ตอนที่ 9 ข้าอยากเจอผู้หญิงคนนี้จริงๆ
ตอนที่ 9 ข้าอยากเจอผู้หญิงคนนี้จริงๆ
หยุนไท่เฟยก็หิวมากเช่นกัน นางจึงสั่งให้สาวใช้ของนางไปที่ห้องครัวและปรุงบะหมี่เพิ่ม นางไม่สามารถทนดูผู้อื่นกินอย่างเอร็ดอร่อยได้อีกต่อไป
เหล่าสาวใช้ก็หิวไม่ได้ต่างไปจากฮั่นอี้และคนอื่นๆ มากนักในตอนนี้ เมื่อไท่เฟยสั่งให้พวกนางปรุงบะหมี่ พวกนางก็เร็วยิ่งกว่ากระต่ายเสียอีก
เมื่อเหล่าสาวใช้ปรุงบะหมี่หกชามกลับมาอีกครั้ง ฮั่นอี้และคนอื่นๆ ก็กินเสร็จแล้ว
ในเวลานั้นฉีโม่ฮั่นและหยุนไท่เฟยมองดูพวกเขากินอย่างเร่งรีบ ขณะที่แอบกลืนน้ำลายเงียบๆ พวกเขากินค่อนข้างเร็วมากจริงๆ ไม่รู้ว่าพวกเขาจะได้ลิ้มรสรสชาติบะหมี่นั้นหรือไม่
สาวใช้นำบะหมี่ที่ปรุงใหม่เข้ามา หยุนไท่เฟยไม่มีพิธีรีตองอีกต่อไป นางชวนฉีโม่ฮั่นและเด็กน้อยทั้งสองมากินด้วยกัน
นอกจากนี้ยังมีส่วนของสาวใช้อีกด้วย พวกนางโชคดีที่ยังมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาพิเศษนี้และไม่ต้องสนใจกฎเกณฑ์ใดๆ
หลังจากที่สาวใช้ขอบคุณหยุนไท่เฟยอย่างซาบซึ้ง พวกนางก็หยิบชามบะหมี่ขึ้นมาอย่างระมัดระวังแล้วออกไปข้างนอก เนื่องจากเคยชินกับกฎเกณฑ์ พวกนางจึงไม่สามารถกินอาหารต่อหน้าเจ้านายได้
เด็กน้อยทั้งสองกินข้าวที่บ้านของซือซือแล้ว และยังไม่หิวจึงนั่งรอเงียบๆ อย่างเชื่อฟัง
หยุนไท่เฟยและฉีโม่ฮั่นต่างหยิบชามบะหมี่ของตนเองขึ้นมา หลังจากกินบะหมี่นุ่มๆ เข้าไปสองสามคำ หยุนไท่เฟยก็รู้สึกอบอุ่นในท้องของนาง สำหรับนางแล้ว ความรู้สึกนี้ทั้งดูคุ้นเคยและไม่คุ้นเคย
เนื่องจากปัญหาการขาดแคลนอาหารและน้ำที่ผ่านมา หยุนไท่เฟยถึงกับคิดที่จะตายไปพร้อมกับฉีโม่ฮั่นและประชาชนในเมืองชิวสุ่ย
นางไม่เคยคิดเลยว่าชิงเอ๋อและมู่จินจะมีโอกาสได้พบกับแม่นางซือซือ ทั้งยังได้รับเสบียงอาหารและน้ำมากมายในยามที่ทุกคนสิ้นหวัง ในขณะที่กินบะหมี่หยุนไท่เฟยก็นึกถึงแต่ซือซือเท่านั้น
นางถามฉีโม่ฮั่นอย่างไม่ได้ตั้งใจว่า "โม่ฮั่น เจ้าคิดว่าแม่นางซือซือจะเป็นคนแบบไหน"
อันที่จริงฉีโม่ฮั่นก็คิดเกี่ยวกับคำถามนี้เช่นกัน เขาไม่รู้ว่าโลกอีกพันปีเป็นอย่างไร แต่จะเห็นได้จากบุคลิกของซือซือว่าหญิงสาวค่อนข้างมีความเป็นอิสระ
หากสิ่งนี้เกิดขึ้นในอาณาจักรต้าฉี ไม่ต้องพูดถึงการแลกเปลี่ยนอาหารกับเขา มันคงจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้รับเสบียงอาหารจากหญิงสาวนางหนึ่ง
ดังนั้นในใจของเขา เขาจึงอยากรู้เกี่ยวกับซือซือและยุคสมัยที่นางอาศัยอยู่ด้วย
“ท่านแม่ ผู้หญิงคนนี้เป็นคนมีน้ำใจมาก ส่วนคนอื่นๆ ข้าไม่เคยติดต่อกับพวกเขา ดังนั้นจึงยากที่จะคาดเดาอะไรมากเกินไป”
