บทที่ 1 พระราชกฤษฎีกาอภิเษกสมรส!
บทที่ 1 พระราชกฤษฎีกาอภิเษกสมรส!
"คณบดีหลิว! ขอแสดงความยินดีด้วยที่ได้รับมหากรุณาธิคุณและความโปรดปรานจากองค์ฮ่องเต้ บุตรีของท่านช่างโชคดีโดยแท้!”
"ยินดีด้วยๆ ท่านหลิว! การที่บุตรีของท่านสามารถอภิเษกสมรสกับองค์ชายฉินเสี่ยวเทียนแห่งเมืองอันหยาง ถือได้ว่าเป็นโชคลาภและเป็นพรอันประเสริฐแก่ตระกูลหลิวของท่านมาก!”
“ขุนนางหลิว! ยินดีด้วย! วันนี้ท่านคงต้องเป็นเจ้าภาพเลี้ยงสุราให้กับพวกเราแล้ว!”
“ช่างน่าอิจฉาโชควาสนาของคณบดีหลิวเสียจริงๆ!”
... …
ทางด้านนอกห้องโถงของพระราชวัง หลิวเจิ้งหยางยืนฟังคำพูดของกลุ่มขุนนางและเหล่าเสนาบดีรอบๆ ด้วยรอยยิ้มแห้งๆ?
ในเวลานี้บรรดาขุนนางหลายคนต่างพูดแสดงความยินดีกับเขาอย่างต่อเนื่อง สีหน้าของบางคนแสดงความอิจฉา เห็นใจ ดูถูก แม้กระทั่งเยาะเย้ย!
แต่กลับกัน! ในใจของหลิวเจิ้งหยางในเวลานี้นั้นมืดมนเป็นอย่างยิ่ง! ภายใต้แขนเสื้อในชุดขุนนางของเขา ฝ่ามือของเขาเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ และกำแน่นราวกับว่าเขาไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของเขาได้
อย่างไรก็ตาม หลิวเจิ้งหยางยังคงแสดงรอยยิ้มต่อเหล่าขุนนางและกลุ่มข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่กำลังพูดคุยกับเขา กลุ่มคนเหล่านี้ทั้งหมดเขาไม่สามารถสร้างความขุ่นเคืองให้ใครได้ ฉะนั้นเขาจึงทำได้เพียงแค่ระงับความตึงเครียดและความไม่สบายใจของเขาเอาไว้เพียงเท่านั้น!
สาเหตุที่ทุกคนต่างแสดงความยินดีต่อเขานั่นก็เพราะ ในการเข้าเฝ้าฮ่องเต้เกี่ยวกับการว่าราชการเมื่อเช้านี้ ฮ่องเต้ได้พระราชทานการอภิเษกสมรส ระหว่างบุตรีคนเล็กของเขากับ ‘องค์ชายฉินเสี่ยวเทียน’ องค์ชายแห่งเมืองอันหยาง และการอภิเษกสมรสก็จะมีขึ้นในอีก 2 เดือนต่อมา!
ทำไมงานแต่งมันถึงได้รีบเร่งมากขนาดนี้กัน และสินสอดสมรสติดตัวของฝ่ายเจ้าสาวจะเตรียมพร้อมเสร็จภายใน 2 เดือนได้อย่างไร?
(หมายเหตุ: การแต่งงานของจีนในสมัยโบราณฝ่ายเจ้าสาวจะต้องเตรียมทรัพย์สินและบ่าวไพร่ของตัวเองติดตัวไปด้วย เมื่อต้องแต่งงานและย้ายไปอยู่ที่บ้านของสามีในวันแต่งงาน)
แต่เหตุที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือเขาไม่เต็มใจจะปล่อยให้บุตรสาวของเขานั้นอภิเษกสมรสกับองค์ชายที่ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นจอมเสเพลอันดับ 1 แห่งเมืองหลวง
ไม่ว่าจะเป็นประชาชน บุคคลธรรมดา แม้แต่ขุนนางหรือทหารที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวง ใครบ้างที่ไม่รู้จักชื่อเสียงอันเลวร้ายขององค์ชายฉินเสี่ยวเทียนแห่งเมืองอันหยาง!
องค์ชายฉินเสี่ยวเทียน มีชื่อเสียงอันเลวร้ายว่าเป็นองค์ชายเจ้าปัญหา เขาประพฤติตนไม่ต่างจากอันธพาล ชอบรังแกและกลั่นแกล้งคนไปทั่ว ลวนลามหญิงสาว หากเด็กสาวผู้ใดที่สวยถูกใจก็จะถูกพากลับไปที่คฤหาสน์ขององค์ชายเพื่อเล่นสนุก
องค์ชายมีความประพฤติที่ไม่ดี หยาบคาย ราวกับคนไม่มีการศึกษา มากตัณหา พื้นที่ในเขตถนนหลวง จึงคล้ายกับเป็นสนามเด็กเล่นของเขา ครั้งหนึ่งเขาเคยใช้เงินเป็นจำนวนมากจากท้องพระคลังเพื่อซื้อนางคณิกาอันดับ 1 ของเมือง จนราชาแห่งเมืองอันหยางโกรธมากจนเกือบจะล้มป่วย และองค์ชายยังทะเลาะวิวาทกับหญิงสาวจากจวนแม่ทัพบนถนน ทุบตีเธออย่างแรงจนซี่โครงหักสองซี่…
พูดง่ายๆ ก็คือ การกระทำผิดขององค์ชายนั้นมากมายเกินจะบรรยายออกมาได้หมด!
ดังนั้นแม้ว่าองค์ชายฉินเสี่ยวเทียนจะได้รับความโปรดปรานจากองค์ฮ่องเต้ ซึ่งอนาคตของเขานั้นมีแนวโน้มที่จะได้ขึ้นเป็นราชาแห่งเมืองอันหยางคนต่อไปก็ตาม!
แต่ก็ไม่มีตระกูลขุนนางหรือตระกูลคหบดีใดๆในเมืองหลวง ที่ยินดีและเต็มใจจะยกลูกสาวของพวกตนให้แต่งงานกับบุคคลที่มีชื่อเสียงเสื่อมเสียเช่นนี้!
จึงเป็นเหตุให้ไม่สามารถหาหญิงสาวที่จะมาอภิเษกสมรสกับองค์ชายได้ ฉะนั้นองค์ชายที่มีอายุ 20 จึงยังคงเป็นโสดอยู่จนถึงตอนนี้!
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเช้านี้ในขณะที่ก่อนการประชุมขุนนางเกี่ยวกับการว่าราชการขององค์ฮ่องเต้จะสิ้นสุดลง พระองค์ก็ได้เปลี่ยนหัวข้อและขอให้ขันทีคนสนิทอ่านพระราชกฤษฎีกามอบหมายงานอภิเษกสมรสขององค์ชายฉินเสี่ยวเทียนต่อหน้าเสนาบดีและขุนนางทั้งมวล ซึ่งทำให้ทุกคนนั้นรู้สึกค่อนข้างจะตื่นตกใจกันเป็นอย่างมาก!
แม้ว่าในสายตาของเหล่าขุนนาง องค์ชายแห่งเมืองอันหยางผู้นี้ จะเป็นชายเสเพลและมีชื่อเสียงอันเหลวแหลก แต่ก็เป็นที่แน่นอนแล้วว่าองค์ชายฉินเสี่ยวเทียนจะต้องกลายเป็นราชาแห่งเมืองอันหยางในอนาคต และหญิงสาวที่จะอภิเษกสมรสกับองค์ชายเพื่อเป็นพระชายานั้นก็จะต้องเป็นบุตรีจากตระกูลขุนนางใหญ่ที่มีชื่อเสียง!
ถึงจะไม่มีขุนนางชั้นผู้ใหญ่คนใดเต็มใจที่จะยกบุตรีไปแต่งงานให้กับองค์ชายก็ตาม แต่มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่ลำดับขั้นศักดินาระดับองค์ชายที่เป็นถึงโอรสของเจ้าเมืองอันหยางจะไปอภิเษกสมรสกับบุตรีของข้าราชการชั้นผู้น้อย เช่น หลิวเจิ้งหยาง ที่เป็นแค่คณบดีของสถานศึกษาและเป็นขุนนางระดับ 7 เพียงเท่านั้น!
[หมายเหตุ: ระดับชนชั้นขุนนางของจีนสมัยโบราณมีตั้งแต่ขุนนางระดับ 1 ถึงระดับ 9 และระดับขุนนางชั้นที่ 1 นั้นใหญ่ที่สุด]
เมื่อเหล่าขุนนางและเหล่าข้าราชบริพารทั้งหมดมองไปที่องค์ชายฉินเสี่ยวเทียน ซึ่งยืนอยู่ในแถวของกลุ่มองค์ชายและเจ้าหญิง ทุกคนต่างสังเกตเห็นได้ว่าสีหน้าขององค์ชายนั้นสงบและเรียบเฉยตั้งแต่ต้นจนจบ ราวกับว่าเขารู้อยู่แล้วว่าจะมีการพระราชทานอภิเษกสมรสในวันนี้!
เหล่าขุนนางทุกคนไม่สามารถจะคาดเดาความนึกคิดขององค์ฮ่องเต้ได้ แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังคงร่วมแสดงความยินดี เมื่อมีการออกพระราชกฤษฎีกา และถือได้ว่าเป็นเรื่องที่แน่นอนแล้ว ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อีก!
ต่อให้บางคนรู้สึกเสียใจกับเด็กสาวแห่งตระกูลหลิว หรือมีบางคนที่รู้สึกอิจฉาที่บุตรีของคณบดีตัวเล็กๆ แห่งสถานศึกษาฮันหลินที่ได้กลายเป็นพ่อตาขององค์ชาย แต่พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ คงทำได้แค่ร่วมแสดงความยินดีเพียงเท่านั้น!
ในขณะเดียวกันหลิวเจิ้งหยาง ก็ทำอะไรไม่ถูกเช่นเดียวกัน เขาได้แต่ยิ้มและตอบซ้ำๆว่าเขาจะเชิญทุกคนเข้ามาร่วมดื่มฉลองในงานพิธีอภิเษกสมรส
หากจะพูดไปแล้วราชาแห่งเมืองอันหยางนั้นเป็นราชาที่ทรงมีทศพิธราชธรรมและจิตใจดีมาก เหตุผลที่เขาสามารถขึ้นครองตำแหน่งนี้ได้ก็เป็นเพราะความดีความชอบอันใหญ่ยิ่ง เพราะเขาเคยปกป้ององค์ฮ่องเต้โดยไม่เคยคิดเสียดายชีวิตของตนเอง!
มิหนำซ้ำราชาแห่งเมืองอันหยางยังเป็นเครือยาททางฝ่ายพระราชมารดาขององค์ฮ่องเต้อีกด้วย
ฉะนั้นองค์ชายฉินเสี่ยวเทียนจึงถือได้ว่าเป็นหลานชายของฮ่องเต้โดยตรง และฮ่องเต้ก็โปรดปรานและเอ็นดูเขามากด้วยเช่นเดียวกัน
ซึ่งหากตระกูลฉินที่ครองเหมืองอันหยาง ไม่กระทำความผิดร้ายแรงเช่นการกบฏ ก็สามารถเชื่อได้เลยว่าตราบใดที่องค์ฮ่องเต้ยังคงครองราชย์อยู่ ตระกูลฉินแห่งเมืองอันหยางก็จะยังคงเจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป
แต่ปัญหาเดียวที่สร้างความหนักอกหนักใจมากที่สุดในชีวิตของราชาแห่งเมืองอันหยางนั่นก็คือทายาท!
ถึงแม้ว่าราชาแห่งเมืองอันหยางจะมีพระชายาและนางสนมนับไม่ถ้วน แต่เขาก็มีพระราชโอรสเพียงคนเดียวเท่านั้น!
และยังเป็นองค์ชายเสเพลที่ไร้ความสามารถ มีแต่จะสร้างความเดือดร้อนความเสื่อมเสีย และทำให้ผู้คนหัวเราะเยาะ!
แต่ถึงแม้ว่าโอรสของเขาจะไร้ประโยชน์สักเพียงใด? และมักจะก่อปัญหาในเมืองหลวงมากแค่ไหน? แต่ก็น่าแปลกที่องค์ชายฉินเสี่ยวเทียนยังคงเป็นหลานชายคนโปรดขององค์ฮ่องเต้อยู่เช่นเดิม?
ไม่เพียงแต่ฮ่องเต้จะเมินเฉยต่อความผิดของเขาเท่านั้น แต่ยังคงปกป้องเขาเป็นครั้งคราวอีกด้วย! จึงคล้ายกับว่าองค์ฮ่องเต้นั้นได้กลายเป็นผู้ที่คอยให้ท้ายและผู้สนับสนุนรายใหญ่ขององค์ชายฉินเสี่ยวเทียน!
ดังนั้นเหตุผลที่องค์ชายฉินเสี่ยวเทียนกลายเป็นคนเสเพลและนิสัยไม่ดี อาจจะเป็นเพราะเหตุผลข้างต้นนี้ก็เป็นได้!
…. ….
จบบท
…. ….
ขยายความท้ายบท:
ความแตกต่างระหว่างพระราชทานสมรสกับพระราชกฤษฎีกาอภิเษกสมรส
พระราชกฤษฎีกาอภิเษกสมรส นั้นใช้เพื่อบังคับทางด้านฝ่ายหญิงเพื่อให้แต่งงานโดยไม่มีข้อโต้แย้ง ส่วนการพระราชทานอภิเษกสมรส นั้นถือได้ว่าเป็นการมอบรางวัลตามคำขอ
ซึ่งในยุคโบราณการยกบุตรีของขุนนางหรือยกนางในวังให้กับผู้มีความดีความช
อบเช่นขุนพลหรือเหล่าแม่ทัพนายกองนั้น ย่อมเป็นเรื่องปกติ และมีให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง!
…. ….