ตอนที่แล้วบทที่ 1 พระราชกฤษฎีกาอภิเษกสมรส!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 3 หลิวจู่เสียน 

บทที่ 2 เหตุผลที่ถูกเลือก?


บทที่ 2 เหตุผลที่ถูกเลือก?

หลังจากที่ฉินอ๋อง ราชาแห่งเมืองอันหยางพูดคุยกับราชาคนอื่นๆ ที่เข้ามาร่วมประชุมขุนนางต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้เสร็จแล้ว เขาก็เดินตรงเข้าไปหาหลิวเจิ้งหยางด้วยรอยยิ้ม!

(หมายเหตุ: ตำแหน่งหรือบรรดาศักดิ์ราชาที่ปกครองเมืองต่างๆ ก็นับได้ว่าเป็นขุนนางในพระราชสำนักด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งตำแหน่งของราชานั้นจะแบ่งออกเป็น 3 ชั้น จะขอกล่าวอธิบายเพิ่มเติม ในบทต่อๆไป)

หากเป็นปกติแล้วหลิวเจิ้งหยาง คงจะรู้สึกยินดีและรู้สึกว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่มีราชาผู้ปกครองเมืองเข้ามาทักทายและพูดคุยกับเขาเช่นนี้ แต่ในเวลานี้เมื่อเห็นรอยยิ้มของราชาแห่งเมืองอันหยางเขาก็กำหมัดแน่น!

'ฮึ่ม! ข้าอยากจะเอากำปั้นไปกระแทกรอยยิ้มบนใบหน้าของไอ้เจ้าราชาฉินผู้นี้ ให้เลือดมันกลบปากซะเหลือเกิน!’

แต่ทั้งหมดนี้แล้วเขาก็ได้แต่เพียงแค่คิดในใจเท่านั้น! เพราะไม่ว่าจะอย่างไรบรรดาศักดิ์ระดับราชาแห่งผู้ครองเมืองนั้น ก็สูงกว่าขุนนางตัวเล็กๆเช่นเขามาก มิหนำซ้ำราชาแห่งเมืองอันหยางผู้นี้ก็นับได้ว่าเป็นผู้ที่มากไปด้วยคุณธรรมอีกผู้หนึ่ง

“ท่านคณบดีหลิว! หลังจากนี้เราก็จะได้เป็นทองแผ่นเดียวกันแล้ว หากมีเรื่องอะไรที่ข้าสามารถช่วยท่านได้ ก็ขอได้โปรดพูดมาอย่าได้เกรงใจ! เพราะต่อจากนี้พวกเราก็คือครอบครัวเดียวกัน!”

ราชาแห่งเมืองอันหยาง ยังคงพูดกับคณบดีหลิวเจิ้งหยางด้วยรอยยิ้ม กิริยาและท่าทางของเขานั้นอ่อนน้อมถ่อมตนและมีความสุภาพมาก

ซึ่งหากจะพูดไปแล้วบรรดาศักดิ์ระดับผู้ครองเมือง ไม่จำเป็นจะต้องลดตัวลงมาพูดคุยกับขุนนางตัวเล็กๆ เช่นเขาด้วยกิริยาท่าทางเช่นนี้เลย!

แต่หากพิจารณาให้ถี่ถ้วนแล้ว หลิวเจิ้งหยางก็สามารถคาดเดาได้ว่า ฉินอ๋องผู้นี้จะต้องมาเรียบๆเคียงๆ พูดจาดีๆ แทนฉินเสี่ยวเทียนโอรสของตนอย่างแน่นอน!

เนื่องจากราชาแห่งเมืองอันหยาง คงจะกลัวว่าตระกูลหลิวจะไม่ยกบุตรสาวของตนให้อภิเษกกับฉินเสี่ยวเทียน เพราะชื่อเสียงอันเลวร้ายของฉินผู้ฉ่าวโฉ่!

เขาจึงไปทูลขอพระราชทานจากองค์ฮ่องเต้โดยตรง และเมื่อมีพระราชกฤษฎีกาออกมาแล้ว หากตระกูลหลิวไม่ปฏิบัติตามพระราชโองการ โทษอย่างเบาก็จะถูกลดตำแหน่งและเนรเทศไปยังชายแดน และโทษขั้นหนักก็คือถูกตัดศีรษะ!

