ตอนที่ 23 คำชักชวน
ตอนที่ 23 คำชักชวน
เมื่อถึงเวลาตีห้าของเช้าวันรุ่งขึ้น สวี่จื้อก็สั่งให้แฟมิเลียทั้งสองออกไปล่าและค้นหาไอเทมพิเศษ ส่วนเธอก็คลังเก็บของ และคลิกที่แก่นพลังเลือดที่กองสุ่มกันอยู่ จากนั้นคำบรรยายก็ปรากฏขึ้น
[ คุณต้องการทำความเข้าใจเกี่ยวกับแก่นพลังนี้หรือไม่? ]
สวี่จื้อคลิกใช่ จากนั้นความรู้เกี่ยวกับแก่นพลังเลือดก็ปรากฏบนหน้าจอเกม
[ เลือด : สัญลักษณ์แห่งการเจริญพันธุ์ และการหล่อเลี้ยง ]
[ รวมถึงความปรารถนา ความใคร่ ภาวะเจริญพันธุ์ สิ่งล่อลวง ความเจ็บปวด ความโหดร้าย และความกระหาย มันเป็นดั่งนิยามแห่งความปรารถนาอันไร้มนุษยธรรม ไร้ขอบเขต และมีเสน่ห์ที่ไม่อาจต้านทานได้ และบางครั้งก็มีแนวโน้มที่จะทำให้มึนเมา และจมดิ่งจนไม่อาจถอดถอนตัวได้ ]
“ฟังดูไม่ดีเลย”
เมื่อเทียบกับ ความโกลาหล และอัตตาของมอธแล้ว เลือดดูบ้าคลั่ง และชั่วร้ายยิ่งกว่า
หลังจากอ่าน และทำความเข้าใจสั้นๆ เกี่ยวกับพลังเลือด สวี่จื้อก็ค่อนข้างเข้าใจว่าทำไมกลุ่มสาวกจึงคลั่งไคล้ และบ้าคลั่งถึงขนาดนั้น พวกเขาถูกความปรารถนากลืนกิน ถูกชักเชิดด้วยอิทธิพลของพลัง จนไม่ต่างจากซอมบี้ที่กระหายเนื้อสด
สำหรับชายสวมแว่นที่ยังคงความเหตุผลไว้ได้ ก็ถือเป็นสาวกคนหนึ่ง แต่เขายังสามารถควบคุมสติของตัวเองได้อยู่ และไม่จมดิ่งไปโดยสมบูรณ์ แต่จิตใจของเขาก็เปลี่ยนไป มันเต็มไปด้วยความกระหาย และความปรารถนาที่ถูกกระตุ้นถึงขีดสุด
“ดูเหมือนพลังเลือดจะแตกต่างจากพลังสายอื่นๆ”
สวี่จื้อไม่ได้พบกับผู้ปลุกพลังมากมายนัก แต่เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ในตอนนี้ อย่างน้อย พลังสายอื่นๆ จะไม่ถูกเปิดเผยให้เห็นอย่างชัดเจนจากภายนอก จึงยากจะรู้ว่าแต่ละคนครอบครองพลังอะไรอยู่
สำหรับผู้ปลุกพลังเลือด ดูเหมือนจะมีการแบ่งแยกลำดับชั้น และมีจิตสำนึกรวม ไม่รู้ว่าพลังสายอื่นๆ จะเป็นเหมือนกันหรือเปล่า สวี่จื้อจึงรู้สึกว่าเธอจะหาผู้ปลุกพลังคนอื่นๆ ให้พบเพื่อยืนยันเรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม เธอแน่ใจว่าตนจะไม่มีความคิดที่จะยอมจำนนต่อผู้ปลุกพลังสายเดียวกันที่ทรงพลังมากกว่าตัวเธอเอง
ยิ่งเธอได้เรียนรู้มากเท่าไหร่ สวี่จื้อก็พบว่าจริงๆ แล้วตนยังรู้น้อยมาก และเธอก็อยากรู้เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ มากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ และมาปรับใช้เพื่อที่จะได้แข็งแกร่งยิ่งกว่าใคร
