บทที่ 370 แบ่งเบาพระราชภาระ
ท้องพระโรงจินหลวน ตกอยู่ในความเงียบงัน
หมัวกงกงกลับมายังข้างพระวรกายของฮ่องเต้เจี้ยนเหวิน ยืนโค้งตัวโดยไม่กล่าวสิ่งใด
“เรื่องนี้ เจ้าว่าอย่างไร”
ฮ่องเต้ตรัสขึ้นมาอย่างกะทันหัน
แม้จะไม่ได้ระบุชื่อผู้ใด แต่ในที่นี้ย่อมมีเพียงหมัวกงกงที่ต้องตอบคำถาม
หมัวกงกงลำบากใจ ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี จู่ๆ เสียงจากด้านนอกก็ดังขึ้น
ไม่นานนัก ขันทีน้อยคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามา กระซิบที่ข้างหูของหมัวกงกง
“ฝ่าบาท จิ้นอ๋องเสด็จมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เขามาทำไม”
ฮ่องเต้เจี้ยนเหวินชะงักเล็กน้อย หากเป็นพระโอรสองค์อื่นมาเข้าเฝ้า เขาคงไม่แปลกใจ แต่สำหรับเซียวเฉิ่งอวี่ นั่นเป็นเรื่องที่ผิดปกติ
“ให้เขาเข้ามา”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หมัวกงกงไม่ให้ขันทีน้อยไปเชิญ แต่เลือกเดินไปเชิญด้วยตนเอง
เมื่อเซียวเฉิ่งอวี่ก้าวเข้าสู่ท้องพระโรงจินหลวน สายตาของเขากวาดผ่านทุกอย่างในห้อง ก่อนจะเข้าใจได้ทันทีว่าเขามาสายเกินไป
“เจ้ามาเพื่อขอร้องแทนเจ้าหกหรือ”
น้ำเสียงของฮ่องเต้เจี้ยนเหวินฟังดูเรียบเฉย แต่ก็ไม่ได้เย็นชาดังเช่นเมื่อครู่
ในบรรดาโอรสของพระองค์ เซียวเฉิ่งอวี่เป็นคนที่พระองค์ทรงโปรดปรานที่สุด
ยามที่ฮองเฮายังมีพระชนม์ชีพ ความสัมพันธ์ระหว่างฮ่องเต้เจี้ยนเหวินกับเซียวเฉิ่งอวี่ไม่ได้เย็นชาเช่นนี้ ทั้งครอบครัวดูคล้ายสามัญชนทั่วไป
พ่อแม่รักใคร่กลมเกลียว ลูกชายกตัญญู
หมัวกงกงพลันนึกถึงปีที่ฮองเฮาสิ้นพระชนม์ เซียวเฉิ่งอวี่เคยโกรธจนก่อเรื่องใหญ่ในห้องทรงงาน และเกือบเผาวังที่ฮองเฮาเคยประทับจนวอด
เรื่องนั้นถูกฮ่องเต้เจี้ยนเหวินเก็บไว้เงียบๆ และพระตำหนักนั้นก็ถูกปล่อยให้รกร้างมาจนถึงทุกวันนี้
“กระหม่อมมิได้มีเจตนาเช่นนั้น”
น้ำเสียงของเซียวเฉิ่งอวี่เรียบเฉยเช่นกัน แม้ท่าทีจะดูเคารพ แต่กลับไม่มีความรู้สึกเคารพอย่างแท้จริง
ฮ่องเต้เจี้ยนเหวินไม่ได้ทรงถือโทษ “ถ้าอย่างนั้นเจ้ามาเพราะเหตุใด”
พระองค์กลับรู้สึกว่าพระทัยเบาสบายขึ้น
“กระหม่อมมีบางสิ่งอยากถวายให้ฝ่าบาททอดพระเนตร”
เซียวเฉิ่งอวี่หยิบม้วนเอกสารออกมาจากแขนเสื้อ และส่งให้หมัวกงกงนำไปถวายฮ่องเต้เจี้ยนเหวิน
ทันทีที่เห็นม้วนกระดาษ สีหน้าของฮ่องเต้ก็เปลี่ยนไป
หมัวกงกงที่ยืนอยู่ข้างๆ เหลือบมองด้วยความสงสัย แต่เพียงแค่แวบเดียว สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม หมัวกงกงรีบเก็บอารมณ์ของตนเองไว้
ฮ่องเต้เจี้ยนเหวินยื่นพระหัตถ์ออกไปรับกระดาษ หมัวกงกงที่อยู่ใกล้ที่สุดสังเกตเห็นปลายนิ้วของพระองค์สั่นเล็กน้อย