กล้ามเนื้อบนใบหน้าครึ่งซีกของหลิวเจิ้งหยางกระตุกจนเห็นได้ชัด! เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆอยู่ 2-3 ครั้ง ก่อนจะป้องมือคาราวะกลับและตอบด้วยรอยยิ้ม

“มิได้ๆ! ข้าน้อยมิมีสิ่งใดที่ใคร่คิดรบกวนฉินอ๋อง และด้วยงานมงคลสมรสที่จะถึง ก็นับได้ว่าเป็นเกียรติอย่างสูงต่อตระกูลหลิวของข้าน้อยอีกด้วย!”

ในขณะที่แลกเปลี่ยนคำพูดกันไปมาด้วยความสุภาพอยู่อีกครู่นึง ในที่สุดฉินอ๋องก็จากไปด้วยรอยยิ้ม!

หลังจากนั้น หลิวเจิ้งหยางก็เดินออกจากวังไปด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม!

ในระหว่างทางกลับ หลิวเจิ้งหยางครุ่นคิดอย่างใคร่ครวญ แต่เขาก็ยังคงไม่เข้าใจว่าทำไมองค์ชายฉินเสี่ยวเทียนที่มีสาวงามห้อมล้อมอยู่รอบกายอย่างมากมาย ถึงมาสนใจบุตรีของเขาได้?

และทางด้านยศและระดับชั้นของขุนนาง ตัวเขาเองก็เป็นเพียงคณบดีตัวเล็กๆของสถานศึกษา ซึ่งก็ไม่มีผลประโยชน์อันใดต่อเลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำตระกูลของเขาก็อยู่ในฐานะปานกลางไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากมายนัก?

ซึ่งเมื่อมองดูแล้วหากต้องการหาพระชายาจริงๆ ก็ย่อมสามารถหาได้โดยไม่ยาก!

ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถหาได้ที่เมืองหลวง แต่เมืองรองและเมืองบริวารโดยรอบก็มีขุนนางที่พร้อมจะยกบุตรสาวของตนให้อย่างแน่นอน!

ต่อให้ไม่ได้เป็นพระชายา ได้เป็นแค่นางสนมข้างเตียง ก็เชื่อแน่ว่าบรรดาขุนนางของเมืองบริวารโดยรอบ พร้อมจะยกมาถวายให้ถึงที่ในทันที!

ด้วยเหตุอันเป็นที่แน่นอนแล้วว่า อีกไม่นานองค์ชายฉินเสี่ยวเทียน ก็จะได้รับลำดับขั้นบรรดาศักดิ์ต่อจากฉินอ๋องพระบิดา กลายเป็นราชาแห่งเมืองอันหยางคนต่อไป!

ในระหว่างทางกลับบ้าน หลิวเจิ้งหยางก็ได้พบกับเจ้านายของเขา เสนาบดี โจวอี้เหวิน ซึ่งเป็นปราชญ์มหาบัณฑิตของสถานศึกษาฮันหลิน โจวอี้เหวินได้เชิญชวนเขาไปพูดคุยกันที่ร้านน้ำชาใกล้ๆ เพื่ออธิบายถึงเหตุผลของการอภิเษกสมรสในครั้งนี้!

เมื่อสมควรแก่เวลาหลิวเจิ้งหยางก็กล่าวคำอำลาต่อเสนาบดีโจวอี้เหวิน และกลับบ้าน

ในระหว่างนั้นเขาค่อนข้างจะเหม่อลอยเล็กน้อย เขาแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเหตุผลที่มีงานอภิเษกสมรสระหว่างองค์ชายฉินเสี่ยวเทียนกับลูกสาวของเขานั้นก็เพื่อทายาท!

กล่าวคือ! การอภิเษกสมรสที่จะถูกจัดขึ้นในครั้งนี้ ก็เพื่อให้บุตรสาวของเขานั้นกลายเป็นแม่พันธุ์ เพื่อที่จะให้กำเนิดทายาทแก่ตระกูลฉิน!

แต่เมื่อคิดดูให้ดี หลิวเจิ้งหยางก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจพร้อมกับยกมือขึ้นกุมขมับด้วยความหดหู่ใจ! เขารู้ดีว่าเหตุใดฉินอ๋องราชาแห่งเมืองอันหยาง จึงมีความคิดความคาดหวังต่อบุตรีของเขาในการให้กำเนิดทายาทแก่ตระกูลฉิน?

ในอดีต หลิวเจิ้งหยางนั้นมาจากครอบครัวที่ยากจน เขาพยายามศึกษาหาความรู้อย่างขยันหมั่นเพียร และเขาได้เดินทางเข้ามาในเมืองหลวงเพื่อสอบจอหงวน แม้ว่าตัวเขาจะสอบติดได้เป็นบัณฑิต แต่ก็ยังห่างไกลจาก 3 อันดับแรก

ฉะนั้นในช่วงวัยหนุ่มเมื่อได้เป็นบัณฑิตฝึกงานที่ยังไม่มียศขุนนางใดๆ เขาก็ตั้งใจขยันทำงานอย่างหนักและซื่อตรง จนไต่เต้าขึ้นมาเป็นขุนนางระดับ 7 ซึ่งมีบรรดาศักดิ์เป็นคณบดีของสถานศึกษาฮันหลิน

หลิวเจิ้งหยางมีคู่ครองเพียงคนเดียวในชีวิต หลังจากที่อยู่กินกับภรรยาของเขาได้ไม่นาน ภรรยาของเขาก็ได้ตั้งครรภ์?

ในปีแรกภรรยาของเขาตั้งครรภ์ ท้องแฝดสาม เป็นชาย 2 หญิง 1 !

เมื่อตั้งครรภ์ครั้งที่สอง ภรรยาของเขาก็ท้องแฝดสอง เป็นชาย 1 หญิง 1 !

แต่เมื่อตั้งครรภ์ครั้งที่สาม ภรรยาของเขาไม่ได้ตั้งท้องฝาแฝด เป็นท้องเดี่ยว! ซึ่งเมื่อคลอดออกมาก็เป็นหญิง 1 คน

และเมื่อภรรยาของเขาตั้งครรภ์ครั้งสุดท้าย ก็ยังคงเป็นท้องแฝด เมื่อคลอดออกมาเขาก็ได้รับลูกชายเพิ่มอีก 2 คน

กล่าวสรุปก็คือ! หลิวเจิ้งหยางมีบุตรและธิดาทั้งหมด 8 คนด้วยกัน เป็นชาย 5 และหญิง 3

ส่วนบุตรีของเขา คนที่ได้รับพระราชกฤษฎีกาให้อภิเษกสมรสกับองค์ชายฉินเสี่ยวเทียน เธอมีนามว่า ‘หลิวจู่เสียน’ เป็นบุตรีคนที่ 5 ของเขาที่เกิดมาจากท้องเดียวในการตั้งครรภ์ครั้งที่ 3 !

หากในโลกนี้วัดผลสำเร็จด้วยการมีบุตร หลิวเจิ้งหยางและภรรยาของเขาก็นับได้ว่าเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จอันดับต้นๆของโลกอย่างแน่นอน!

ขุนนางและคหบดีคนอื่นๆที่มีบุตรและทายาทผู้สืบสกุลน้อย ต่างอิจฉาเขาเป็นอย่างยิ่ง หลายคนถึงกลับแอบมาถามเขาเพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับสูตรลับในการมีบุตร!

หลิวเจิ้งหยางทำได้เพียงยิ้มอย่างเจื่อนๆ อย่างลำบากใจ แล้วตอบไปเพียงว่าเขาและภรรยาของเขานั้นไม่ได้มีสูตรลับหรือสูตรยาบำรุงใดๆ พวกเขาก็เป็นเหมือนคู่รักคนอื่นๆทั่วๆไป

แต่ด้วยเพราะเหตุนี้เอง จึงทำให้ทุกคนต่างคิดว่าตระกูลหลิวของเขา มีเชื้อสายที่ดีและมีลูกง่าย จนเกิดเหตุการณ์พระราชทานงานอภิเษกสมรสดังกล่าวขึ้นมา!

หลิวเจิ้งหยางจำได้ว่า ฉินอ๋องราชาแห่งเมืองอันหยาง มีพระชายาและนางสนมนับไม่ถ้วนที่อยู่ในวัง แต่มันก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้าสำหรับราชาฉินจริงๆ ที่เขามีโอรสคือ ฉินเสี่ยวเทียนเพียงคนเดียวเท่านั้น!

ฉินอ๋องราชาแห่งเมืองอันหยาง ต้องการมีบุตรหลานจำนวนมาก ฉะนั้นราชาฉินจึงให้ฉินเสี่ยวเทียนโอรสของเขาแต่งงานกับหลิวจู่เสียน บุตรีของคณบดีสถานศึกษาที่เป็นขุนนางตัวเล็กๆ เพื่อหวังจะได้มีทายาทจำนวนมาก!

