บทที่ 363 ครอบครัวกลับมาพบกัน
หัวใจของซูหว่านเอ๋อร์เต้นแรงจนถึงขีดสุดในขณะที่นางเห็นซูเล่ออวิ๋น
นางรู้สึกเหมือนหัวใจจะหลุดออกมาจากอก แม้แขนขาที่ไร้เรี่ยวแรงมาตลอดกลับเริ่มส่งความรู้สึกอ่อนล้าขึ้นมาบางเบา
การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยนี้ทำให้ซูหว่านเอ๋อร์เหงื่อแตกพลั่ก
นางพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อควบคุมตัวเอง แต่ลมหายใจกลับหนักขึ้นเรื่อยๆ
ซูเล่ออวิ๋นสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในอารมณ์ของซูหว่านเอ๋อร์ “ดูเหมือนเจ้าจะรู้สึกอะไรบางอย่างขึ้นมาแล้วสินะ”
ซูหว่านเอ๋อร์หลับตาลง นั่นคือสิ่งเดียวที่นางทำได้ในตอนนี้
“น่าเสียดาย พี่ชายของเจ้าเสียชีวิตไปตั้งแต่ที่จิงโจว ถ้าไม่อย่างนั้น วันนี้คงได้กลับมาพบกันอย่างพร้อมหน้า”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้ ดวงตาที่อยู่ใต้เปลือกตาของซูหว่านเอ๋อร์เริ่มเคลื่อนไหวอย่างบ้าคลั่ง
เปลือกตาของนางสั่นไหวขึ้นลงเพราะการเคลื่อนไหวของลูกตา
ซูเล่ออวิ๋นไม่สนใจการปิดตาของนาง และเรียกทหารให้พาคู่สามีภรรยาตระกูลหลี่มาวางไว้ข้างเตียง
ทั้งคู่ยังคงนอนพิงกันอย่างไร้เรี่ยวแรง ทำได้เพียงจ้องมองซูหว่านเอ๋อร์ด้วยสายตา
เมื่อเห็นซูหว่านเอ๋อร์ หลี่ซื่อก็เบิกตากว้าง
หัวใจของแม่ย่อมเชื่อมโยงกับลูก หลี่ซื่อไม่ใช่คนโง่ มิฉะนั้นจะไม่มีทางวางแผนสลับตัวเด็กได้สำเร็จ
เพียงแค่การมองแวบแรก หลี่ซื่อก็รู้ทันทีว่า หญิงสาวผิวซีดที่นอนอยู่บนเตียงตรงหน้านี้ไม่ใช่ลูกสาวของนาง
แม้ว่าซูหว่านเอ๋อร์จะมีคิ้วตาคล้ายกับนางบ้าง แต่ก็เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นเพียงแค่ชั่ววูบ
เมื่อมองใกล้ๆ ความแตกต่างก็ยิ่งชัดเจน
หลี่ต้าซานไม่สามารถแยกความแตกต่างนี้ได้ แต่เมื่อเห็นซูหว่านเอ๋อร์ เขาก็เผยสีหน้าสิ้นหวังออกมา
เขาเคยคาดหวังว่าลูกสาวของเขาจะช่วยเขาได้ แต่ไม่เคยคิดเลยว่าครอบครัวของเขาจะถูกจับมาทั้งหมด
หลี่ต้าซานส่งเสียงครางในลำคอราวกับจะถามซูหว่านเอ๋อร์ว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่เขาไม่ทันสังเกตเห็นเลยว่า ภรรยาของเขากำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิด
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อ 15 ปีก่อน ควรจะเป็นเพียงอดีตที่แสนไกล
แต่สำหรับหลี่ซื่อ มันกลับเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อชั่วพริบตาเดียว
ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา หลี่ซื่อไม่มีวันใดเลยที่รู้สึกผ่อนคลาย
เมื่อเห็นใบหน้าของซูเล่ออวิ๋นค่อยๆเปลี่ยนไป หลี่ซื่อก็จงใจป้ายหน้าซูเล่ออวิ๋นด้วยสิ่งสกปรกทุกครั้ง และเร่งให้นางไปทำงานในทุ่งนาช่วงหน้าร้อน และล้างของต่างๆ ด้วยมือเปล่าท่ามกลางฤดูหนาว นางรู้ดีว่าวิธีนี้สามารถกลบเกลื่อนความแตกต่างของซูเล่ออวิ๋นได้
และนางก็ทำสำเร็จ ไม่มีใครเคยสงสัยว่าซูเล่ออวิ๋นไม่ใช่ลูกสาวของนาง
ในระหว่างทางไปชายแดน นางรู้ว่ามีคนคอยปกป้องอยู่ในเงามืด จึงรู้สึกดีใจ เพราะคิดว่านั่นคือสายสัมพันธ์จากลูกสาวแท้ๆที่ยังคอยดูแลนาง
หลี่ซื่อคิดว่าในเมื่อซูหว่านเอ๋อร์เป็นที่โปรดปรานของคุณนายผู้เฒ่าตระกูลซุน ต่อให้เรื่องถูกเปิดเผย นางก็ยังคงอยู่ในตระกูลซุนได้อย่างปลอดภัย และชีวิตในอนาคตก็คงไม่เลวร้าย
นางเชื่อมาเสมอว่าวันที่นางจะได้ใช้ชีวิตสุขสบายกำลังจะมาถึง
แต่ตอนนี้ หางตาของหลี่ซื่อเริ่มแดง น้ำตาค่อยๆไหลลงมา
นางมองไปยังซูเล่ออวิ๋น ด้วยสายตาแห่งความหวังและการร้องขอ
หากนางสามารถพูดได้ นางคงขอร้องอ้อนวอนซูเล่ออวิ๋นทันที
ซูเล่ออวิ๋นมองใบหน้าทั้งสามคนทีละคน
เมื่อจับคู่สามีภรรยาตระกูลหลี่กับซูหว่านเอ๋อร์ไว้ด้วยกัน ความรู้สึกขัดแย้งนั้นกลับยิ่งชัดเจนขึ้น
ซูเล่ออวิ๋นยื่นหน้าเข้าไปใกล้ซูหว่านเอ๋อร์จ้องอยู่นาน ก่อนจะยืนตัวตรงอีกครั้ง
“ให้ทั้งสามคนนี้อยู่ในห้องด้วยกัน ให้พวกเขาได้พูดคุยกันเต็มที่เถอะ”
ซูเล่ออวิ๋นโบกมือ สั่งให้ทหารวางคู่สามีภรรยาตระกูลหลี่ลงกับพื้นอีกครั้ง แล้วเดินออกจากห้องไป
ในห้อง เทียนยังคงจุดสว่างอยู่ ซูเล่ออวิ๋นจุดกำยานเพิ่มก่อนออกไป
นางตรวจสอบให้แน่ใจว่าการระบายอากาศในห้องเป็นปกติ จากนั้นจึงปิดประตูและจากไป
กลิ่นหอมจากกำยานค่อยๆ กระจายไปทั่วห้อง ซูหว่านเอ๋อร์ที่หลับตาอยู่เริ่มรู้สึกถึงความระคายคอ
นางอยากจะยกมือขึ้นเกา แต่ร่างกายกลับขยับไม่ได้
ความรู้สึกระคายเคืองยิ่งทวีขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งนางไอเบาๆ
ทันใดนั้น ซูหว่านเอ๋อร์หยุดนิ่ง นางลองขยับปากพูดเบาๆ “ข้า...”
เสียงที่ออกมาไม่ใช่เสียงครางอู้อี้เหมือนก่อนหน้านี้ แต่เป็นเสียงพูดจริงๆ
นางพูดได้แล้วหรือ
หลังจากไม่ได้พูดมานาน ซูหว่านเอ๋อร์รู้สึกไม่คุ้นเคยอยู่บ้าง แต่ในไม่ช้า นางก็เริ่มตระหนักถึงสถานการณ์ตรงหน้า
“ช่วยด้วย! ใครอยู่ข้างนอก
ซูหว่านเอ๋อร์ตะโกนเสียงดัง หวังดึงดูดความสนใจของใครบางคน
แต่หลังจากตะโกนอยู่นาน ก็ไม่มีใครตอบกลับมาเลย
ในทางกลับกัน เสียงของหลี่ซื่อดังขึ้นแทน “หว่านเอ๋อร์...”
หลี่ซื่อพูดอย่างระมัดระวัง
ซูหว่านเอ๋อร์เห็นแม่ของนางเป็นครั้งแรกในชีวิต แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ นางรู้สึกมีเพียงความโกรธและไม่พอใจเต็มหัวใจ
“หุบปาก!”
ซูหว่านเอ๋อร์ตะโกนใส่หลี่ซื่อด้วยความเดือดดาล
“ซูหว่านเอ๋อร์ เจ้าทำอะไรลงไป ทำไมถึงลากพวกเรามาเดือดร้อนได้แบบนี้!”
หลี่ต้าซานตะโกนลั่น เขาเป็นคนที่หากเห็นว่าตนได้เปรียบเพียงเล็กน้อยก็จะโอ้อวดออกมา
แม้ในตอนนี้ที่เขาและคนอื่นๆ ไม่สามารถขยับตัวได้ มีเพียงปากที่พูดได้ แต่เขาก็ยังทำตัวเหนือกว่าหลี่ซื่อและซูหว่านเอ๋อร์
“เดือดร้อนหรือ พวกเจ้าน่ะ ถ้าหากพวกเจ้าแค่ปิดปากลูกชายของพวกเจ้าให้สนิทตั้งแต่แรก ชีวิตคงสุขสบายไปนานแล้ว!”
ซูหว่านเอ๋อร์โมโหจนแทบระเบิดเมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ต้าซาน
หากไม่ใช่เพราะเจ้าขี้เมาคนนั้นที่ชอบพูดพล่ามเวลามีเรื่องทะเลาะวิวาท ซูเล่ออวิ๋นจะกลับมาที่เมืองหลวงได้อย่างไร
เรื่องทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร
ทั้งหมดก็เพราะพวกเขาเองที่ดูแลลูกชายไม่ได้!
หลี่ต้าซานเองก็เดือดดาลไม่แพ้กัน เขาโต้กลับซูหว่านเอ๋อร์ไม่ได้ จึงระบายความโกรธไปที่หลี่ซื่อแทน
“เพราะผู้หญิงคนนี้! ก่อนหน้านี้ข้าก็บอกแล้วให้กำจัดซูเล่ออวิ๋นไปซะ แต่เจ้ากลับอยากทำตัวเป็นคนดีแล้วปล่อยนางไว้ เจ้าคิดอะไรอยู่กันแน่”
หลี่ซื่อนอนอยู่บนพื้นเย็นเฉียบ นางคิดอะไรอยู่หรือ
ตอนที่นางเปลี่ยนตัวเด็ก นางไม่กลัวหรือ
นางไม่เคยคิดที่จะฆ่าซูเล่ออวิ๋น นางไม่กล้าทำ!
“หลี่ต้าซาน เจ้ากล้าขนาดนั้นเอง ทำไมเจ้าไม่ลงมือฆ่านางเสียเองเล่า!”
หลี่ซื่อจู่ๆก็ร้องตะโกนขึ้นมา เสียงของนางทำเอาหลี่ต้าซานสะดุ้งโหยง
“เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้เจ้าเป็นคนต่ำช้าแค่ไหนหรือ เจ้าทำไปเพราะอยากอวดว่าตัวเองเก่งใช่ไหม คิดว่าการทำร้ายคุณหนูจากจวนซุน จะทำให้เจ้าดูยิ่งใหญ่มากหรือไง!” เมื่อหลี่ซื่อพูดแทงใจดำของเขา หลี่ต้าซานก็โกรธจนหน้าแดงก่ำ หากเขาขยับตัวได้ ป่านนี้เขาคงลงมือจัดการหลี่ซื่อไปแล้ว
“ยายบ้า! คิดว่าเจ้าดีกว่าข้าหรือไง เจ้ามันก็ไม่ได้ต่างอะไรจากข้าเลย!”
ทั้งสองเริ่มโต้เถียงกันในห้องเล็กๆ นี้
ตอนแรก เสียงของพวกเขาดังสนั่นไปทั่ว แต่ไม่นานนัก เสียงก็เริ่มเบาลงเรื่อยๆ
ซูหว่านเอ๋อร์อ้าปากขึ้น นางไม่อยากฟังอีกต่อไปแล้ว
นางเริ่มตระหนักว่า การที่นางสามารถพูดได้ในตอนนี้ น่าจะเป็นแผนการของซูเล่ออวิ๋น
“เจ้า… ฮ่ะ”
ซูหว่านเอ๋อร์พยายามขยับปาก แต่หลังจากที่พูดออกไปได้เพียงไม่กี่คำ เสียงของนางก็ขาดหายไป
ในขณะเดียวกัน เสียงของหลี่ต้าซานและหลี่ซื่อก็หายไปเช่นกัน เหลือเพียงเสียงลมหายใจถี่ๆของทั้งสอง
เวลาหมดแล้ว
ซูหว่านเอ๋อร์คิดว่า ซูเล่ออวิ๋นน่าจะยืนฟังอยู่ที่หน้าประตู รอจนทุกอย่างเงียบสงัด ก่อนที่จะเปิดประตูเข้ามาเพื่อเยาะเย้ยพวกนาง
แต่ไม่มีใครเข้ามาเลย เวลาผ่านไป ซูหว่านเอ๋อร์จ้องมองไปในความมืด นางรู้สึกเหมือนเวลายาวนานเหลือเกิน
จนกระทั่งเปลวเทียนที่จุดไว้ดับลง
ภายในห้องกลับมามืดมิดอีกครั้ง
ซูหว่านเอ๋อร์รู้ว่าหลี่ต้าซานและหลี่ซื่อยังคงอยู่ในห้องเดียวกัน แต่พวกเขาไม่สามารถพูดคุยหรือสื่อสารกันได้อีก
มันเหมือนคนกระหายน้ำที่ได้ลิ้มรสน้ำเพียงครั้งเดียว แต่ยังไม่ทันได้ดับกระหาย ก็ถูกตัดขาดจากมันอีกครั้ง
นางต้องจมลงในความมืดมิดที่น่ากลัวอีกครั้งอย่างไม่มีที่สิ้นสุด