“หวังว่าครั้งนี้จะได้พบกับผู้ปลุกพลังคนอื่นๆ ในเมือง”
เมื่อคิดเช่นนี้ สวี่จื้อก็คลิกที่ไอคอนของร่างวิญญาณ ใส่แก่นพลังเลือดทั้งสี่ก้อนลงไปแล้วคลิกตกลง
[ จำนวนแก่นพลังที่ใช้ : 4 ]
[ ระยะเวลาการดำรงอยู่ของร่างวิญญาณ : 20 นาที ]
[ เริ่มทำการสุ่มสเตตัส ]
[ การสร้างร่างวิญญาณเสร็จสมบูรณ์ ]
[ ร่างวิญญาณ ]
[ จิตวิญญาณ : 200 ]
[ ร่างกาย : 100 ]
[ สกิล : กระหายเลือด ( เลเวล 2 ) ความปรารถนา ( เลเวล 3 ) ]
สวี่จื้อ ขมวดคิ้วในขณะที่เขามองไปที่สเตตัสของร่างวิญญาณที่สุ่มออกมา ด้วยแก่นพลังสี่ก้น ค่าจิตวิญญาณแค่ 200 เท่านั้น มันน้อยเกินไปหรือเปล่า
นอกจากนี้ยังมีสกิลอีกสองอย่าง เธอรู้เกี่ยวกับสกิลกระหายเลือด แต่อีกสกิลนั้นทำให้เธอรู้สึกไม่ค่อยดี
แต่ตอนนี้เมื่อเรื่องนี้มาถึงขนาดนี้แล้ว เธอไม่สามารถยอมถอยได้ และเกมจะไม่เปิดให้เธอทำเช่นนั้นเหมือนกัน
[ เริ่มทำการสุ่มจุดเกิด ]
[ การสุ่มจุดเกิดเสร็จสิ้นแล้ว เริ่มทำการเทเลพอร์ต ]
วินาทีต่อมา วิสัยทัศน์ของสวี่จื้อก็มืดลง และเธอก็รู้ว่าเมื่อเธอลืมตาขึ้นอีกครั้ง จิตสำนึกของเธอก็จะอยู่ในร่างวิญญาณที่ถูกสร้างขึ้น
สวี่จื้อไม่รีบร้อน ในตอนแรกเธอพยายามสัมผัสถึงสิ่งรอบตัว อย่างเสียงหรืออุณหภูมิ แต่เธอไม่รู้สึกอะไรเลย ดูเหมือนว่าจะไม่มีช่องโหว่ให้เธอได้ใช้ประโยชน์
เมื่อเป็นแบบนี้ เธอก็ทำได้เพียงลืมตา และในขณะที่ร่างวิญญาณอยู่ในสถานะอมตะเป็นเวลา 2 วินาที สวี่จื้อเหลือบมองไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว โชคดีที่คราวนี้เธอไม่ได้โชคร้ายนัก และไม่ถูกสุ่มเกิดในสถานที่อันตรายอย่างยิ่งแบบคราวก่อน
เธอยืนอยู่ในตรอกเล็กๆ ที่ล้อมรอบด้วยหมอกหนาทึบ แต่การมองเห็นของเธอก็ชัดเจนมาก อย่างน้อยก็ชัดเจนกว่าร่างหลักของตัวเธอเองมาก
นอกจากนี้ สวี่จื้อยังรู้สึกได้ว่ามีความคิดที่คลุมเครือบางอย่างฝังอยู่ในหัว เหมือนว่าเธอต้องทำบางสิ่ง แต่ก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร เพียงแต่ว่าเธอไม่ควรยืนอยู่ตรงนี้
มันเหมือนเสียงกระซิบที่ลอยมาตามลม ไม่รู้ต้นตอ ไม่รู้ทิศทาง แต่ทำให้รู้สึกขนลุกขนพอง
ความกระสับกระส่ายที่อธิบายไม่ได้ทำให้สวี่จื้อรู้สึกอึดอัด โชคดีที่เธอป่วยมาเป็นเวลาหลายปี และคุ้นเคยกับการสงบสติอารมณ์ ในขณะนี้ เธอจึงสามารถระงับความกระสับกระส่ายในใจ และไม่ปล่อยให้มันส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจ
“หรือจะเป็นเพราะพลังเลือด?”
นี่เป็นเพราะสาเหตุเดียวที่เธอพอจะนึกออก
ตอนนี้เธอพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมสาวกเหล่านั้นจึงดูดบ้าคลั่งอยู่ตลอดเวลา บางทีจิตใจของพวกเขาอาจเต็มไปด้วยความกระวนกระวายที่มากจนไม่อาจระงับไว้ ทำให้พวกเขาหงุดหงิด และไม่สามารถคิดอย่างรอบคอบ และทำทุกสิ่งตามสัญชาตญาณของตัวเองเท่านั้น
สวี่จื้อไม่ได้อยู่ที่เดิมนานนัก หลังจากที่เธอระงับความกระสับกระส่ายในใจแล้ว เธอก็ก้าวออกจากตรอก
เธอไม่รู้ว่าสถานที่แห่งนี้อยู่ที่ไหน เพราะเมืองหยุนนั้นใหญ่โตมาก และมีสถานที่หลายแห่งที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน
สวี่จื้อสุ่มเลือกทิศทาง และเริ่มมองหาผลไม้สีดำบนพื้น เธอไม่คิดจะซ่อนร่องรอยของตัวเองเลย เพราะท้ายที่สุดแล้ว นี่เป็นเพียงร่างวิญญาณที่คงอยู่ได้เพียง 20 นาทีเท่านั้น
การระมัดระวังเกินไปจะทำให้ความคืบหน้าช้าลงเท่านั้น นอกจากนี้เธอยังอยากลองดูด้วยว่าจะมีโอกาสพอเจอคนอื่นๆ ในเมืองหรือเปล่า
ด้วยค่าร่างกาย 100 แต้มเป็นรากฐาน สวี่จื้อรู้สึกได้ว่าร่างกายนี้ทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายมากกว่า ราวกับว่าพันธนาการที่เคยเหนี่ยวรั้งเธอเอาไว้ได้หายไป แต่ทั้งหมดก็แค่นั้น
ร่างกายนี้ไม่มีพลัง ไม่มีอาจปกป้องตัวเองได้ คาดว่าอย่างมากที่สุดก็เทียบได้กับร่างกายของคนธรรมดาที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย
แต่จะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ นั่นก็ไม่สำคัญ เพราะอีกไม่นาน มันก็จะหายไป
โชคของสวี่จื้อดีมาโดยตลอดตั้งแต่หมอกดำมารวมตัวกัน ยกเว้นการถูกครอบครัวของเธอทอดทิ้ง แน่นอนว่าเธอไม่คิดว่านั่นความโชคร้าย
และตอนนี้สิ่งนี้ได้รับการยืนยันแล้ว ภายในเวลาไม่ถึงสิบนาที เธอก็พบคนที่ยังมีชีวิตอยู่
ไม่ บางทีอาจกล่าวได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนค้นพบเธอต่างหาก อาจเฝ้ามองเธอมาพักหนึ่งแล้วเพื่อให้แน่ใจว่าเธอไม่ใช่หนึ่งในสาวกที่บ้าคลั่งเหล่านั้น จากนั้นจึงเลือกที่จะปรากฏตัว และออกมาพูดคุยกับเธอ
แต่ท่าทีของอีกฝ่ายก็ดูระมัดระวังเช่นกัน พวกเขาไม่ได้เดินมาตรงหน้าเธอในทันที แต่ยืนห่างออกไป และตะโกนว่า “เฮ้ คนที่อยู่ตรงนั้นน่ะ คุณได้ยินเรามั้ย”
จุดประสงค์ประการหนึ่งของสวี่จื้อคือการดูว่าผู้ปลุกพลังคนอื่นๆ ในเมืองกำลังทำอะไรอยู่ เธอต้องการติดต่อพูดคุยกับพวกเขาอย่างเป็นธรรมชาติ และความจริงที่ว่าอีกฝ่ายไม่รีบเร่งเข้ามาหา แต่ทักทายเธอจากระยะไกล และรักษาระยะห่าง ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ใช่สาวกเหล่านั้น
สวี่จื้อตอบเสียงเรียก และยืนอยู่ที่นั่นโดยไม่ขยับตัว ในระหว่างทางเธอยังไม่ได้รับอะไรเลย เธอจึงไม่มีอะไรต้องกลัว เมื่อไม่มีอะไรให้ต้องห่วง เธอก็ยินดีที่จะได้พบเพื่อนใหม่ๆ
แต่สิ่งที่ทำให้เธอประหลาดใจคือ หลังจากที่เธอแสดงความเป็นมิตร อีกฝ่ายเพียงหยุดชั่วครู่ แล้วถามคำถามที่คุ้นเคยมากสำหรับเธอ “คุณอยู่ตัวคนเดียวเหรอ? อยากเข้าร่วมกับเรามั้ย”
“เอ่อ?”
หลังจากเสียงสับสนของสวี่จื้อดังขึ้น ก็มีเสียงที่ฟังดูเหมือนเป็นการตำหนิเล็ดลอดออกมา ดูเหมือนว่าคนที่เอ่ยปากถามจะถูกคนที่อยู่ข้างๆ ตำหนิ
จากนั้นเสียงชายวัยกลางคนที่ดูสงบก็ดังออกมา “ขอโทษด้วยที่ทำให้คุณตกใจ”
สวี่จื้อหยุดครู่หนึ่ง “ไม่เป็นไร”
“แต่เราจะตะโกนคุยกันแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ เหรอ?”
มันแปลกมากจริงๆ ที่ตะโกนใส่กันไปมาแบบนี้