ตอนที่แล้วบทที่ 365 ล้มเหลว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 367 การทบทวนตัวเอง

บทที่ 366 แสงสว่างเล็กๆ


เหลียนซินมองรอยยิ้มบนใบหน้าของคุณหนู รีบซ่อนความกังวลและเศร้าเสียใจที่แฝงอยู่ในแววตาของตน

คุณหนูยังสงบนิ่งได้ขนาดนี้ แล้วนางจะทำตัวเหมือนคนโศกเศร้าไปทำไมกัน

“คุณหนู ท่านแม่ทัพใหญ่อยู่ที่ห้องด้านข้าง บ่าวขอไปแจ้งท่านก่อนนะเจ้าคะ”

“อืม ไปเถอะ”

หลังจากเหลียนซินออกไป ซูเล่ออวิ๋นก็นั่งตัวตรงขึ้น ดวงตาอดไม่ได้ที่จะมองไปยังแผลบนแขนของตน

แผลบนแขนไม่ใหญ่มากนัก และไม่ได้พันผ้าจนถึงข้อมือ

ดังนั้นจึงมองเห็นข้อมือที่เรียบเนียน ไม่มีตุ่มนูนปรากฏให้เห็น

แต่ก่อนที่นางจะกลืนยาชา ตุ่มนูนนั้นเกือบจะถึงข้อมือแล้ว

สายตาของซูเล่ออวิ๋นลึกขึ้นเล็กน้อย

ในหัวของนางเต็มไปด้วยภาพความทรงจำในวันนั้น

นางจำได้ดีว่าตนเห็นหนอนพิษคลานเข้าสู่ร่างกาย และใบหน้าของหลานมามาก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า

“เล่ออวิ๋น”

เสียงของซุนเส้าดังขึ้น ขัดจังหวะความคิดของนาง

ซูเล่ออวิ๋นเงยหน้ามองซุนเส้า “ท่านตา ทำให้พวกท่านกังวลแล้ว”

“กังวลอะไร เจ้าคือหลานสาวของข้า ถ้าข้าไม่กังวลเรื่องของเจ้า แล้วจะกังวลเรื่องใคร” ซุนเส้ากลัวว่าซูเล่ออวิ๋นจะคิดมาก จึงพูดปลอบนางด้วยถ้อยคำที่ผ่านการไตร่ตรอง

“เรื่องพิษหนอนนี้ไม่ต้องกังวล เราจะต้องหาวิธีแก้ได้แน่นอน”

“ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ ท่านตา”

ซูเล่ออวิ๋นเห็นความหวังดีของซุนเส้า นางยิ้มบางๆแสดงให้เห็นว่านางมีสภาพจิตใจที่ดี

“ท่านตา ท่านกลับไปพักเถอะเจ้าค่ะ”

“เจ้าเองก็พักผ่อนให้ดี”

หลังจากมั่นใจว่าซูเล่ออวิ๋นไม่มีอะไรผิดปกติ ซุนเส้าก็จากไป

แม้ก่อนหน้านี้ฤทธิ์ของยาชาจะทำให้นางหลับไปนาน แต่ซูเล่ออวิ๋นยังคงรู้สึกหมดเรี่ยวแรง หลังจากล้มตัวลงนอนอีกครั้ง นางก็ผล็อยหลับไป

ช่วงเวลาหลายวันถัดมา ซูเล่ออวิ๋นยังคงมีอาการอ่อนเพลียและไม่กระปรี้กระเปร่า

นางหลับไปอย่างง่ายดายแม้เพียงนั่งอยู่ หากไม่มีใครพูดคุยด้วย นางก็มักจะเผลอหลับไปเอง

อาการนี้กินเวลาราวสี่วัน ก่อนจะเริ่มจางหายไป

“คุณหนู เกิดเรื่องที่เรือนเฉาหยุนอีกแล้วเจ้าค่ะ”

เหลียนซินเดินเข้ามาในห้อง สีหน้าเต็มไปด้วยความยุ่งยากใจ

ช่วงหลายวันที่ผ่านมา เรือนเฉาหยุนกลับกลายเป็นที่ๆ ไม่เคยเงียบสงบเลย

ท่านหญิงตระกูลเซียงไม่หยุดวุ่นวาย บ้างก็ร้องอยากกลับไปยังเมืองอวิ๋น บ้างก็โวยวายน้อยใจว่าเซียงหลิงหลิงไม่เคารพนาง

