บทที่ 26 พลังของลูกบอลทองคำ
บทที่ 26 พลังของลูกบอลทองคำ
เขายังไม่สามารถทำให้ลูกบอลทองคำหายไปในทันทีได้ เนื่องจากพลังงานในลูกแก้วนี้ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงจนเกินการควบคุมไปบางส่วน เขาจำเป็นต้องใช้เวลามหาศาลในการค่อย ๆ ทำให้มันสลายตัวไป
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว การปล่อยมันออกไปตรง ๆ เพื่อทดสอบพลังทำลายจึงเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
เมื่อคิดได้ดังนั้น ร่างที่เปล่งแสงของซูหยุนก็พุ่งออกจากพื้นที่ศิลาศักดิ์สิทธิ์ทันที
ภายในถ้ำ บนแท่นบูชาที่วางศิลาศักดิ์สิทธิ์ แสงสว่างจ้าส่องประกายขึ้นอย่างฉับพลัน
ชาวเผ่าโบราณทั้งหมดต่างนิ่งอึ้ง ตกตะลึงมองไปที่ศิลาศักดิ์สิทธิ์
“ท่านเทพ?”
“ท่านเทพจะทำอะไร?”
ในหัวของพวกเขาเต็มไปด้วยความสงสัย
แต่ก่อนที่พวกเขาจะทันได้ตั้งสติ ร่างที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า
ท่านเทพยังคงมีออร่าที่ดูศักดิ์สิทธิ์ สง่างาม และลึกลับเหมือนเคย เพียงแต่ว่ามีวัตถุบางอย่างลอยอยู่ในมือของเทพ สิ่งนี้ทำให้พวกเขาอยากรู้เป็นอย่างยิ่ง
ซูหยุนไม่ได้สนใจพวกเขา เขาลอยตรงออกจากถ้ำ
“ไปดูกันเถอะ!”
ปุโรหิตเฒ่าเป็นคนแรกที่ได้สติขึ้นมา ในฐานะผู้ส่งสารของเทพ เขาจำเป็นต้องตามไปดูว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้น
“หรือว่า... มีเรื่องอันตรายเกิดขึ้น?”
เขานึกกังวล
เมื่อได้รับคำเรียกจากปุโรหิตเฒ่า ไม่ว่าชาวเผ่าจะทำอะไรกันอยู่ ก็รีบลุกขึ้นวิ่งตามไปทันที
ทุกคนต่างสงสัยว่าท่านเทพกำลังจะทำอะไร
ซูหยุนลอยออกจากปากถ้ำ ท้องฟ้ายามเย็นย้อมด้วยแสงสีแดงสดสะท้อนเข้ามาในดวงตาของเขา
“ยามเย็นแล้วสินะ” ซูหยุนพึมพำเบา ๆ
ตั้งแต่เขากลายเป็นเทพ เขาก็พบว่าตัวเองไม่มีอาการเหนื่อยล้าเลยแม้แต่น้อย ความรู้สึกอยากหลับพักผ่อนก็หายไปด้วย
เพราะเหตุนี้ เขาจึงไม่ค่อยสนใจการเปลี่ยนแปลงของเวลามากนัก แต่พอรู้ตัวอีกที เวลาก็ล่วงเลยไปมากแล้ว
ซูหยุนสำรวจบริเวณรอบ ๆ พร้อมครุ่นคิดว่าจะใช้สิ่งใดเป็นเป้าหมายในการทดลองพลังดี
"ลองใช้หินดูดีกว่า"
ซูหยุนเล็งสายตาไปที่หน้าผาหินใกล้ๆ แทนที่จะเลือกใช้ต้นไม้ซึ่งคาดว่าคงถูกเจาะทะลุในทันที หินดูเหมาะที่จะใช้ทดลองในครั้งนี้กว่า
"ท่านเทพ!"
หัวหน้าหมอผีหอบหนัก พลางนำชาวเผ่าจำนวนมากวิ่งตามออกมาจากถ้ำ
ไม่นานนัก ชาวเผ่าทั้งหมดในหมู่บ้านราวสามร้อยคนก็มารวมตัวกันจนแน่นบริเวณทางเข้าถ้ำ
ซูหยุนขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตาเพียงกวาดมองพวกเขาแวบหนึ่งก่อนจะละเลยพวกเขา แล้วลอยตัวไปอยู่หน้าผาหินในระยะสามเมตร
เมื่อเห็นการกระทำของเทพเจ้า ชาวเผ่าทั้งหมดต่างกลั้นหายใจ จับจ้องด้วยความสงสัยและตื่นเต้น
ซูหยุนยกมือขวาขึ้น มองลูกบอลสีทองในมืออีกครั้ง ก่อนจะเคลื่อนจิต เปิดช่องเล็กๆ บนลูกบอลให้พลังงานภายในพุ่งออกมา
ทันใดนั้น ลูกบอลที่ถูกบีบอัดจนแทบถึงขีดสุดก็เริ่มสั่นไหวเล็กน้อย
หากมีผู้ที่สามารถสัมผัสพลังงานที่ละเอียดอ่อนอยู่ ณ ตรงนั้น พวกเขาจะรู้สึกได้ถึงคลื่นพลังมหาศาลที่แผ่กระจายออกมาจากลูกบอล ราวกับพลังงานมหึมากำลังจะระเบิดออกมา
แทบจะในทันทีที่ช่องถูกเปิดออก พลังงานที่อัดแน่นนอยู่ก็ปะทุออก!
“ฟิ้ววว—”
เสียงดังก้องกังวาน แหลมคม และเสียดแทง ดังมาจากลูกบอล
ลำแสงสีทองพุ่งออกมาด้วยความเร็วเหนือจินตนาการ พุ่งตรงไปยังหน้าผาหิน!
"ตู้ม!"
เสียงการปะทะดังกึกก้อง หินหน้าผาถูกแรงอันมหาศาลเจาะทะลุ
ซูหยุนจ้องมองลำแสงสีทองในมือด้วยความตกตะลึง ลำแสงนั้นโปร่งใสราวกับคริสตัล แกนกลางเป็นสีทองอร่าม ล้อมรอบด้วยแสงสีขาวนวล
"น่ากลัว... น่ากลัวเหลือเกิน!"
ชาวเผ่าจับจ้องลำแสงนั้นด้วยดวงตาเบิกกว้าง ปากอ้าค้างขณะกลืนน้ำลายลงคอ
แม้พวกเขาอาจไม่สามารถรับรู้ถึงคลื่นพลังงานได้ แต่สัญชาตญาณกลับบอกพวกเขาอย่างชัดเจนว่า ลำแสงนี้เต็มไปด้วยอันตรายถึงชีวิต มันทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนยืนอยู่ริมหน้าผาสูงชัน
ความคิดแรกที่ผุดขึ้นในหัวของพวกเขาคือ: ถ้าสิ่งนี้โดนเรา เราตายแน่!
ซูหยุนขยับมือขวาเบาๆ ลำแสงสีทองนั้นเคลื่อนที่ตาม
เหมือนกับดาบที่แหลมคมที่สุด เสียงเสียดแทงของการตัดผ่านอากาศดังขึ้น ลำแสงสีทองเคลื่อนไปตามทาง ทิ้งรอยแผลลึกสีดำบนหน้าผา พร้อมกับควันลอยครุ้ง
เมื่อเห็นภาพนี้ ซูหยุนตกตะลึงในใจ แต่ก็อดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้:
"ท่านี้... พลังมันเหนือกว่าที่คิดไว้จริงๆ!"
ซูหยุนสังเกตเห็นว่าลูกบอลสีทองเริ่มจางลง “ถึงขีดสุดแล้วสินะ?”
ในเวลาไม่นาน ตั้งแต่ลูกบอลเริ่มปะทุจนถึงจางหายไป กระบวนการทั้งหมดใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น
เขารู้สึกเสียดายเล็กน้อย ที่ลำแสงสีทองไม่สามารถคงอยู่ได้นาน
แม้การปะทุในช่วงเวลาสั้นๆ นั้นจะทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ และความเร็วที่ปลดปล่อยออกมาก็เหลือเชื่อ แต่ทั้งหมดกินเวลาเพียงสามวินาที ลำแสงก็จางหายไปเกือบหมด
ซูหยุนพิจารณาดูร่องรอยบนหินอย่างละเอียด
เขาพบว่าบริเวณร่องรอยยังคงมีความร้อนหลงเหลืออยู่ โดยรอบก็มีคราบดำสนิทอย่างชัดเจน แสดงว่าหินถูกทำลายในระหว่างกระบวนการตัดผ่าน ด้วยความร้อนที่มีพลังการทำลายล้างสูง
ซูหยุนรู้สึกประหลาดใจ ความร้อนนี้อาจไม่มีผลอะไรมากต่อหิน แต่ถ้าเป็นร่างกายมนุษย์ล่ะก็ เพียงแค่ความร้อนก็อาจทำให้บาดแผลไหม้เกรียมได้ทันที
เขาสังเกตความลึกของร่องรอยบนหินอีกครั้ง “แค่ลึกประมาณหนึ่งนิ้วเองเหรอ?”
ร่องรอยลึกที่สุดนั้นมีความลึกเพียงหนึ่งนิ้วเท่านั้น ส่วนที่เหลือมีความลึกเพียงครึ่งนิ้ว
เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ซูหยุนก็ส่ายหัวและพูดกับตัวเองว่า “นี่เรากำลังคาดหวังมากเกินไปแล้วหรือเปล่า?”
หลังปรับทัศนคติของตัวเอง เขาก็พอใจกับผลลัพธ์ที่ได้จากการโจมตีในระดับนี้
แม้ว่าร่องรอยบนหินจะดูไม่ลึกมาก แต่หินนั้นมีความแข็งมาก หากเป็นร่างกายมนุษย์ การโจมตีนี้คงทำให้ร่างขาดออกเป็นสองท่อนโดยไม่ทันรู้ตัว
ในตอนนี้ การที่เขามีพลังถึงขั้นนี้ก็ถือว่าสามรถใช้การได้แล้ว
เขาคิดต่อไปว่า หากสามารถปรับปรุงการบีบอัดลูกบอลสีทองได้ในอนาคต รวมถึงพัฒนาระดับพลังของตัวเอง ผลลัพธ์ที่ออกมาคงยิ่งน่าตื่นตาตื่นใจ
เมื่อทดลองท่าโจมตีเสร็จแล้ว ซูหยุนก็หันไปมองปุโรหิตเฒ่าและชาวเผ่าผู้อื่นก่อนจะหันหลังกลับ
ร่างของเขาที่เปล่งแสงลอยตัวกลับเข้าไปในถ้ำอย่างรวดเร็ว
ปุโรหิตเฒ่าเพิ่งหลุดออกจากความตกตะลึง ก่อนจะหันมามองหน้ากันด้วยความงุนงง
จนกระทั่งมีคนหนึ่งที่อดใจไม่ไหว เดินเข้าไปดูร่องรอยที่เทพเจ้าทิ้งไว้บนหินด้วยความกล้าๆกลัวๆ
"ฮึ่ย! ท่านเทพช่างทรงพลังยิ่งนัก!"
ชาวเผ่าที่ไม่เคยพบเห็นสิ่งที่มหัศจรรย์ต่างอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
ชายวัยกลางคนคนหนึ่งยื่นมือไปแตะรอยที่ถูกตัดบนหินโดยไม่รู้ตัว
"โอ๊ย!"
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดทำให้ทุกคนสะดุ้งโหยง
ชายคนนั้นสะบัดมืออย่างแรง ใบหน้าเหยเกด้วยความเจ็บ
ด้วยเหตุนี้ คนอื่นๆ ที่ตั้งใจจะลองแตะรอยแผลต่างก็หยุดชะงัก ไม่มีใครกล้าลองอีก
"สมกับเป็นท่านเทพจริงๆ!"
หัวหน้าชาวเผ่าคิดอย่างภูมิใจ คนอื่นๆ ต่างมีสีหน้าไม่ต่างกัน
ชายหญิงหลายร้อยคนยืนล้อมรอยแผลยาวหลายเมตรด้วยความตื่นเต้น ยิ่งมองก็ยิ่งอ้าปากกว้างขึ้นเรื่อยๆ
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นพลังอันแท้จริงของเทพ พลังที่สามารถสร้างรอยแผลบนหินแข็งได้
แค่ทุกคนคิด...
ทุกคนต่างขนลุกด้วยความหวาดกลัว
ซูหยุนกลับเข้าไปในมิติศิลาศักดิ์สิทธิ์ พร้อมกับครุ่นคิด
เขาสำรวจปริมาณพลังศักดิ์สิทธิ์ในร่างกาย
เหลือไม่มากแล้ว
นอกจากที่ลูกบอลพลังสีทองใช้พลังไปถึงหนึ่งในสาม การฝึกดาบแสงก่อนหน้านี้ก็ใช้ไปไม่น้อย ตอนนี้เหลือเพียงหนึ่งหรือสองส่วนเท่านั้น
"พลังศักดิ์สิทธิ์ไม่พอจะฝึกต่อแล้ว"
ซูหยุนรู้สึกกังวลเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มคิดหาวิธีฟื้นฟูพลังให้เร็วที่สุด
เขานึกถึงกฎการฟื้นฟูพลังศักดิ์สิทธิ์
ช่วงเวลาที่พลังฟื้นฟูเร็วที่สุดคือช่วงที่ชาวเผ่าทำพิธีบูชาและสวดอ้อนวอน เมื่อถึงเวลานั้น พลังจะฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว จนสามารถกลับมาเต็มได้ภายในการสวดเพียงครั้งเดียว!
นอกจากนั้น การดูดซับพลังศรัทธาจากเส้นใยแห่งศรัทธาที่เชื่อมต่อกับมิติศิลาเทพก็ช่วยฟื้นฟูพลังได้เรื่อยๆ ใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงก็กลับมาเต็มได้เช่นกัน
เขายังสังเกตว่า การสวดอ้อนวอนเพียงคนเดียว ถึงจะไม่ได้ให้พลังเท่ากับการบูชาหมู่ แต่ก็ฟื้นฟูพลังได้มากกว่าปกติ
ซูหยุนเกิดความคิดขึ้นมา
"ในเมื่อการสวดอ้อนวอนช่วยฟื้นพลังได้ ทำไมไม่ให้พวกเขาสวดเช้า-เย็นทุกวัน หรือจัดพิธีบูชาทุกๆ สองสามวันล่ะ?"
ด้วยวิธีนี้ พลังศรัทธาของเขาจะฟื้นฟูได้เร็วขึ้น และการฝึกฝนทักษะจะไม่ต้องสะดุดเพราะขาดพลังอีก
เมื่อคิดได้ดังนั้น ซูหยุนจึงส่งสารนี้ไปยังปุโรหิตเฒ่าทันที
ปุโรหิตเฒ่าที่กลับมาถ้ำยังคงงุนงงเล็กน้อย เมื่อเข้าใจคำสั่งของเทพ ก็รีบลุกขึ้นและแจ้งเรื่องนี้ให้ชาวเผ่าทราบ
ทุกคนแปลกใจในตอนแรก แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก รีบเริ่มสวดอ้อนวอนด้วยความศรัทธา คำสรรเสริญแด่เทพแห่งแสงสว่างดังก้องไปทั่วทั้งถ้ำ
บรรยากาศเต็มไปด้วยความศรัทธา โดยเฉพาะหลังจากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ความศรัทธาของพวกเขายิ่งเพิ่มขึ้น
เมื่อชาวเผ่าสวดด้วยความศรัทธา พลังศรัทธาอันเข้มข้นก็เริ่มหลั่งไหล
ซูหยุนยิ้มอย่างพึงพอใจ ขณะรับรู้ถึงพลังศักดิ์สิทธิ์ในร่างที่เพิ่มขึ้นราวกับสายน้ำหลาก เพียงไม่นาน พลังของเขาก็ฟื้นขึ้นมาถึงครึ่งหนึ่งแล้ว
ประมาณ 10 กว่านาที เสียงสวดมนต์จึงค่อยๆ เงียบลง
พลังศักดิ์สิทธิ์ในร่างของซูหยุนฟื้นขึ้นมาประมาณ 70-80% ซึ่งทำให้เขาพอใจมาก
“ถ้าทำแบบนี้เช้าเย็นทุกวัน ถึงพลังศักดิ์สิทธิ์จะยังไม่พอใช้ แต่ถ้าประหยัดหน่อยก็ถือว่าเพียงพอ”
เมื่อพลังฟื้นคืนมา เขาก็เริ่มฝึกฝนทักษะอีกครั้ง
แต่คราวนี้เขาเปลี่ยนกลับไปฝึก "ดาบแสง" เพราะเมื่อความเชี่ยวชาญในการใช้ดาบแสงสูงขึ้น การสร้างลูกพลังทองก็จะง่ายขึ้นตามไปด้วย อีกทั้งการฝึกดาบแห่งแสงยังใช้พลังศักดิ์สิทธิ์น้อยกว่าลูกบอลทองคำ
ดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลับขอบฟ้า ท้องฟ้าเปลี่ยนสี
พระจันทร์ฉายแสงเย็นตา สาดแสงเงาสีเงินลงบนป่าทึบ
แม้แสงจันทร์จะช่วยเพิ่มความสว่างให้ป่ามืดสนิท แต่ลึกเข้าไปในป่า ก็ยังมีความมืดมิดที่แสงไม่อาจเข้าถึง
บริเวณใกล้ถ้ำ หลังจากไม่มีสัตว์ประหลาดบุกโจมตี ชาวเผ่าที่ทำหน้าที่เฝ้ายามก็ลดจำนวนลงเหลือเพียงครึ่งเดียว
มีเพียงห้าคนที่คอยเฝ้าระวังและจับตาดูความเคลื่อนไหวภายนอก
ยามค่ำคืน แม้สายตาของพวกเขาจะปรับตัวเข้ากับความมืดได้ดี แต่ก็ยังมีความกลัวแฝงอยู่ในใจเสมอ
เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าในความมืดนั้น จะมีสิ่งใดที่คาดไม่ถึงปรากฏตัวขึ้น
แต่คืนนี้แตกต่างจากคืนก่อนๆ
ตรงกลางของวงล้อมที่พวกเขาเฝ้ายาม มีแสงไฟจากกองไฟที่ช่วยมอบทั้งความอบอุ่นและแสงสว่าง
เปลวไฟทำให้เมื่อมองไปยังความมืดรอบตัว ความกลัวที่ซ่อนอยู่ในใจก็เบาบางลง
กองไฟแตกเปรี๊ยะเป็นครั้งคราว เปลวเพลิงเต้นระยับไปตามแรงลม
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร
แต่จู่ๆ ความมืดนอกถ้ำก็เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น
“ทุกคนระวังตัว!”
ชายวัยกลางคนในกลุ่มผู้เฝ้ายามร้องเตือนดังขึ้นมา
ทุกคนกำหอกหินในมือแน่น จ้องมองไปยังความมืดข้างนอกด้วยความตึงเครียด
จากความมืดนอกถ้ำ จู่ๆ ก็ปรากฏแสงสีเขียวเรืองขึ้นมาหลายจุด!
(จบตอนที่ 26 )