ในความคิดของหมัวกงกง ม้วนกระดาษในมือเขากลับรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
จนกระทั่งฮ่องเต้ทรงรับไป หมัวกงกงถึงได้ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
“เจ้าพบสิ่งนี้ได้จากที่ใด”
ฮ่องเต้ไม่ได้เปิดมันทันที แต่ทรงหันไปถามเซียวเฉิ่งอวี่
เซียวเฉิ่งอวี่ยืนอยู่ในชุดดำอย่างสงบนิ่ง “หยางโจว”
หยางโจวอีกแล้วหรือ หมัวกงกงคิดในใจ แต่ไม่ได้พูดออกมา
ฮ่องเต้เจี้ยนเหวินกลับไม่ได้แสดงความประหลาดพระทัย ท่าทางของพระองค์คล้ายกับทรงนึกถึงบางสิ่ง
เมื่อทรงเปิดม้วนเอกสาร ดวงพระเนตรค่อยๆ ไล่อ่านทีละคำ
ไม่นาน พระองค์ก็วางม้วนกระดาษลงบนโต๊ะ
“มิใช่มาเพื่อขอความเมตตา แต่กลับมาส่งหลักฐานให้ข้า” ปฏิกิริยาของฮ่องเต้เจี้ยนเหวินแตกต่างจากที่หมัวกงกงคาดไว้
เขาก้มหน้าลงเล็กน้อย และแอบเหลือบมองพระพักตร์ของฮ่องเต้
จากมุมมองของเขา ไม่อาจมองเห็นเนื้อหาบนม้วนกระดาษได้ชัดเจน แต่สิ่งที่เขาสังเกตได้คือ ลายมือบนกระดาษไม่ใช่ของคนที่เขาเคยคิดไว้
เชื่อมโยงกับคำพูดของฮ่องเต้ หมัวกงกงพิจารณาและคาดเดาว่า กระดาษนี้คงเกี่ยวข้องกับเรื่องของอ๋องอัน
“การแบ่งเบาพระราชภาระ เป็นสิ่งที่ข้าควรทำ”
คำพูดนี้ทำให้ทั้งฮ่องเต้เจี้ยนเหวินและหมัวกงกงนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
เมื่อทั้งสองได้สติกลับมา เซียวเฉิ่งอวี่ก็จากไปแล้ว
หมัวกงกงเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาท จะให้กระหม่อม...”
“ไม่จำเป็น”ฮ่องเต้เจี้ยนเหวินตรัสตัดบททันที
ฮ่องเต้เจี้ยนเหวินตรัสพลางมองม้วนกระดาษในพระหัตถ์
“เจ้าจงไปเตรียม...เอาเถิด ไว้พูดกันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนในตอนนี้”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเห็นฮ่องเต้เจี้ยนเหวินลุกขึ้น หมัวกงกงรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อประคองพระองค์
เช้าวันรุ่งขึ้น ข่าวการจับกุมอ๋องอันแพร่กระจายไปทั่ว
บางคนลือว่าอ๋องอันลบหลู่ฮ่องเต้ บ้างก็ว่าคิดก่อกบฏ...
สรุปแล้ว ทุกเรื่องล้วนเป็นข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงและเพียงพอที่จะทำให้ฮ่องเต้ทรงพระพิโรธ
จวนตระกูลซู
ซูเล่ออวิ๋นพาเซียงหลิงหลิงไปรับการรักษากับจางเหล่าครั้งใหม่
“ข้ารู้สึกปวดหัวเล็กน้อย”
เซียงหลิงหลิงขมวดคิ้ว แต่ยังพอทนได้ ไม่ใช่ความเจ็บปวดที่รุนแรง
จางเหล่าเก็บเข็มเงินทุกเล่ม สีหน้าดูผ่อนคลายกว่าครั้งก่อน
“ข้าส่งสูตรยามาให้สาวใช้แล้ว ดื่มวันละสองครั้ง เช้าเย็น ห้าวันต่อจากนี้ข้าจะกลับมาใช้เข็มอีกครั้ง”
เซียงหลิงหลิงชะงักเล็กน้อย ก่อนถามด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยความหวัง “ท่านจาง ท่านหมายความว่า...”