เมื่อได้รับรู้และเข้าใจถึงเหตุทั้งหมดแล้ว! หลิวเจิ้งหยางก็เดินกลับบ้านด้วยความหนักใจ เขาไม่รู้จะอธิบายพระราชกฤษฎีกาอภิเษกสมรส ที่เปรียบเสมือนเป็นการบังคับการแต่งงานของบุตรีของเขา ให้ภรรยาที่บ้านฟังได้อย่างไรดี?

…. ….

ในไม่ช้าข่าวเรื่องการอภิเษกสมรสของแห่งเมืองอันหยางก็แพร่กระจายไปในหมู่ชนชั้นสูงและเหล่าขุนนางราชการ แม้แต่ประชาชนคนทั่วไปจำนวนมากก็รู้เรื่องด้วย จนกลายเป็นประเด็นร้อนในเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว!

หลายคนรู้สึกเห็นใจบุตรสาวแห่งตระกูลหลิว ว่าต่อนี้ไปเธอจะมีชีวิตที่เลวร้าย เพราะต้องแต่งงานกับผู้ชายเสเพล ที่ทุกคนอยากจะหลีกเลี่ยง

และเสียงนินทาของชนชั้นสูงยังแอบจาบจ้วง ว่ากล่าวถึงราชาแห่งเมืองอันหยาง ว่าจริงๆแล้วฉินอ๋องผู้นี้ ได้สูญเสียสมรรถภาพของความเป็นชายจนไม่สามารถมีบุตรได้อีก ฉะนั้นภาระหน้าที่ของการมีบุตรหลานเพื่อสืบสกุล จึงตกเป็นขององค์ชายฉินเสี่ยวเทียน และพวกเขาก็จำเป็นต้องเลือกหญิงสาวจากตระกูลหลิวที่ขึ้นชื่อได้ว่ามีลูกดกซึ่งเป็นเพียงขุนนางระดับล่าง เพื่อมาเป็นแม่พันธุ์!

ในทางด้านหนึ่ง คฤหาสน์ของตระกูลหลิว! หลิวเจิ้งหยางและภรรยาของเขา นั่งอยู่ที่โต๊ะน้ำชาและพูดคุยกันด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดและโศกเศร้า!

คุณหญิงหลิวผู้เป็นภรรยา กำลังใช้ผ้าเช็ดน้ำตาและพูดกับหลิวเจิ้งหยางด้วยน้ำตานองหน้า!

"ท่านพี่! ในเมืองหลวง มีเด็กสาวจากตระกูลขุนนางใหญ่ๆอยู่อย่างมากมาย หลายคนต่างสวยงามและมีความสามารถ ทำไมองค์ฮ่องเต้ถึงได้จำเพาะเจาะจง มาเลือกยัยหนูของเราด้วยล่ะ?”

“ข้าไม่เต็มใจเลยจริงๆ ท่านพี่! ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ค่อยได้ออกไปไหน แต่ข่าวลือเรื่องชื่อเสียงอันเลวร้ายของก็ยังผ่านเข้าหูข้าอย่างมากมาย! ชายเสเพลคนนี้…! ผู้นี้ไม่เหมาะกับลูกของเรา หาไม่แล้วนั่นไม่เท่ากับว่าเราผลักเสี่ยวเสียนเข้าไปในกองไฟหรอกรึ! ทั้งชีวิตลูกสาวของเราจะต้องพังทลายและไม่มีความสุขอย่างแน่นอน!”

หลิวเจิ้งหยางถอนหายใจลึกๆ สองสามครั้ง ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆและพูดว่า

“น้องหญิง! องค์ฮ่องเต้ได้ออกพระราชกฤษฎีกาแล้ว! ถึงแม้ว่าพวกเราจะไม่เต็มใจเพียงใด! ก็ไม่อาจต้านทานได้! ข้อหาฝ่าฝืนพระราชโองการนั้นด้อยกว่าข้อหากบฏเพียงเล็กน้อย และมีโทษถึงขั้นประหารชีวิตยกตระกูลทีเดียวเชียว!”

