บทที่ 351 หมอเฉินยังรู้มากกว่าใคร
วันนั้นทันทีที่เฉินเจ๋อมาถึงจวนตระกูลซุน เขาก็ถูกท่านหญิงใหญ่เรียกตัวไป
“หมอเฉิน อาการป่วยของหลิงหลิง ท่านไม่เคยบอกหรือว่าหมอทั่วไปดูไม่ออก”
เฉินเจ๋อสงสัยว่าใครกันที่สามารถวินิจฉัยโรคของเซียงหลิงหลิงได้ เขาจึงถามด้วยความอยากรู้ และได้รับคำตอบจากท่านหญิงใหญ่
“เด็กสาวคนหนึ่งกับหมอหวังจากร้านเฉ่าไป่ถัง”
“หมอหวังหรือ ท่านหมายถึงหวังเจี้ยนหลินใช่หรือไม่ขอรับ”
เฉินเจ๋อยืนยันได้ทันที เพราะในเมืองหลวงมีร้านไป่เฉ่าถังเพียงแห่งเดียว และในนั้นก็มีหมอที่แซ่หวังเพียงคนเดียว นั่นต้องเป็นเขาอย่างแน่นอน!
ด้วยเหตุนี้ เฉินเจ๋อจึงไม่ได้ถามเลยว่า “เด็กสาว” ที่นางพูดถึงคือใคร
แต่ตอนนี้ เมื่อเขาสังเกตสีหน้าของท่านหญิงใหญ่ เฉินเจ๋อกลับนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นขึ้นมา
เขามองไปที่ซูเล่ออวิ๋น เห็นนางจัดเรียงสมุนไพรที่นางหยิบออกมาจากกากยาวางไว้ข้าง เจวี๋ยมิงจื่อ ทุกอย่างถูกจัดวางไว้อย่างชัดเจนจนไม่สามารถปฏิเสธได้
ซูเล่ออวิ๋นสบตาเฉินเจ๋อ พร้อมกับรอยยิ้มบางๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร
“...ท่าน รักษาโรคเป็นหรือ”
เฉินเจ๋อกลืนน้ำลาย เสียงที่ถามออกมานั้นแฝงความตื่นตระหนก และยังมีน้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อย
“พอรู้บ้างเล็กน้อย” ซูเล่ออวิ๋นพยักหน้าเบาๆ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“แต่คงไม่เท่ากับที่หมอเฉินรู้ ข้าไม่เคยรู้ว่าสมุนไพรเหล่านี้สามารถรักษาโรคดวงตาได้”
“ดูเหมือนว่าข้าต้องพยายามศึกษาเพิ่มเติมให้มากขึ้นแล้ว”
“ฮะ…ฮ่าๆๆ”
เฉินเจ๋อหัวเราะแห้งๆ อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน
หากสมุนไพรเหล่านี้มีประโยชน์จริง ซูเล่ออวิ๋นเพียงนำไปสอบถามหมอคนอื่น ก็จะรู้ความจริงทั้งหมด
ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งกากยาและใบสั่งยาก็ถูกนางเห็นไปหมดแล้ว แม้เขาจะอยากแก้ตัวก็ไม่มีข้ออ้างอีก
“หมอเฉินคงเหนื่อยมากในช่วงนี้ กลับไปพักผ่อนเถอะ”
ท่านหญิงใหญ่ตัดบทด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง แต่ในใจเริ่มกังวลว่า หากปล่อยให้เฉินเจ๋ออยู่ต่อไป อาจเกิดปัญหาใหญ่ขึ้น
ทันทีที่ได้ยินคำสั่ง เฉินเจ๋อก็โค้งคำนับแล้วกล่าว “เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
พูดจบ เขาเดินออกไปพร้อมกับเด็กหนุ่มผู้ช่วย โดยไม่หันกลับมามองอีกเลย
ในห้องบรรยากาศตกอยู่ในความอึดอัด
“ท่านย่า”
เสียงของเซียงหลิงหลิงดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ราวกับยิ่งเพิ่มความชัดเจนให้คำพูดของนาง
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับท่านใช่หรือไม่เจ้าคะ”
เฉินเจ๋อเป็นหมอประจำตระกูลเซียง และเป็นคนที่ท่านหญิงใหญ่เป็นผู้เรียกตัวมา
ต่อให้เฉินเจ๋อจะกล้าสักแค่ไหน หากไม่ได้รับอนุญาตจากนาง เขาก็ไม่มีวันทำอะไรแบบนั้นได้
แม้เซียงหลิงหลิงจะมองไม่เห็น แต่ในใจนางกลับมองเห็นความจริงแจ่มชัดยิ่งกว่าเดิม
นางไม่ได้พูดออกมาตรงๆ ว่าเรื่องนั้นคืออะไร แต่เพียงคำพูดประโยคเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้ความจริงชัดเจน
รอยยิ้มที่มุมปากของท่านหญิงใหญ่เซียงเลือนหายไป น้ำเสียงของนางหนักแน่นขึ้นเล็กน้อย
“หลิงหลิง ย่าดูแลเจ้ามาขนาดนี้ เจ้ายังมองไม่ออกหรือ เจ้าไม่รู้สึกเลยหรือว่าย่าห่วงใยแค่ไหน ฟังคำพูดที่เจ้าพูดออกมาสิ มันเหมือนกับกำลังเหยียบย่ำหัวใจของย่าลงไปบนพื้น!”
“ท่านย่า…”
เซียงหลิงหลิงลุกขึ้นยืน ก่อนจะคุกเข่าลงกับพื้นอย่างแรงจนเก้าอี้ที่นางนั่งอยู่กระเด็นล้มลง
นางค่อยๆ ก้มศีรษะลงและโขกกับพื้น
“ท่านย่า ได้โปรดพาหลิงหลิงกลับเมืองอวิ๋นเถอะเจ้าค่ะ ท่านอยากให้หลิงหลิงทำอะไร หลิงหลิงก็ยินดีทำทุกอย่าง”
“แก…!”
ท่านหญิงใหญ่เซียงเบิกตากว้างทันที นางยกนิ้วชี้ไปที่เซียงหลิงหลิงที่คุกเข่าอยู่ น้ำเสียงสั่นเครือและอ้าปากพะงาบๆแต่กลับพูดอะไรไม่ออก
เซียงหลิงหลิงเงยหน้าขึ้น แม้นางจะมองไม่เห็น แต่สายตาของนางกลับจับจ้องไปยังย่าของตนเอง
ในดวงตาที่ว่างเปล่านั้นสะท้อนภาพของนางอย่างชัดเจน
ท่านหญิงใหญ่สบตากับเซียงหลิงหลิง และรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย
“นี่แกคิดจะกบฏหรืออย่างไร!”
“ท่าน พูดแบบนี้ก็ไม่ถูกนะเจ้าคะ” ซูเล่ออวิ๋นพูดแทรกขึ้นมา น้ำเสียงของนางนิ่งสงบแต่แฝงด้วยความเฉียบคม
“ถ้าหลิงหลิง อยากกลับบ้าน มีอะไรผิดหรือเจ้าคะ ยิ่งไปกว่านั้น นางยังว่านอนสอนง่ายมาก ท่านอยากให้นางทำอะไร นางก็พร้อมทำทุกอย่าง แบบนี้จะเรียกว่ากบฏได้อย่างไรเจ้าคะ หรือว่า หากนางไม่ยอมกลับบ้านและไม่ฟังคำของท่านเลย ถึงจะเรียกว่ากตัญญูหรือ”
คำพูดของเซียงหลิงหลิงเข้าใจได้ไม่ยากนัก แต่ซูเล่ออวิ๋นสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างซ่อนอยู่ในถ้อยคำเหล่านั้น จึงพูดขึ้นโดยไม่ทันได้คิด
ท่านหญิงใหญ่หน้าซีดเผือดด้วยความโกรธ นางอ้าปากจะโต้แย้งแต่กลับไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน เพราะสิ่งที่ซูเล่ออวิ๋น พูดดล้วนมีเหตุผลทั้งสิ้น
“พวกเจ้าสองคนสมรู้ร่วมคิดกันเพื่อรังแกยายแก่คนนี้ใช่ไหม!”