แต่ทุกครั้งที่มีคนเอาจริงถามถึงการเดินทางกลับเมืองอวิ๋น นางก็เปลี่ยนเรื่องทันที แสดงให้เห็นว่าไม่ได้ตั้งใจจะกลับจริงๆ เพียงแต่พยายามจับผิดตระกูลซุนและเซียงหลิงหลิงเท่านั้น

ส่วนเซียงหลิงหลิงเองก็ดูนิ่งสงบ เมื่อย่าของนางก่อเรื่อง นางก็ทำทีตามใจ แต่เวลาต้องลงมือทำอะไรจริงๆ นางก็เงียบเฉยไม่ต่างจากอีกฝ่าย

เมื่อท่านหยิงตระกูลเซียงเริ่มจับสังเกตได้ว่าเซียงหลิงหลิงแค่ทำตามหน้าที่ นางยิ่งโกรธจัด ความเป็นผู้ใหญ่ยิ่งลดน้อยลง พยายามจับผิดเซียงหลิงหลิงในทุกเรื่องและกล่าวโทษนางราวกับไร้ค่า

“ไม่มีเรื่องใหญ่ก็ปล่อยไปเถอะ”

ตอนแรกที่ท่านหญิงตระกูลเซียงเริ่มก่อเรื่อง คนในตระกูลซุน รวมถึงซูเล่ออวิ๋นเองก็ยังไปดูสถานการณ์กันอยู่ แต่เมื่อรู้ว่าเป็นแค่การจับผิดโดยไม่มีสาระ ทุกคนก็เริ่มปล่อยผ่าน เพียงกำชับคนรับใช้ให้คอยดูแลอย่าให้นางทำร้ายตัวเอง

แต่วันนี้ซูเล่ออวิ๋นจำเป็นต้องไปที่เรือนเฉาหยุน

นี่เป็นครั้งแรกที่จางโหยวเหลียงจะเริ่มการฝังเข็มรักษาดวงตาของเซียงหลิงหลิง ซูเล่ออวิ๋นตั้งใจไปด้วย เพื่อทั้งเรียนรู้และช่วยให้นางสบายใจ

ที่เรือนเฉาหยุน ท่านหญิงตระกูลเซียงเพิ่งโวยวายเสร็จ นางเห็นว่าไม่มีใครสนใจจึงตัดบทด้วยการบ่นอีกเล็กน้อยแล้วเดินกลับเข้าบ้าน

เสียงฝีเท้าของซูเล่ออวิ๋นดังขึ้นขณะที่ท่านหญิงกำลังจะเข้าเรือน

เมื่อหันมาเห็นว่าเป็นซูเล่ออวิ๋น สีหน้าของนางก็ยิ่งไม่พอใจ

“ท่านยาย...” ซูเล่ออวิ๋นย่อกายทำความเคารพอย่างนอบน้อม

แม้ไม่มีอะไรให้จับผิดได้ แต่ท่านหญิงก็ยังรู้สึกไม่พอใจ นางพ่นลมหายใจเย็นชา “ข้ารับการเคารพจากเจ้ามิได้หรอก เซียงจวินแห่งแคว้น”

พูดจบ นางก็หมุนตัวเดินกลับเข้าไป

ซูเล่ออวิ๋นไม่ได้ถือสาอะไรกับคำพูดของนาง นางเดินตามเข้าไปในห้องของเซียงหลิงหลิง

“พี่สาว มาแล้วหรือเจ้าคะ”

เซียงหลิงหลิงพูดขึ้น น้ำเสียงมีความกังวลเล็กน้อย

ดวงตาของนางถูกปิดไว้ด้วยผ้าสีดำตามคำสั่งของจางโหยวเหลียง แม้จะมองไม่เห็น แต่นางยังสามารถรับรู้แสงที่ลอดเข้ามาได้ ซึ่งเป็นการเตรียมความพร้อมให้ร่างกายปรับตัวก่อนการรักษา

“ท่านว่าการรักษาของท่านจางจะได้ผลหรือไม่เจ้าคะ”

เซียงหลิงหลิงถามด้วยเสียงที่เบาหวิว

นางไม่กล้าคาดหวัง เพราะหากผิดหวัง ความเจ็บปวดจะยิ่งรุนแรง

“วิธีการรักษาล้วนต้องลองผิดลองถูก การล้มเหลวในครั้งแรกไม่ได้หมายความว่าจะล้มเหลวในครั้งต่อไป”**

ซูเล่ออวิ๋นปลอบใจ แม้ตัวนางเองก็ไม่ได้มั่นใจนัก

วิธีของจางโหยวเหลียงเคยถูกพูดถึงกับนางบ้าง และนางก็เคยเสนอความคิดเห็นไป แต่รายละเอียดทั้งหมดนั้นนางก็ไม่ทราบ

