื่อที่จะได้ยลโฉม 'อสูร'
ในไม่ช้า
“'อสูร' เข้ามาแล้ว!!”
'อสูร' ก้าวเข้าสู่โซนถ่ายทำ ที่ซึ่งอุปกรณ์ถ่ายทำนานาชนิดตั้งเรียงราย ทีมงานกว่าร้อยชีวิต และนักแสดงฮอลลีวูดอีกหลายสิบคน อาจเป็นเพราะเครื่องแต่งกายและการแต่งหน้าอันหนักอึ้ง 'อสูร' จึงมีทีมงานคอยประคองอยู่สองข้าง และผู้กำกับบิล เลาต์เนอร์ที่รอคอยอยู่ก็ร้องอุทานขึ้นทันทีว่า
“โอ้โห! สุดยอดไปเลย!”
ทันใดนั้นเขาก็ตบมือ เสียงปรบมือดังขึ้นจากทีมงานเกือบทุกคน วูจินผู้รู้สึกราวกับแบกน้ำหนักไว้พันชั่ง กัดฟันกรอดอยู่ในใจอย่างขัดขืน
‘อย่าตบมือ! อย่าตบมือสิโว้ย! โอ๊ย แย่ชะมัด!!’
ทว่าสีหน้าของเขากลับเรียบเฉย นอกจากจะรักษาคอนเซปต์แล้ว การแต่งหน้าที่แน่นหนายังเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ใบหน้าของเขาแทบไม่ขยับเขยื้อน ผิวที่ขรุขระและดูน่าขนลุกที่ถูกแต่งขึ้นใหม่ ขนสีน้ำตาลที่ขึ้นหนาตั้งแต่หน้าผากจรดท้ายทอย เขาแหลมคมที่ติดอยู่บนหน้าผาก ดวงตา จมูก และปากที่ใหญ่โตขึ้นราวกับสัตว์ร้าย แน่นอนว่าฟันก็ถูกแปะเข้าไปด้วย
ตอนนี้ คังวูจินคืออสูรกายในร่างมนุษย์
แต่เส้นทางสู่การเป็น ‘อสูร’ นั้นแสนลำบาก
ในจังหวะนั้น เหล่าทีมงานรอบข้างต่างพากันชื่นชม
“เข้ากันดีจังเลยนะคะ!”
“ใช่มั้ยล่ะ? แต่นึกไม่ถึงเลยว่าคุณวูจินจะดูนิ่งมากขนาดนี้ ไม่เหนื่อยเหรอ?”
“จริงด้วย น่าจะหนักมาก แต่กลับดูสบาย ๆ เนอะ?”
ไม่ใช่เลย เขาแทบจะเสียสติกับสถานการณ์ที่ไม่เคยพบเจอมาก่อนในชีวิต ภายในใจเขากำลังโอดครวญ
‘อื้อหือ!! จะเป็นลมแล้วเนี่ย โอ้ยย!!’
รู้สึกเหมือนโดนฟักทองทุบหัวสักสิบลูก
อย่างไรก็ตาม วูจินหรือ ‘อสูร’ ก็ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากทีมงานและนักแสดง จนกระทั่งมาถึงเบื้องหน้ากล้องได้อย่างยากลำบาก เขามองเห็นข้างหน้าได้ แต่ก็ไม่ชัดเจนนัก หญิงสาวผมบลอนด์ที่ยืนอยู่ข้างผู้กำกับ ไมลีย์ คาร่า เธอถ่ายรูปคังวูจิน หรือก็คือ ‘อสูร’ ด้วยโทรศัพท์มือถือ ก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ
“ทำไมเป็น ‘อสูร’ แค่ช่วงบนล่ะคะ?”
เป็น ‘อสูร’ แค่ช่วงบน เพราะช่วงล่างยังเป็นของคังวูจิน กล่าวคือแต่งหน้าแค่ครึ่งตัว
“ยังไงช่วงล่างก็ไม่ติดในโปสเตอร์อยู่แล้วครับ”
“อ๋อ อย่างนี้นี่เองเหรอคะ?”
คาร่ายิ้มแล้วถ่ายรูปคังวูจินที่เป็น ‘อสูร’ แค่ครึ่งตัว ก่อนจะพึมพำเบา ๆ
“งั้นชื่อเรื่องเปลี่ยนเป็น ครึ่งคนครึ่งอสูรดีไหมคะ? ...เหมาะเลย”
รุ่งอรุณแห่งวันใหม่ ณ โคลัมเบียสตูดิโอ
เหล่าผู้บริหารและบุคลากรมากหน้าหลายตาต่างทยอยกันเข้ามาในห้องประชุมขนาดใหญ่ บรรยากาศภายในห้องเต็มไปด้วยความตึงเครียดราวกับเส้นลวดที่ถูกดึงจนตึง สะท้อนให้เห็นถึงหัวข้อการประชุมอันหนักอึ้ง ซึ่งคงหนีไม่พ้นเรื่องของภาพยนตร์ 'ปิเอโรต์: กำเนิดวายร้าย' หรือจะเจาะจงลงไปกว่านั้นก็คือเรื่อง ‘รางวัลออสการ์’ ที่ผู้กำกับอันกาบกได้เสนอขึ้นมานั่นเอง
“ผมมองว่ามันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย ไม่ใช่เรื่องของงบประมาณ แต่มันอาจจะส่งผลกระทบต่อแผนงานของ 'ปิเอโรต์: กำเนิดวายร้าย' จนพังไม่เป็นท่าได้นะครับ”
“เห็นด้วยครับ ตอนนี้ความคาดหวังของผู้ชมพุ่งสูงมาก หากเราฝืนท้าทายโชคชะตาแล้วล้มเหลว ประเทศที่คอนเฟิร์มการฉายไปแล้วอาจจะยกเลิกสัญญาทั้งหมดก็เป็นได้ ผมขอคัดค้านครับ”
“ทุกคนก็น่าจะทราบดีอยู่แล้วว่าการฝืนทำอะไรแบบนี้ย่อมมีช่องโหว่ ผมก็ขอคัดค้านเช่นกันครับ”
เสียงคัดค้านดังระงมไปทั่วห้องประชุม เป็นเรื่องปกติที่ไม่มีใครอยากแบกรับความเสี่ยงในเมื่อโปรเจกต์กำลังดำเนินไปได้ด้วยดี ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้น มีชายคนหนึ่งนั่งเคาะนิ้วลงบนโต๊ะอย่างใช้ความคิดมาตั้งแต่ต้น เขาคือผู้บริหารศีรษะล้าน ที่ผ่านมาเขาได้ร่วมงานกับคังวูจินอยู่บ่อยครั้ง จึงดูจะเป็นผู้ที่ครุ่นคิดอย่างหนักที่สุดในเวลานี้
ขณะนั้นเอง ความทรงจำในอดีตก็แล่นเข้ามาในห้วงความคิดของเขา
ภาพการประชุมกับผู้กำกับอันกาบก ความคิดเห็นของPD นอร่า ฟอสเตอร์ ที่เห็นพ้องกับผู้กำกับอันกาบกอย่างเหนือความคาดหมาย และบทสนทนาล่าสุดกับคังวูจิน
ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้ พร้อมกับถอนหายใจแผ่วเบา
‘ดูท่าคงต้องเปลี่ยนกระแสเสียแล้ว’
เขายกมือขึ้นท่ามกลางห้องประชุมที่กำลังคุกรุ่นไปด้วยเสียงคัดค้าน
“ผมว่าพวกเรากำลังหวาดกลัวเกินไปแล้วล่ะมั้ง”
ผู้บริหารศีรษะล้านก้าวเข้ามาในห้องประชุมอย่างเหนือความคาดหมาย ทุกสายตาจับจ้องมายังเขา บางคนขมวดคิ้วมุ่น บางคนมีคำถามฉายชัดในดวงตา แต่ผู้บริหารศีรษะล้านยังคงนั่งไขว่ห้างอย่างใจเย็น
“ตารางการถ่ายทำเป็นยังไงบ้าง 'รางวัลออสการ์' จะพลาดหรือเปล่า ทุนที่ลงไปจะสูญเปล่าไหม โรงฉายจะน้อยลงหรือไม่ ไม่ว่าจะยกเหตุผลอะไรขึ้นมาพูดก็ไม่มีวันจบสิ้น ถ้าเอาแต่กังวลขนาดนี้ ตอนแรกก็ไม่น่าเริ่ม 'จักรวาลภาพยนตร์' ขึ้นมาเลย”
“หมายความว่าคุณเห็นด้วยงั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่เรื่องเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ผมแค่จะบอกว่าพวกเรากลัวความล้มเหลวมากเกินไป 'จักรวาลภาพยนตร์' ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว พวกเราทุกคนต่างก็รู้ดีและพร้อมรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นไม่ใช่เหรอ?”
“······”
“ความล้มเหลวเกิดขึ้นได้ทุกที่ แผนการเริ่มต้นที่เราวางไว้ แม้แต่ข้อเสนอของผู้กำกับอันกาบก ไม่ว่าจะเสี่ยงหรือปลอดภัย ก็ไม่มีที่ใดที่ปราศจากความล้มเหลว จริงไหม?”
บรรยากาศในห้องเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ผู้บริหารศีรษะล้านไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอย
“ผมก็ไม่ได้คิดว่า 'จักรวาลภาพยนตร์' ของเราไม่สำคัญหรอกนะ แต่ถ้าเราวางโครงเรื่องที่ยิ่งใหญ่ไว้แล้วกลับขาดความกล้า ผลลัพธ์ที่ได้ก็คงไม่ต่างอะไรกับ 'จักรวาลภาพยนตร์' ฉบับหดสั้น แถม ‘ปิเอโรต์: กำเนิดวายร้าย’ ยังเป็นจุดเริ่มต้นของทุกเรื่องราวอีกด้วย แล้วแบบนี้จะมาถอยหลังตั้งแต่เริ่มต้นเพราะความกลัวได้ยังไง”
“···แต่ในทางกลับกัน เพราะนี่คือจุดเริ่มต้น เราจึงต้องประสบความสำเร็จโดยไม่ล้มเหลว คุณก็น่าจะรู้ดี”
“รู้อยู่แล้ว ผมถึงได้ถามทุกคนไง”
ผู้บริหารศีรษะล้านหยุดพูดครู่หนึ่ง กวาดสายตามองทุกคนในห้อง ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น
“โจ๊กเกอร์ที่เราปั้นมากับมือมันจะยังไม่คู่ควรกับการพลิกโฉมฮอลลีวูดอย่างนั้นเหรอครับ?”
“······”
“พวกเราต่างก็ประจักษ์กับฝีมือการแสดงอันน่าทึ่งของเขามาโดยตลอด นั่นไม่ใช่การลอกเลียนแบบ แต่มันคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง จำไม่ได้กันแล้วหรืออย่างไรว่าคังวูจินทำให้คริส ฮาร์ทเน็ตต้องยอมศิโรราบ เชื่อในสิ่งที่ตาเราเห็นกันเถอะ ผมขอเสนอให้ทำตามที่พวกเขาต้องการ แล้วเราก็มานั่งดูผลงานชิ้นเอกนี้กันเถอะ”
ทุกคนในห้องประชุมต่างถอนหายใจหรือไม่ก็มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนความคิดของใครหลายคนเริ่มคล้อยตาม
“ผมได้ยินมาว่า คังวูจินพูดกับผู้กำกับว่า 'รางวัลออสการ์ปีหน้าไม่ได้อยู่ในความคิดของเขา' ครับ”
“ไม่ได้อยู่ในความคิดงั้นเหรอ?”
“ตั้งแต่แรก เขาหมายมั่นปั้นมือเพียงแค่รางวัลออสการ์ปีนี้เท่านั้น ที่จริงต้องบอกว่าตั้งแต่ที่เมืองคานส์ หรืออาจจะก่อนหน้านั้นด้วยซ้ำไป”
ผู้บริหารหัวล้านเปลี่ยนท่านั่งไขว่ห้างอย่างผ่อนคลาย
“วายร้ายตัวแรกของจักรวาลอันยิ่งใหญ่นี้แสดงความมั่นใจออกมาขนาดนี้ ถ้าเรากลัวจนหัวหด ข้อตกลงเกี่ยวกับภาคต่อกับเขาก็คงเป็นหมัน เพราะเราไม่ได้แสดงความเชื่อมั่นในตัวเขาให้เห็นเลยสักนิด”
เขากล่างพลางเน้นย้ำถึงประเด็นสำคัญ
“พวกเรากำลังจะยอมแพ้โจ๊กเกอร์ของคังวูจินกันอย่างนั้นเหรอครับ?”
ห้องประชุมเงียบสงัดราวกับป่าช้า
-จบ-
ติดตามผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:ยักษาแปร ผู้แปลลงแค่ในMy-NovelและThai-novelเท่านั้น หากอ่านที่อื่นรบกวนมาสนับสนุนทีนะครับผม หรือจะมากดไลก์แฟนเพจก็ได้ กระซิกกระซิก ;-;_