ท่านหญิงใหญ่ไม่สามารถหาคำอธิบายที่ดีกว่าได้ จึงพยายามเบี่ยงเบนประเด็นแทน
ซูเล่ออวิ๋นเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนเดินเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว
“ท่านพูดอะไรออกมาเจ้าคะ รีบมานั่งลงเถอะ ข้ากับหลิงหลิงจะรังแกท่านได้อย่างไร ท่านอย่าเพิ่งโกรธเลย ลองคิดดูดีๆ สิเจ้าคะ ว่าสิ่งที่ข้ากับหลิงหลิงพูดนั้นมีเหตุผลหรือเปล่า”
"ท่าน ลองคิดดูสิคะ ตอนนี้หลิงหลิงอยู่ในสภาพแบบนี้ ความกังวลและความกลัวมันเป็นเรื่องปกติ นางคิดถึงบ้าน คิดถึงพ่อแม่ คิดถึงพี่น้อง มันก็ยิ่งเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว ที่จริงนางอยากกลับบ้านก็เพื่อไม่ให้ท่านต้องลำบาก ท่านลองดูเถอะเจ้าค่ะ ท่านก็อายุมากแล้ว ต้องมาคอยคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ทุกวัน นางเห็นแล้วก็ต้องรู้สึกสงสารท่านเป็นธรรมดา”
"ถ้าหลิงหลิงได้กลับบ้าน ท่านก็จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงอีก เพราะมีมารดาของนางช่วยแบ่งเบาภาระท่าน ไหนจะช่วยจัดการเรื่องคนที่คิดไม่ดีต่อท่านอีก พวกที่อาศัยความใจดีของท่านหลอกลวงท่านน่ะเจ้าค่ะ”
"เพราะอย่างนี้เองค่ะ ท่านอย่าโกรธเลย หลิงหลิงก็ทำไปเพราะห่วงใยท่านทั้งนั้น”
ซูเล่ออวิ๋นพูดรวดเดียวจบ โดยไม่เปิดโอกาสให้ท่านหญิงใหญ่พูดแทรก
คนประเภทที่ชอบวางท่า ถ้าจะเอาชนะ ก็ต้องวางท่ายิ่งกว่า
ท่านหญิงใหญ่ถึงกับอึ้งกับคำพูดของซูเล่ออวิ๋น ถ้านางไม่รู้ความจริงดีอยู่แล้ว คงถูกพูดจนคล้อยตามไปแล้ว
"คุณย่า หลิงหลิงคิดแบบนั้นจริงๆเจ้าค่ะ"
เซียงหลิงหลิงรู้ว่าสิ่งที่ซูเล่ออวิ๋นพูดคือการช่วยนาง หลังจากซูเล่ออวิ๋นพูดจบ นางรีบเสริมทันที
"พวกเจ้า…!"
ท่านหญิงใหญ่เซียงปิดปากสนิท ไม่มีอะไรจะพูด นางกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์
"ข้าจะไม่พูดเรื่องไร้สาระพวกนี้กับพวกเจ้าอีก!”
พูดจบ นางสะบัดมือของซูเล่ออวิ๋นออก แล้วหมุนตัวเดินจากไป
เหลียนซินและชุ่ยลิ่วที่ยืนอยู่ด้านข้างก้มหน้าลงไหล่สั่นน้อยๆ พวกนางพยายามกลั้นหัวเราะจนสุดความสามารถ
ภายในห้องกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
"พี่สาว ขอบคุณที่ช่วยข้าเจ้าค่ะ”
เสียงของเซียงหลิงหลิงดังขึ้นในความเงียบ
"อย่าพูดแบบนั้นเลย”
ซูเล่ออวิ๋นตบไหล่เซียงหลิงหลิงเบาๆ ก่อนจะถาม "คิดจะกลับไปเมืองอวิ๋นจริงๆหรือ”
"เจ้าค่ะ ดวงตาของข้าก็คงเป็นแบบนี้แล้ว อยู่ที่ไหนก็คงเหมือนกัน”
เซียงหลิงหลิงตอบพลางเงยหน้าขึ้น ยิ้มออกมาเหมือนตอนที่ซูเล่ออวิ๋นพบนางครั้งแรก
รอยยิ้มที่สดใสราวกับแสงอาทิตย์ในวันแรกพบ
ซูเล่ออวิ๋นสัมผัสได้ว่า เซียงหลิงหลิงยอมรับสภาพการสูญเสียการมองเห็นของตัวเองแล้ว แต่เพราะเหตุนี้เอง นางยิ่งรู้สึกสงสารอีกฝ่ายมากขึ้น "ไม่ต้องรีบร้อนหรอก เดี๋ยวบ่ายนี้ข้าจะให้ผู้เฒ่าจางมาดูเจ้า บางทีท่านอาจมีวิธีช่วยเจ้าก็ได้”
จริงๆแล้วซูเล่ออวิ๋นตั้งใจให้จางเหล่ามาตรวจเซียงหลิงหลิงนานแล้ว แต่ช่วงนี้จางเหล่ากำลังค้นคว้าเกี่ยวกับพิษกู่ จนเก็บตัวอยู่ในห้องตลอดเวลา นางจึงไม่ได้รบกวน
ทุกครั้งที่จางเหล่าต้องการของอะไร นางจะเป็นคนไปเอาจากฝั่งของซูหว่านเอ๋อ แล้วนำมาให้จางเหล่าโดยไม่เข้าไปยุ่งวุ่นวาย นางไม่อยากไปรบกวนสมาธิของจางเหล่า เพราะอาจทำให้รบกวนสิ่งเขาที่กำลังค้นคว้าอยู่
"ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ พี่สาว ข้าไม่สนใจอะไรแล้ว” เซียงหลิงหลิงตอบด้วยน้ำเสียงสงบ