หลังจากได้ยินดังนั้น นางหลิวก็หลั่งน้ำตาอย่างสะอึกสะอื้นอีกครั้ง! เมื่อต้องทำใจยอมรับว่าอนาคตของบุตรีคนเล็กของเธอนั้นได้ถูกกำหนดเอาไว้ให้ต้องเศร้าหมองและระทมทุกข์

องค์ฮ่องเต้ได้ออกพระราชกฤษฎีกาแล้ว หากฝ่าฝืนพระราชกฤษฎีกา ชีวิตของทั้งตระกูลจะยังรอดอยู่อีกหรือไม่? ต่อให้ไม่ถูกประหารชีวิต และถูกเนรเทศไปยังเมืองชายแดน เธอและสามีของเธอนั้นก็อายุเริ่มมากแล้ว! จะใช้ชีวิตกันได้อย่างไร? และยังลูกๆของเธออีก?

คุณหญิงหลิวร้องไห้อยู่ครู่หนึ่ง และในที่สุดก็ส่งสาวใช้ไปเรียกลูกสาวของเธอมา! ไม่ว่าเรื่องจะเลวร้ายเพียงใด เธอและสามีก็มีหน้าที่ ที่จะต้องอธิบายเรื่องนี้ให้แก่บุตรีให้ได้รับรู้ด้วยตนเอง!

  

หลิวจู่เสียน มีพี่น้องทั้งหมดอีก 7 คน เธอมีพี่ชาย 2 คน พี่สาว 2 คน และมีน้องชายอีก 2 คน เมื่อรวมตัวเธอด้วยแล้วจึงมีด้วยกัน 8 คนพี่น้อง ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ใช่ลูกสาวคนสุดท้อง! แต่ก็นับได้ว่าเป็นลูกสาวคนเล็กได้ด้วยเช่นเดียวกัน!

เขตอาคารที่พักของหลิวจู่เสียนอยู่ภายในคฤหาสน์ของตระกูลหลิว ถึงแม้ว่าเขตที่พักของเธอจะอยู่ไกลจากอาคารหลังใหญ่ แต่ก็ถือได้ว่าเป็นส่วนที่สวยงามที่สุด มีทั้งสวนต้นไม้และสวนดอกไม้ สาวๆในบ้านตระกูลหลิวต่างชอบมานั่งเล่นและพูดคุยจิบน้ำชาทานขนม ที่อาคารบ้านพักของเธอ!

ในช่วงนี้ของปีเป็นฤดูใบไม้ผลิ อากาศค่อนข้างจะแจ่มใสและสดชื่น ภายในสวนมีดอกไม้พืชกล้วยไม้ที่สวยงามหลากหลายสายพันธุ์ ฉะนั้นทั่วทั้งอาคารเรือนพักจึงเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้นานาพันธุ์

ภายในอาคารที่เปิดโล่งหน้าสวนน้ำตกจำลองขนาดเล็ก เด็กสาวที่สวมชุดสีเขียวอ่อน หน้าตาสดสวย น่ารักและจิ้มลิ้ม กำลังนั่งเขียนอะไรบางอย่างอยู่ที่โต๊ะหนังสือ!

แต่ท่านั่งของเธอนั้นกลับขัดกับบุคลิกอันเรียบร้อยของเธอเป็นอย่างมาก! เธอนั่งขุดคู้ในลักษณะคล้ายท่าแมว มือซ้ายถือแผ่นกระดาษขนาดใหญ่และที่มือด้านขวาก็ถือแท่งถ่านสีดำ!

ดวงตาของเธอจ้องมองไปยังน้ำตกจำลองที่อยู่นอกลานบ้านอย่างเหม่อลอย คล้ายกับว่ากำลังพยายามนึกถึงเรื่องราวบางอย่างอยู่!

หากว่ามองไปยังแผ่นกระดาษขนาดใหญ่ที่อยู่ในมือของเธอ จะเห็นได้ว่ามีตัวอักษรเขียนแยกจำเพาะเจาะจงอยู่อย่างมากมาย? ซึ่งเขียนแบ่งเอาไว้เป็นหมวดหมู่ต่างๆอย่างชัดเจน!

ในทันใดนั้นสาวใช้นางหนึ่งก็เดินกึ่งวิ่ง เข้ามาด้วยท่าทางที่เร่งรีบและร้อนรน!

น้ำเสียงของเธอนั้นเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ขณะที่พูด “คุณหนูสาม! แย่แล้วเจ้าค่ะคุณหนู! คราวนี้ต้องแย่แน่ๆ…!”

เมื่อได้ยินน้ำเสี

ยงอันตื่นตระหนกของสาวใช้ เด็กสาวที่กำลังจะเขียนอะไรบางอย่างลงบนกระดาษก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย!

…. ….

จบบท

…. ….

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด