บทที่ 223 ฉู่หลิงหลัวที่ถูกกลืนกิน
###
การสร้างขอบเขตพยายมเมืองนั้นไม่เพียงเกี่ยวข้องกับพลังของมู่หลิน แต่ยังเกี่ยวพันกับเจตจำนงแห่งมนุษยชาติด้วย ดังนั้นมู่หลินจึงอยากจะสร้างมันขึ้นมาให้ได้
ทว่า การเข้าร่วมกองทัพที่มีการบริหารที่เข้มงวดและเต็มไปด้วยผู้แข็งแกร่งนั้น มู่หลินจะรู้สึกถูกจำกัดและไม่สามารถแสดงออกได้เต็มที่
หากเขาเข้าร่วมกรมปราบอสูรนั้นต่างออกไป แม้ว่าในเมืองใหญ่ยังมีข้อจำกัดอยู่บ้าง แต่ถ้าไปยังเมืองเล็กที่ห่างไกล ที่นั่นจะเหมือนฟ้าสูงแผ่นดินกว้าง ทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกปล่อยให้มู่หลินจัดการได้เต็มที่
ถ้าเขาแข็งแกร่งพอ เขาอาจกล่าวได้ในวันแรกว่า "ข้าจะปกป้องเมืองนี้" และในวันที่สามอาจกล่าวได้ว่า "ข้าจะปกป้องเมืองของข้าเอง"
เมื่อคิดถึงตรงนี้ มู่หลินก็ได้ตัดสินใจทันที
'ข้าจะเลือกกรมปราบอสูร และไม่ต้องรอให้จบการศึกษาเลย ด้วยความสำคัญที่พวกเขาให้ข้า ข้าสามารถคุยกับพวกเขาเพื่อขอโอกาสในการฝึกฝนก่อนจบการศึกษาได้'
คิดเช่นนี้ มู่หลินจึงหันไปสั่งกับเหยียนอวิ๋นหยูที่อยู่ข้าง ๆ
“ข้าชอบใจกรมปราบอสูรมากกว่า…”
เมื่อได้ยินดังนี้ ใบหน้าของเหยียนอวิ๋นหยูก็มีความยินดีแฝงอยู่ เพราะเธอก็หวังให้มู่หลินอยู่กับกรมปราบอสูร เพื่อจะได้ปลอดภัยและยังสามารถพบกับมู่หลินได้ตลอด
แต่คำพูดถัดมาของมู่หลินกลับทำให้สีหน้าของเธอเปลี่ยนไป
“แต่ข้าอยากเพิ่มข้อกำหนดอีกข้อหนึ่ง สำนักเต๋ามีวันหยุด ในช่วงวันหยุด ข้าอยากจะไปปฏิบัติหน้าที่นอกราชการเป็นการทดลองฝึกฝน”
“เจ้าหมายถึงในเมืองหลักหรือ ข้าจะช่วยติดต่อให้…”
ในตอนนี้ เหยียนอวิ๋นหยูยังคงมีความหวังอยู่บ้าง แต่คำตอบของมู่หลินกลับทำให้ความหวังนั้นพังทลายลง
“ไม่ใช่ ข้าต้องการไปยังเมืองเล็กต่างจังหวัด…ยิ่งอันตรายยิ่งดี”
เมื่อเข้าใจความหมายของมู่หลิน เหยียนอวิ๋นหยูก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป
“พี่มู่ เมืองพวกนั้นอันตรายมาก แม้เจ้าจะมีจิตใจที่จะปกป้องชีวิตผู้อื่น ก็ควรรอจนจบการศึกษาก่อน…”
เมื่อเห็นถึงความกังวลของเหยียนอวิ๋นหยู มู่หลินยิ้มและลูบหัวเธอเบา ๆ แล้วพูดว่า “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่มีเจตนาจะหาความตาย ถ้าข้ากล้าไปปฏิบัติหน้าที่ที่ต่างจังหวัด ก็หมายความว่าข้ามั่นใจ เจ้าลืมไปแล้วหรือว่า ข้ามีวิชาร่างกระดาษทดแทน”
เมื่อคิดถึงวิชาร่างกระดาษทดแทนที่น่ามหัศจรรย์ของมู่หลิน เหยียนอวิ๋นหยูก็สามารถวางใจได้บ้าง
มู่หลินเองก็ห่วงความปลอดภัยของตนเป็นอย่างมากเช่นกัน เมื่อถึงเวลาต้องออกปฏิบัติหน้าที่จริง เขาจะไม่ใช้ร่างจริงของตัวเอง แต่จะใช้ร่างกระดาษแทน
เช่นนี้ หากพบเจออันตราย เขาก็จะเสียเพียงแค่ร่างกระดาษเท่านั้น
เมื่อมู่หลินตัดสินใจเข้าร่วมกรมปราบอสูร และจะออกไปทดลองฝึกฝนในช่วงวันหยุดแล้ว เขายังไม่ให้เหยียนอวิ๋นหยูจากไป
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พูดกับเธอว่า “เจ้าแพร่ข่าวเกี่ยวกับการฝึกฝนภาพจิตของร่างแยกให้หน่อย ข้าจะวาดภาพเพิ่มอีกสองสามรูปในสองสามวันนี้…ตอนนี้ข้าขาดทรัพยากรมาก”
การมาของตงฟางหย่าส่งผลกระทบต่อมู่หลินไม่น้อย
เขาไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณของสี่สมุทรอีกต่อไป
และก่อนหน้านี้ มู่หลินกล้ารับทรัพยากรจำนวนมากจากพวกสี่สมุทรได้เพราะเขามีสิ่งที่พึ่งพาสองอย่าง
อย่างแรกคือตัวเขามีพรสวรรค์ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่มีใครอยากเป็นศัตรูกับเขา
อีกอย่างคือภาพจิตฝึกฝนของร่างแยกที่เขาครอบครองอยู่ ซึ่งเป็นเสมือนต้นไม้เงินต้นไม้ทอง เพียงแค่นำออกมาเขาก็จะสามารถรวบรวมทรัพยากรได้มหาศาล
และตอนนี้เอง มู่หลินก็ตัดสินใจที่จะเผยแพร่สิ่งนี้ออกมา
การตัดสินใจของเขาทำให้เหยียนอวิ๋นหยูไม่ค่อยพอใจนัก เพราะเธอเห็นว่าสิ่งนี้คือสมบัติประจำตระกูลของเธอ
แม้จะมีหนี้สินมากมาย แต่เธอก็ไม่อยากขายสิ่งนี้ที่ถือว่าเป็นรากฐานความมั่งคั่งของพวกเขาออกไป
น่าเสียดายที่เธอไม่สามารถขัดการตัดสินใจของมู่หลินได้
อย่างไรก็ตาม เธอก็มีวิธีการของตน
“พี่มู่ ข้าคิดดูแล้ว ภาพจิตฝึกฝนร่างแยกนั้นมีคุณค่ามาก ไม่ควรนำไปแลกเป็นเพียงแค่หินวิญญาณ มันอาจจะเป็นการเสียเปรียบ ดังนั้นข้าคิดว่าเราควรใช้ภาพจิตนี้ในการแลกเปลี่ยนทรัพยากรหายากที่ไม่สามารถหาได้ เช่น ผลแห่งชีวิต น้ำบำรุงวิญญาณหกหยิน หรือพลังฟ้าสะอาด…”
“ได้ เจ้าตัดสินใจตามที่เห็นสมควรเถิด”
หลังจากตกลงกันแล้ว เหยียนอวิ๋นหยูก็จากไปเพื่อทำงาน ในขณะที่มู่หลินรออยู่หน้าหอคอยเวลา
ไม่นานหลังจากนั้น เวลาประมาณหนึ่งถ้วยชา ร่างแห่งธรรม·จงขุยก็เดินออกมาจากหอคอยเวลาด้วยท่าทางเข้มแข็ง
ในตอนนี้ จงขุยยังคงมีท่าทางที่น่าเกรงขาม และพลังที่แฝงอยู่นั้นดูเหมือนจะสูงกว่ามู่หลินเสียอีก
สำหรับมู่หลิน เขาไม่รู้สึกแปลกใจ
ภายนอก เขาฝึกฝนแค่สองวัน แต่ในหอคอยเวลา จงขุยได้ฝึกฝนมาเป็นเวลาสิบวันเต็ม
ด้วยความแตกต่างของเวลาอันมหาศาล บวกกับการที่จงขุยสามารถดูดซับพลังปราณจากน้ำเต้าแดงเลือดได้โดยตรง ทำให้ไม่ต้องใช้เวลาหลอมพลัง ปัจจุบันจงขุยจึงอยู่ในระดับทะเลวิญญาณขั้นกลาง
และทั้งหมดนี้ มู่หลินก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้จงขุยเติบโตช้าลง ทุกครั้งที่เขาใช้ความสามารถตรึง มู่หลินจะต้องดูดซับพลังจากจงขุยเพื่อเติมพลังที่สูญเสียไป
การดูดซับเช่นนี้ทำให้ร่างแห่งธรรม·จงขุยไม่สามารถเติบโตได้อย่างเต็มที่
“การใช้ความสามารถ ‘ติง’ของข้าคงต้องพักสักหน่อย อีกไม่กี่วันการทดสอบรอบที่สองจะเริ่มขึ้น ข้าต้องการพลังที่แข็งแกร่งเพื่อรับมือกับการทดสอบ”
เมื่อคิดเช่นนี้ มู่หลินจึงตัดสินใจให้ร่างแห่งธรรม·จงขุยดูดซับพลังปราณให้เต็มที่เพื่อไปถึงระดับทะเลวิญญาณจุดสูงสุด และแม้กระทั่งไปถึงระดับฝึกพลังสังหาร
พร้อมกันนั้น มู่หลินก็ไม่กลัวว่าร่างแห่งธรรม·จงขุยจะสูญเสียการควบคุม เพราะในโลกนี้ไม่มีจงขุยจริง ร่างแห่งธรรมนั้นก็คือมู่หลินเอง
“หือ…”
เมื่อมู่หลินปิดตาลง จิตสำนึกของเขาก็สิงสู่ไปที่จงขุยทันที และในวินาทีถัดมา จงขุยก็หยิบน้ำเต้าแดงเลือดออกมาเพื่อดูดซับทรัพยากรที่เหยียนอวิ๋นหยูเพิ่งส่งมาให้จนหมด
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ร่างแห่งธรรม·จงขุยก็กลับเข้าไปยังหอคอยเวลาเพื่อฝึกฝนต่อ
ขณะที่มู่หลินก็กลับไปยังสวนเล็ก ๆ ของเขา พร้อมกับสมบัติล้ำค่าที่จะทำให้รากวิญญาณเปลี่ยนแปลงได้
เขากลัวว่าถ้าล่าช้าอาจจะเกิดเหตุไม่คาดฝัน จึงต้องการหลอมสมบัตินี้อย่างรวดเร็ว
แต่เมื่อกลับมาถึงสวน มู่หลินกลับต้องเลิกคิ้วเมื่อพบว่ามีคนมาหาเขามากกว่าปกติ
ฉู่หลิงหลัวที่บอบบางอ่อนโยนยืนอยู่ที่สวนของเขา ใบหน้าของนางแดงระเรื่อและดูไม่สบายใจเล็กน้อย
ท่าทางที่น่าสงสารของเธอทำให้มู่หลินรู้สึกเห็นใจ
“หลิงหลัว เกิดอะไรขึ้นหรือ? มีธุระอะไรหรือเปล่า?”
“อ๊ะ…”
เสียงเรียกของมู่หลินทำให้ฉู่หลิงหลัวตัวสั่นเหมือนกวางน้อยที่ตกใจ
หลังจากเห็นมู่หลิน เธอก็ยิ่งเขินอายมากขึ้น สุดท้ายเธอไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามองมู่หลิน
ท่าทางที่ไม่ปกติเช่นนี้ทำให้มู่หลินงุนงง
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น? โกรธหรือ? งอนหรือ? แต่ดูอารมณ์แล้วก็ไม่เหมือนนะ?”
ขณะที่มู่หลินกำลังครุ่นคิดอยู่ ฉู่หลิงหลัวก็พูดบางอย่างด้วยเสียงที่เบาจนแทบจะไม่ได้ยิน
เพราะความตื่นเต้นและความเขินอาย คำพูดของเธอไม่เพียงแค่เบามาก แต่ยังสับสนไม่เป็นลำดับ
โชคดีที่มู่หลินมีการได้ยินที่ดีเยี่ยม
จากข้อมูลที่ได้ยินและความคาดเดา มู่หลินก็เข้าใจความหมายของเธอ
“เจ้าบอกว่าเจ้าได้ทำสัญญากับดอกพลับพลึงแดง และต้องการที่จะทำคู่…”
พูดยังไม่ทันจบ มู่หลินมองไปที่ศีรษะเล็ก ๆ ของฉู่หลิงหลัวที่ก้มลงจนถึงระดับหน้าอกของเธอ คำพูดของมู่หลินก็หยุดลงไป
สุดท้าย มู่หลินไม่ได้ปฏิเสธอย่างเก้อเขิน
เขาไม่ใช่คนที่คิดจะปฏิเสธอะไรที่ดี ๆ แบบนี้
“แน่ใจหรือ? นี่เป็นเรื่องสำคัญที่จะส่งผลต่อชีวิตของเจ้า”
“อืม”
คราวนี้ แม้ว่าเสียงของฉู่หลิงหลัวยังคงเบา แต่ก็มีความมั่นใจมากขึ้น
หลังจากได้รับคำตอบที่แน่นอน มู่หลินก็ไม่รีรอ เขาจับมือของฉู่หลิงหลัวและพาเธอเข้าไปในห้องของเขา
...
สองชั่วโมงผ่านไป มู่หลินมองไปที่ฉู่หลิงหลัวที่นอนข้างเขา ซึ่งหลับลึกเหมือนทารก เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เขาไม่คาดคิดว่าฉู่หลิงหลัวที่มีรูปร่างอ่อนแอและน้ำเสียงหวานเช่นนี้จะสามารถทนได้ยาวนานถึงขนาดนี้
“พลังแห่งชีวิตและการฟื้นฟูของธาตุไม้ช่างไม่ธรรมดาจริง ๆ”
หลังจากที่ประทับใจในความสามารถของเธอแล้ว มู่หลินซึ่งอยู่ในสภาวะของนักปราชญ์กลับไม่ได้หลับ แต่เขาโอบกอดร่างกายที่อ่อนโยนของฉู่หลิงหลัวไว้ นำพาเธอเข้าสู่สภาวะฝึกฝนร่วมที่เป็นการผสานทั้งกายและใจ
“หือ…”
เมื่อร่างกายสั่นเบา ๆ ความคิดของมู่หลินก็ถูกยกระดับขึ้นทันที และจิตใจของเขาก็เข้าสู่ทะเลแห่งจิตสำนึก
ปัจจุบัน ทะเลแห่งจิตสำนึกของมู่หลินมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากอีกครั้ง
ก่อนอื่นคือขนาด เมื่อพลังวิญญาณของมู่หลินแข็งแกร่งถึงระดับฝึกพลังสังหาร ขอบเขตของพลังวิญญาณของเขาก็ไม่ได้เป็นเพียงสวนเล็ก ๆ หรือพื้นที่ขนาดเล็ก ๆ อีกต่อไป
เมืองโบราณที่ใหญ่โตตั้งอยู่ตรงกลางทะเลแห่งจิตสำนึกของมู่หลิน
กำแพงเมืองรอบ ๆ เมืองแม้จะดูทรุดโทรม มีร่องรอยเลือดและรอยดาบทั่วทั้งกำแพง แต่ร่องรอยเหล่านี้กลับไม่ได้ทำให้เมืองของมู่หลินดูเสื่อมโทรม
ตรงกันข้าม มันกลับทำให้เมืองในทะเลแห่งจิตสำนึกของมู่หลินปรากฏความเข้มแข็งที่ทนทานแม้ผ่านสงครามมายาวนาน
เมืองหลี่ตู (澧都城) คือสิ่งที่ปรากฏจากพลังวิญญาณของมู่หลิน
แน่นอนว่า เมืองหลี่ตูในตอนนี้ยังไม่สมบูรณ์
แม้ว่าในเมืองนี้จะมีทหารวิญญาณและผู้ช่วยยมทูตคอยลาดตระเวน มีปีศาจยักษ์ยักษาโผล่ขึ้นมา แต่มนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองนี้กลับเป็นเพียงเทพยมทูตหนึ่งองค์เท่านั้น
ดังนั้น การเรียกที่นี่ว่าเมืองหลี่ตู ยังไม่เหมาะสมเท่ากับการเรียกว่า ภาพจิต·ขอบเขตพยายมเมือง
“วันหนึ่ง ที่นี่จะกลายเป็นเมืองหลี่ตูที่แท้จริง”
หลังจากที่รู้สึกเช่นนี้ มู่หลินก็หันสายตาไปยังนอกเมือง ที่นั่นมีปราสาทเล็กสไตล์ตะวันตกตั้งอยู่
ที่นี่คือสิ่งที่เหลือจากการปรากฏตัวของเด็กหญิงขายไม้ขีดไฟ ซึ่งตามพลังจิตวิญญาณที่เพิ่มขึ้น มู่หลินสามารถลบมันออกได้
แต่สุดท้ายมู่หลินก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น
เหตุผลที่เขาไม่ทำ เพราะที่นี่เชื่อมต่อกับเมืองฝังสวรรค์
การลบทั้งหมดออกไปหมายถึงการตัดความเชื่อมโยงกับแดนฝังสวรรค์โดยสิ้นเชิง
ซึ่งแดนฝังสวรรค์นั้น แม้จะอันตรายแต่ก็เป็นโอกาสเช่นกัน โดยเฉพาะหลังจากการปรากฏตัวของจงขุย
หลังจากลองหลายครั้ง มู่หลินพบว่า จงขุยที่มีฐานะเทพในปรโลกสามารถกำจัดวิญญาณผีร้ายและได้รับการตอบแทนจากสวรรค์
และการตอบแทนนี้ไม่ได้เพียงแค่เพิ่มพลังให้กับจงขุย แต่ยังเพิ่มฐานะเทพในปรโลกของเขาด้วย
นั่นหมายความว่า หากทำเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ขีดจำกัดของร่างแห่งธรรม·จงขุยจะเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ
อย่างไรก็ตาม การตอบแทนจากสวรรค์นั้นมีระบบเป็นของตนเอง วิญญาณผีร้ายที่ถูกคนอื่นจับไว้และถูกจงขุยกำจัดและชำระล้าง จะไม่ได้รับผลตอบแทนมากมาย
ผีร้ายที่ยังคงหลบหนีและทำร้ายผู้อื่น จงขุยต้องเป็นผู้กำจัดเองจึงจะได้รับการตอบแทนอย่างเต็มที่
นี่ทำให้มู่หลินต้องไปยังสถานที่ที่มีผีร้ายมาก หรือไม่ก็ต้องกลายเป็นผู้เดินทางพเนจรเพื่อกำจัดผีปีศาจร้าย
แต่แล้วมู่หลินก็พบว่าเขายังมีทางเลือกอื่น
ในฐานะร่างแห่งธรรมของพลังวิญญาณ จงขุยสามารถเข้าสู่ทะเลแห่งจิตสำนึกของมู่หลินได้
และเมืองฝังสวรรค์ซึ่งเป็นดินแดนต้องห้ามนั้นเต็มไปด้วยผีร้ายและพลังงานที่ลึกลับ
ในสถานการณ์เช่นนี้ มู่หลินคิดว่าเขาสามารถเชื่อมโยงพลังต้องห้ามของแดนฝังสวรรค์ลงมา และให้จงขุยกำจัดมัน ก่อนที่จะใช้น้ำเต้าแดงเลือดที่มีค่ายกลพร่ามัวแห่งชีวิคและความตานบดขยี้มัน
เขาทำสำเร็จ เมืองในทะเลแห่งจิตสำนึกของมู่หลินที่ปรากฏร่องรอยเลือดนั้นก็เพราะได้เกิดสงครามขึ้นที่นั่นจริง ๆ
พลังต้องห้ามจากแดนฝังสวรรค์ต่อสู้กับพลังวิญญาณของมู่หลิน
ร่องรอยเหล่านั้นคือหลักฐานที่เหลือจากสงครามนั้น
หลังจากที่สำรวจปราสาทตะวันตกเล็ก ๆ และแน่ใจว่ามันไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ มู่หลินก็หันสายตาไปยังอีกด้านหนึ่ง
ที่นั่น ซึ่งเดิมเป็นเพียงทะเลหมอกสีเทาว่างเปล่า ตอนนี้กลับมีวงแสงสีเขียวเพิ่มขึ้นมา
นี่คือจิตวิญญาณของฉู่หลิงหลัว
เนื่องจากแต่ละคนมีเกราะป้องกันทางใจ ในสภาวะปกติ โลกจิตสำนึกของทั้งสองจะไม่มีวันเชื่อมต่อกัน
แต่ตอนนี้ ทั้งสองกำลังอยู่ในสภาวะฝึกฝนร่วมที่ผสานทั้งกายและใจ
ในสถานการณ์นี้ จิตวิญญาณของฉู่หลิงหลัวจึงเชื่อมต่อกับมู่หลินโดยธรรมชาติ
......
### บทที่ 223 ฉู่หลิงหลัวที่ถูกxxx (ต่อ)
แตกต่างจากเมืองโบราณที่ผ่านศึกสงครามของมู่หลิน โลกแห่งจิตของฉู่หลิงหลัวกลับเป็นเหมือนดินแดนในฝันแห่งมรกตที่เปรียบเสมือนเทพนิยาย
ที่นี่เต็มไปด้วยสัตว์น้อยใหญ่มากมาย ต้นไม้และดอกไม้นานาชนิด ส่วนฉู่หลิงหลัวที่เป็นเจ้าของโลกนี้นั้น ดูราวกับเจ้าหญิงที่นอนหลับอยู่บนดอกไม้สีชมพูขนาดใหญ่
ความเป็นธรรมชาติ ความบริสุทธิ์ ความร่าเริง และความสุข คือสีสันหลักของโลกจิตใจของฉู่หลิงหลัว
แต่ในขณะที่มู่หลินกำลังสังเกต เขาก็พบว่าดินแดนแห่งความฝันนี้กลับมีบางสิ่งที่ไม่เข้ากันอย่างรุนแรงอยู่
มีเมล็ดพันธุ์สีเลือดที่มีออร่ามรณะและไม่เป็นมงคล วางอยู่เงียบ ๆ ข้าง ๆ ฉู่หลิงหลัว
มันคือดอกไม้มรณะ
และนี่ไม่ใช่แค่เงาสะท้อน แต่มันคือตัวตนที่แท้จริง
ดอกไม้แห่งความตายที่สามารถล่อลวงให้คนเข้าสู่หนทางแห่งความตาย ดอกพลับพลึงแดงนี้สามารถแปรผันระหว่างความจริงและภาพมายาได้
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากฉู่หลิงหลัวบริสุทธิ์มาก ความเข้าใจของเธอเกี่ยวกับความตายก็ยังไม่ลึกซึ้งนัก ดังนั้น ดอกพลับพลึงแดงนี้ไม่เพียงแต่ไม่ได้แตกหน่อเติบโต ยังดูเหมือนจะขาดสารอาหารและซีดเซียว
โชคดีที่ตอนนี้ ปัญหานี้กำลังจะได้รับการแก้ไขแล้ว
“หือ…”
เมื่อมู่หลินก้าวเข้าสู่โลกแห่งจิตใจของฉู่หลิงหลัว ดินแดนแห่งมรกตก็สั่นไหวเล็กน้อย
จากนั้น…ก็ไม่มีอะไรอีกแล้ว
เมื่อรู้สึกถึงพลังของมู่หลิน ฉู่หลิงหลัวก็ไม่ได้แม้แต่จะตื่นขึ้นมา
ตอนนี้เธอได้เปิดใจให้กับมู่หลินทั้งหมดแล้ว
มู่หลินมองดูเธอที่เหนื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจด้วยความสงสาร เขาไม่อยากรบกวนเธอ แต่เพียงยื่นมือไปแตะที่ดอกไม้มรณะ