ฉีโม่ฮั่นรู้สึกว่าเขานึกถึงสถานการณ์ของซือซือในใจได้เท่านั้น เขาเป็นผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่แล้วมันไม่ใช่เรื่องดีนักที่จะตัดสินผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่เคยเจอ
หยุนไท่เฟยไม่สนใจสิ่งที่เขาคิดและพูดกับตัวเองว่า "ถ้ามีโอกาส ข้าก็อยากจะพบกับผู้หญิงคนนี้จริงๆ นางจะต้องแตกต่างจากเด็กผู้หญิงจากอาณาจักรต้าฉีของเราแน่"
“เราไม่สามารถก้าวเท้าผ่านเข้าไปได้ ข้าเกรงว่าเราคงจะไม่มีโอกาสได้พบกันในชีวิตนี้” ฉีโม่ฮั่นกล่าว
หยุนไท่เฟยถอนหายใจ "ข้าแค่อยากรู้ว่าพวกเราจะได้มีโอกาสพบแม่นางซือซือหรือไม่ เฮ้อ ปล่อยให้มันเป็นโชคชะตาเถอะ!"
มารดาและบุตรชายคุยกันไปพลางกินบะหมี่ไปพลาง ผ่านไปไม่นานพวกเขาก็กินบะหมี่ทั้งหมดบนโต๊ะโดยไม่รู้ตัว
หยุนไท่เฟยเขินอายเล็กน้อย ไม่ต้องพูดถึงตอนที่น้ำและอาหารยังไม่ขาดแคลน นางยังไม่เคยกินมากขนาดนี้ แม้ว่านางจะสามารถกินอะไรก็ได้ขอแค่เอ่ยปาก
“โม่ฮั่น แม่นางซือซือเป็นคนเอาใจใส่จริงๆ นางคงทราบว่าพวกเราไม่ได้กินอะไรมานานแล้ว และอาหารที่หนักเกินไปอาจทำให้ปวดท้องได้ นางจึงเตรียมบะหมี่นุ่มๆ แบบนี้มาเป็นพิเศษ แสดงว่าหญิงสาวคนนี้เป็นคนรอบคอบอย่างยิ่ง” หยุนไท่เฟยยิ่งพูด ก็ยิ่งชอบซือซือมากขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจ
ฉีโม่ฮั่นไม่ได้คุยเรื่องซือซือกับมารดาของเขาอีกต่อไป เขายืนขึ้นแล้วพูดว่า "ท่านแม่ มันดึกแล้ว ข้าจะให้ใครสักคนส่งท่านกลับไปพักผ่อน"
เวลาเป็นเพียงข้ออ้างของฉีโม่ฮั่นเท่านั้น หยุนไท่เฟยรู้จักบุตรชายของนางเป็นอย่างดีและรู้ว่าเขาต้องการเตรียมการบางอย่าง ดังนั้นนางจึงให้สาวใช้ประคองนางกลับไปพักผ่อน
สำหรับคนอื่นๆ ในจวน ฉีโม่ฮั่นจะจัดอาหารให้พวกเขาในภายหลังอย่างแน่นอน ไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลกับพวกเขา
ในเวลานี้เด็กน้อยทั้งสองก็ง่วงแล้วเช่นกัน ฉีโม่ฮั่นจึงให้พวกเขาไปพักผ่อนก่อน เนื่องจากพรุ่งนี้จะมีงานให้พวกเขาทำอีกมาก
เมื่อมองดูเสบียงอาหารที่อยู่ตรงหน้า แม้ว่าปริมาณจะมากแต่จำนวนประชากรในเมืองชิวซุ่ยก็มีมากกว่า ดังนั้นการแจกจ่ายอาหารครั้งนี้คงเป็นการเติมเต็มท้องชั่วคราว ไม่ว่าจะยังไงก็ตามอย่างน้อยก็ช่วยให้ทุกคนไม่ต้องอดตาย
ฉีโม่ฮั่นพาคนมาตั้งโรงทานแจกโจ๊กตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ขณะที่ซือซือยังคงนั่งรออยู่บนเตียง เธอคิดว่าหลังจากที่เด็กน้อยทั้งสองกลับไปก็จะมาบอกข่าวทันที เธอรอแล้วรอเล่า...หลังจากรอนานกว่าหนึ่งชั่วโมงก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เลยที่หน้าหน้าต่าง
สิ่งนี้ทำให้ซือซือคิดอยู่พักหนึ่งว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นดูเหมือนจะเป็นภาพลวงตา จากนั้นเธอก็เหลือบไปเห็นห่อผ้าที่เด็กน้อยทั้งสองส่งมาจึงเชื่อว่าทุกอย่างเป็นเรื่องจริง
ซือซือรอจนถึงตีสามด้วยความกังวลเกี่ยวกับการทำกำไรและการขาดทุน ท้ายที่สุดแล้ว เธอไม่สามารถต้านทานเสียงเรียกของตู้เข่อโจวได้จึงค่อยๆ หลับไป
เมื่อเธอตื่นขึ้นมาก็เป็นเวลากลางวันแล้ว เธอลุกขึ้น อาบน้ำ ทานอาหาร และวางแผนจะไปตลาดของเก่าเพื่อลองเสี่ยงโชคกับเครื่องประดับเงินที่เด็กน้อยสองคนส่งมา ต้องบอกว่าซือซือเป็นคนดีอย่างยิ่ง เธอเดาว่าเด็กน้อยทั้งสองคงหลับไปตั้งแต่เมื่อคืนพวกเขาจึงไม่ได้กลับมา
หลังจากตื่นขึ้นแล้วพวกเขาจะมาที่นี่แน่นอน เธอจึงไปที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ชั้นหนึ่งหยิบนม ขนมปัง และสิ่งของอื่นๆ และวางไว้บนโต๊ะข้างเตียงเพื่อให้เด็กน้อยทั้งสองได้หยิบกินเองเมื่อมาถึง หลังจากเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ซือซือก็รีบออกไป
แม้ว่าเธอจะอาศัยอยู่ในเมืองนี้มาตั้งแต่เด็ก แต่เธอก็ไม่ได้คุ้ยเคยกับตลาดของเก่ามากนักเธอยังคงเป็นนักศึกษาที่ไม่มีประสบการณ์ชีวิตในโลกนี้ และธุรกิจของครอบครัวเธอก็ไม่เกี่ยวข้องกับของเก่าเลย ดังนั้นซือซือจึงระมัดระวังตัวอย่างมากเมื่อมาถึงตลาดของเก่า
ตลาดของเก่ามีขนาดใหญ่มาก โดยมีร้านค้าอยู่ทั่วถนนที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับของโบราณ เธอไม่รู้ว่าเป็นเพราะธุรกิจไม่ค่อยดีหรือเพราะเธอมาเร็วเกินไป จึงไม่มีใครเดินอยู่บนถนนเลย แต่โชคดีที่ร้านค้าเหล่านี้ยังเปิดให้บริการอยู่
ซือซือมองไปรอบๆ เธอไม่คุ้นเคยกับที่นี่จึงต้องการหาร้านที่เธอถูกใจและเข้าไปปรึกษาก่อน เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ซือซือก็ได้ยินเสียงคนเรียกจากด้านหลัง
“ซือซือ นั่นคุณเหรอ?”
ซือซือหันกลับมาและเห็นร่างสูงผอมยืนอยู่ที่ประตูร้านขายของเก่า
“รุ่นพี่ถังซู?” เธอถามอย่างไม่แน่ใจ
ถังซูเป็นรุ่นพี่ของเธอในโรงเรียนมัธยม ในเวลานั้นทั้งสองอยู่ชมรมเดียวกันและได้มีการพูดคุยกันหลายครั้ง แต่ซือซือไม่ได้มีความประทับใจอะไรกับบุคคลนี้
เมื่อเทียบกับซือซือแล้ว ถังซูดูกระตือรือร้นมากกว่า เขาวิ่งเข้ามาหาซือซืออย่างรวดเร็ว
“เป็นซือซือจริงๆ ทำไมคุณถึงมาที่ถนนโบราณแห่งนี้ล่ะ” นับเป็นเรื่องดีที่ซือซือได้พบกับคนรู้จักในสถานที่แปลกๆ เช่นนี้
“รุ่นพี่ ฉันมีของโบราณอยู่สองสามชิ้นที่บ้าน ฉันอยากจะสอบถามราคาของพวกมันจึงมาที่นี่”
ซือซือไม่ได้ปิดบังจุดประสงค์ของเธอในการมาที่นี่ เพราะเธอจะนำเครื่องประดับออกมาประเมินราคาในภายหลังอยู่แล้ว