ตอนที่ 8 ผู้หญิงคนนี้แปลกจริงๆ
ตอนที่ 8 ผู้หญิงคนนี้แปลกจริงๆ
หากของพวกนี้ถูกนำไปชั่งน้ำหนักคงจะไม่มีค่ามากนัก แต่ในสายตาของซือซือ ของพวกนี้ล้วนเป็นของเก่า เสียแต่เธอไม่รู้จักตลาดของโบราณ ดังนั้นเธอจึงไม่รู้ว่าจะขายได้ในราคาเท่าไร
หากซือซือไม่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เธอคงไม่อยากรับเครื่องประดับเหล่านี้จากหยุนไท่เฟยจริงๆ ไม่มีทางเลือกพวกเขาแต่ละคนมีความยากลำบากของตัวเอง ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงไขว้ขว้าสิ่งที่ต้องการเท่านั้น
อีกฝ่ายตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก ไม่ต้องพูดถึงการใช้เครื่องประดับเหล่านี้เพื่อแลกเปลี่ยน แม้ว่าเธอจะไม่ได้รับอะไรเลย เธอก็จะไม่นิ่งเฉยเฝ้าดูผู้คนจำนวนมากเสียชีวิตจากความอดอยาก เธอเลือกที่จะช่วยเหลือผู้อื่น
ซือซือห่อเครื่องประดับแล้วเก็บเอาไว้ก่อน เธอเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบนมสองขวด อุ่นในไมโครเวฟแล้วให้เด็กน้อยทั้งสองคนดื่ม
“พวกเธอดื่มนมก่อนนะ”
เธอไปที่โกดังซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ชั้นหนึ่งอีกครั้ง และกลับมาพร้อมกับรถเข็นที่เต็มไปด้วยธัญพืชและอาหารแบบเดียวกับที่เธอเพิ่งส่งไป
นอกจากนี้ ซือซือยังนำบะหมี่หลงซูและไข่มาด้วย ดูจากรูปลักษณ์ของเด็กน้อยทั้งสองแล้ว ท่านยายและท่านลุงของพวกเขาก็คงหิวมากเช่นกัน
หากคุณหิวมาเป็นเวลานาน มันไม่เหมาะที่จะกินอาหารที่ย้อยยาก บะหมี่และไข่เป็นอาหารที่ค่อนข้างอ่อน สามารถประทังความหิวได้
เด็กน้อยสองคนคิดว่าเครื่องประดับที่ท่านยายให้นำมาให้พี่สาวนั้นมีค่ามาก พี่สาวจึงให้อาหารและน้ำมากมายแก่พวกเขาอีกครั้ง
เด็กน้อยทั้งสองดีใจจนแทบจะกระโดดขึ้นมา
ซือซือไม่รีบร้อนให้พวกเขากลับไป แม้ว่าเธอจะรู้สึกเสียใจต่อผู้คนในเมืองชิวสุ่ย แต่หากเธอสามารถใช้โอกาสนี้เพื่อแก้ไขวิกฤติที่เธอกำลังเผชิญอยู่ได้ นั่นจะเป็นการดีที่สุดของทั้งสองฝ่าย
ดังนั้นเธอจึงหยิบปากกาบันทึกเสียงขึ้นมาแล้วพูดว่า
[หยุนไท่เฟย อ๋องหรง ตอนนี้ฉันได้รับรู้สถานการณ์ของพวกคุณแล้ว และฉันก็เห็นใจอย่างมากกับสถานการณ์ของคุณ
ฉันจะจัดหาอาหารและน้ำให้พวกคุณต่อไป ส่วนสิ่งของแลกเปลี่ยนนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นทองหรือเงิน คุณสามารถใช้แจกัน ภาพเขียนอักษร และภาพวาดที่คุณใช้ในชีวิตประจำวัน หรือจานชาม เครื่องลายคราม และสิ่งของอื่นๆ ได้]
เมื่อมองดูบะหมี่บนรถเข็น เธอก็คิดได้ว่าคนในสมัยโบราณคงไม่รู้วิธีทำ จึงพูดต่อว่า [คราวนี้นอกจากอาหารแล้ว ยังมีบะหมี่ด้วย ซึ่งพวกคุณแค่ต้มน้ำให้เดือดและใส่บะหมี่ลงไปก็กินได้แล้ว]
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ซือซือก็กดปุ่มหยุดการบันทึก ยื่นปากกาบันทึกเสียงให้กับเซียวชิงเอ๋อและให้เด็กน้อยทั้งสองกลับไปพร้อมกับเสบียง
คราวนี้เด็กน้อยทั้งสองกลับมาพร้อมกับรถเข็นเสบียงขนาดใหญ่ แต่ฉีโม่ฮั่นและหยุนไท่เฟยไม่ได้ตกใจเหมือนเมื่อครั้งก่อน ทั้งสองกลับกังวลมากขึ้นเมื่อได้ฟังเนื้อหาใหม่ในปากกาบันทึกเสียง
หลังจากได้ยินสิ่งที่ซือซือพูด หยุนไท่เฟยก็สับสนเล็กน้อย
“ผู้หญิงคนนี้แปลกจริงๆ นางไม่ต้องการทองหรือเงิน แต่นางต้องการสิ่งของไร้ค่าพวกนั้นหรือ”
ฉีโม่ฮั่นก็งงเช่นกัน “ตอนนี้เงินในคลังถูกใช้จ่ายไปอย่างสุรุ่ยสุร่าย แม้แต่เครื่องประดับที่ท่านแม่เก็บเอาไว้เกือบตลอดชีวิตก็ยังถูกใช้เพื่อแลกกับอาหาร ที่เหลือมากสุดคือแจกันและเครื่องประดับที่ไร้ค่า”
สิ่งที่ซือซือพูดถึงในสายตาของฉีโม่ฮั่นมันเป็นวัตถุที่ไร้ค่าที่สุด เขาไม่สามารถแลกมันเป็นอาหารได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านั้น
เมื่อได้ยินเช่นนั้นหยุนไท่เฟยก็ดูเหมือนจะตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่างได้ "ไม่ใช่เพราะข้าร้องไห้ขณะที่พูดเมื่อครู่หรือ แม่นางซือซือเลยสงสารพวกเรา นางก็เลยขอสิ่งเหล่านี้แทนใช่หรือไม่ หากเป็นเช่นนี้เราจะทำอย่างไรดี?"
ฉีโม่ฮั่นก็คิดถึงปัญหานี้เช่นกัน เขาเคาะนิ้วบนโต๊ะเบาๆ
“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หากแม่นางซือซือต้องการของเหล่านั้น เราก็จะมอบของเหล่านั้นให้กับนาง หลังจากวิกฤตการณ์นี้สิ้นสุดลงในอนาคต พวกเราค่อยหาทางชดเชยให้นางเป็นอย่างไร”
หยุนไท่เฟยพยักหน้าเห็นด้วย “เอาล่ะ โม่ฮั่นพูดถูก เราจะส่งคนไปย้ายแจกันและสิ่งของอื่นๆ จากวังหลวงมาที่นี่ ให้ชิงเอ๋อและมู่จินส่งมอบให้กับแม่นางซือซือ”
เมื่อพูดถึงการส่งมอบสิ่งของให้ซือซือ ฉีโม่ฮั่นมองขึ้นไปบนฟ้าแล้วหันไปถามเด็กน้อยทั้งสองว่า "ที่บ้านแม่นางซือซือเป็นกลางคืนแล้วหรือไม่?"
เซียวมู่จินพยักหน้าอย่างแรงสองสามครั้ง "บ้านพี่สาวก็มืดเหมือนกัน ข้ามองเห็นแสงจันทร์ได้จากหน้าต่าง”
ฉีโม่ฮั่นลุกขึ้นยืน “เพราะฉะนั้นวันนี้อย่ารบกวนการพักผ่อนของแม่นางซือซือเลย แค่เตรียมของไว้แล้วไปส่งพรุ่งนี้เช้าเถอะ”
เมื่อเด็กทั้งสองได้ยินสิ่งที่ท่านลุงของพวกเขาพูดก็แสดงสีหน้าผิดหวัง พวกเขายังต้องการไปหาพี่สาวคนสวยและพูดคุยกับนาง ยิ่งกว่านั้นนมที่พี่สาวคนสวยให้มานั้นมีกลิ่นหอมและหวานอร่อยมาก
แต่เมื่อท่านลุงของพวกเขาพูดไปแล้ว พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้ หากท่านลุงไม่ยอมให้พวกเขาไปหาพี่สาวอีกจะทำอย่างไร
ฉีโม่ฮั่นเดินมาที่ประตูแล้วพูดว่า "ใครอยู่ข้างนอก" ในไม่ช้าเงาร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา
ฉีโม่ฮั่นสั่งการ "ฮั่นอี้ เรียกคนมาสองสามคนไปนำแจกันและเครื่องประดับมาที่นี่ รวมทั้งภาพเขียนอักษรและภาพวาดจากห้องหนังสือของข้าด้วย"
ฮั่นอี้มีสีหน้างุนงง เขาครุ่นคิดอยู่ในใจ ท่านอ๋องหิวจนทนไม่ไหวแล้วหรือ แต่ฮั่นอี้ก็ไม่กล้าที่จะละเลย หลังจากตอบตกลงเขาก็หันหลังไปทำงานของเขา
หยุนไท่เฟยสั่งการเช่นกัน นางให้สาวใช้ไปที่ครัวเล็กเพื่อจุดไฟ นางทำบะหมี่หลายชามเพื่อสนองความหิวของทุกคน
สาวใช้รับใช้หยุนไท่เฟยมาหลายปีแล้วจึงรู้วิธีจัดการสิ่งต่างๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีอาหารหรือน้ำในจวนแล้ว เหตุใดหยุนไท่เฟยจึงอยากจุดไฟ แต่นางก็อดทนไม่ถามออกไป
ไฟในห้องครัวถูกจุดขึ้น ฉีโม่ฮั่นก็ส่งบะหมี่สองห่อและไข่สองฟองด้วยตนเอง เสื้อผ้าของหยุนไท่เฟยเหมือนกับของเด็กน้อยทั้งสองคน เนื่องจากไม่มีน้ำให้ซักผ้าจึงไม่สามารถมองเห็นสีเดิมของมันได้ ในเวลานี้จึงไม่ต้องกังวลว่าเสื้อผ้าจะสกปรก
นางพับแขนเสื้อขึ้นแล้วเทน้ำแร่ถังใหญ่ลงในหม้อ จากนั้นทำตามวิธีที่ซือซือบอก ใส่บะหมี่ลงในน้ำร้อนเดือดแล้วตอกไข่ลงไป ในครัวเล็กยังมีเกลืออยู่บ้างเล็กน้อย นางจึงใส่ลงไปด้วยดีกว่ากินแบบจืดๆ เส้นบะหมี่ถูกตักออกมาจากหม้อ และได้ถึงหกชาม
เมื่อได้กลิ่นอาหารที่หายไปนาน ทุกคนก็แทบน้ำตาไหล คุณจะรู้สึกเหมือนกับว่าวันที่คุณแต่งตัวดีและกินอาหารดีกลับมาอีกครั้ง
หยุนไท่เฟยปาดเหงื่อจากหน้าผากและสั่งให้สาวใช้นำบะหมี่ไปที่ห้องของเด็กน้อยทั้งสอง บังเอิญว่าในเวลานี้พวกของฮั่นอี้ก็ได้นำแจกันและเครื่องประดับชุดแรกเข้ามาด้วยพอดี
เมื่อได้กลิ่นหอมของอาหารที่หายไปนาน ฮั่นอี้ก็สงสัยว่าเขากำลังมีอาการประสาทหลอน แต่เมื่อเห็นบะหมี่หอมๆ น่ากินบนโต๊ะ เขาก็รู้สึกชาไปทั้งตัว
ท้องของเขาซึ่งไม่ได้กินอะไรมาเป็นเวลาสองวัน จู่ๆ ก็ส่งเสียงร้องออกมาเป็นชุด นอกจากนี้ยังมีทหารองครักษ์ที่ติดตามเขาเพื่อขนแจกัน พวกเขาต่างก็น้ำลายไหลเกือบถึงพื้น
ฉีโม่ฮั่นรู้สึกเสียใจกับผู้ใต้บังคับบัญชาเหล่านี้ด้วย คนพวกนี้สามารถหลบหนีไปอยู่ในที่ที่มีน้ำและอาหารได้ แต่พวกเขาก็เลือกจะอยู่ที่นี่
หยุนไท่เฟยรู้จักบุตรชายของนางเป็นอย่างดี ดังนั้นนางจึงมองดูทหารองครักษ์แล้วพูดว่า "ไม่ต้องตกใจ ไปนั่งกินบะหมี่ซะ"
ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ พวกเขาคงไม่กล้านั่งกินต่อหน้าเจ้านายแน่ๆ แต่ตอนนี้พวกเขาไม่สนใจอะไรอีกต่อไปแล้ว ทันทีที่หยุนไท่เฟยพูดจบทั้งหกคนนำโดยฮั่นอี้ก็นั่งรอบโต๊ะและเริ่มกินบะหมี่
ต่อให้ตายเป็นผีก็ต้องเป็นผีที่อิ่ม