“เข็มในครั้งนี้ถูกปรับปรุงให้เหมาะกับโรคดวงตาของเจ้ามากขึ้น”
“ท่านหมายถึง ตาของข้าจะหายดีหรือ”
“ยังต้องรอดูผลหลังการรักษาครบสามครั้ง หากไม่ได้ผล เราค่อยมองหาวิธีอื่น”
จางเหล่ากล่าวพร้อมทั้งให้คำแนะนำอีกเล็กน้อย จากนั้นก็เก็บของและเดินทางกลับ
แม้ดวงตาของเซียงหลิงหลิงจะยังถูกปิดด้วยผ้าดำ แต่รอยยิ้มที่มุมปากของนางบ่งบอกถึงความยินดีได้อย่างชัดเจน
“ดูแลรักษาตัวเองให้ดีต่อไปเถิด” ซูเล่ออวิ๋นพูด
เซียงหลิงหลิงพยักหน้า คิดอะไรบางอย่าง ก่อนเอ่ยขึ้น “พี่เล่ออวิ๋น ท่านย่าไม่ได้ก่อเรื่องอีกเลยในช่วงสองสามวันนี้”
“ใช่”
“งั้น...”
ซูเล่ออวิ๋นเอื้อมมือแตะมือนางเบาๆเพื่อปลอบโยน “อย่าคิดมาก ดูแลตัวเองให้ดี เรื่องอื่นข้าจะจัดการเอง”
หลังจากอยู่กับเซียงหลิงหลิงพักหนึ่ง ซูเล่ออวิ๋นก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้อง
เพียงออกจากห้อง นางก็เห็นท่านหญิงเซียงโผล่ศีรษะออกมาจากห้องพักของตนเอง
เมื่อนางสบตากับซูเล่ออวิ๋น นางก็รีบทำท่าทางเหมือนไม่ใส่ใจ
“ท่านยาย ช่วงนี้อาหารและของใช้มีปัญหาอะไรหรือไม่” ซูเล่ออวิ๋นเดินเข้าไปหาด้วยสีหน้าห่วงใย
เท่านหญิงเซียงยืดตัวขึ้น “ก็...พอรับได้ ไม่มีปัญหาอะไร”
“หรือว่าจะเป็นเพราะคนรับใช้ดูแลไม่ดี ถ้าเช่นนั้น ข้าจะเปลี่ยนพวกเขาทั้งหมด ดีหรือไม่”
“มะ...ไม่ต้อง!”
หัวใจท่านหญิงเซียงเต้นระรัว คิดว่าซูเล่ออวิ๋นอาจล่วงรู้บางอย่าง แต่เมื่อสังเกตสีหน้าของนาง ก็ไม่พบความผิดปกติใด
“ถ้าเช่นนั้นก็ดี ข้าขอตัวก่อน”
“อืม กลับไปเถิด”
เมื่อซูเล่ออวิ๋นเดินจากไป นางจึงปิดประตูห้องเพื่อหลีกเลี่ยงสายตาผู้อื่น
หลังออกจากเรือนของเซียงหลิงหลิง ซูเล่ออวิ๋นไม่ได้กลับไปยังเรือน แต่ให้ชุยหลิ่วไปเตรียมรถม้าเพื่อเดินทางออกจากเมืองไปยังวัดต้าไป่
การเดินทางไปวัดต้าไป่
รถม้าของซูเล่ออวิ๋นแล่นออกจากประตูเมืองมุ่งสู่ทิศทางของวัดต้าไป่
แคว้นต้าซิ่งเป็นแคว้นที่จักรพรรดิผู้สถาปนาราชวงศ์ทรงเลื่อมใสพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง วัดวาอารามจึงผุดขึ้นมากมายหลังการสถาปนา
รอบเมืองหลวงมีวัดใหญ่น้อยไม่ต่ำกว่าหลายสิบแห่ง แต่มีเพียงไม่กี่แห่งที่ยังคงอยู่ยืนยาว
ในจำนวนนี้ วัดต้าไป่ วัดเทียนเป่า และหลงเย่วอัน เป็นวัดที่มีความเก่าแก่ที่สุด
และหากพูดถึงวัดที่มีประวัติศาสตร์ลึกซึ้งที่สุด ก็คงไม่พ้น วัดต้าไป่