ไม่นานนัก จางโหยวเหลียงก็มาถึง

เมื่อได้ยินเสียงข้าวของบนโต๊ะ เซียงหลิงหลิงก็เริ่มตื่นเต้นและกังวล นางเงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อยกขึ้นได้ครึ่งทาง นางก็ตระหนักว่าตัวเองมองไม่เห็น

จางโหยวเหลียงค่อยๆ วางอุปกรณ์ที่ต้องใช้ลงบนโต๊ะ แล้วพูดกับเซียงหลิงหลิงอย่างใจเย็น

“คุณหนูเซียง ข้าจะเริ่มฝังเข็ม หากมีจุดไหนที่รู้สึกไม่สบาย ต้องรีบบอกทันที”

เซียงหลิงหลิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าเบาๆ

“พี่สาว ท่านยังอยู่หรือไม่” นางหันศีรษะเล็กน้อยถามหา

“อยู่สิ”

ซูเล่ออวิ๋นตอบพร้อมกับยื่นมือไปจับมือของเซียงหลิงหลิงไว้ เพื่อแสดงให้รู้ว่านางอยู่ตรงนี้

เมื่อรู้สึกถึงสัมผัสจากมือของซูเล่ออวิ๋น เซียงหลิงหลิงก็ดูสงบลงเล็กน้อย

“งั้นข้าจะเริ่มแล้ว”

เมื่อเห็นดังนั้น จางโหยวเหลียงพยักหน้าให้ซูเล่ออวิ๋นเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น

เซียงหลิงหลิงตอบกลับด้วยความสุภาพ “ต้องรบกวนท่านแล้วเจ้าค่ะ”

แต่ซูเล่ออวิ๋นสัมผัสได้ว่า มีช่วงเวลาหนึ่งที่ร่างกายของเซียงหลิงหลิงตึงเครียดไปทั้งตัว

เข็มเงินเล่มแล้วเล่มเล่าถูกปักลงบนใบหน้าของเซียงหลิงหลิง ไม่กี่อึดใจใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยเข็ม

ซูเล่ออวิ๋นจดจำตำแหน่งที่จางโหยวเหลียงปักเข็มไปพร้อมกับลูบหลังมือของเซียงหลิงหลิงเบาๆ เพื่อปลอบโยนอาการวิตกกังวล

“ร้อนจัง”

เซียงหลิงหลิงพูดขึ้นทันที ราวกับอยากยกมือแตะใบหน้าของตัวเอง แต่ซูเล่ออวิ๋นจับมือของนางไว้

จางโหยวเหลียงแตะเบาๆ บนเปลือกตาของเซียงหลิงหลิงที่ถูกปิดไว้ด้วยผ้าสีดำ และรู้สึกได้ถึงความร้อนที่แตกต่างจากแก้มของนาง

“รู้สึกไม่สบายหรือไม่” ซูเล่ออวิ๋นถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

เซียงหลิงหลิงลองพิจารณาความรู้สึกของตัวเอง ก่อนจะส่ายหน้า “ไม่เจ้าค่ะ แค่รู้สึกว่าดวงตาร้อนๆ แต่มันไม่เหมือนการใช้ผ้าร้อนประคบ”

ความรู้สึกที่แตกต่างนี้ทำให้หัวใจของเซียงหลิงหลิงเต้นเร็วขึ้น

“นี่เป็นอาการปกติ ไม่ต้องกังวล”

จางโหยวเหลียงอธิบาย ก่อนจะยกแขนของเซียงหลิงหลิงขึ้นและปักเข็มลงบนท่อนแขนทั้งสองข้างของนาง

แขนทั้งสองถูกวางบนโต๊ะ ซูเล่ออวิ๋นเห็นท่าทางไม่สบายใจของเซียงหลิงหลิง จึงเอามือวางลงบนหลังมือของนางและลูบเบาๆ

คิ้วของเซียงหลิงหลิงเริ่มขมวดมุ่น

ในตอนนั้นเอง จางโหยวเหลียงหยุดปักเข็ม

“คุณหนูเซียง รู้สึกอะไรหรือไม่”

จางโหยวเหลียงสังเกตสีหน้าของเซียงหลิงหลิงพลางถาม

เซียงหลิงหลิงส่ายหน้าเล็กน้อย “นอกจากดวงตาที่รู้สึกร้อนเล็กน้อย ก็ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ”

เสียงของนางหยุดชั่วครู่ ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ

“แต่... ข้ารู้สึกเหมือนมองเห็นแสงรำไรเจ้าค่ะ!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด