ตอนที่ 22 พิธีกรรมโบราณ
ตอนที่ 22 พิธีกรรมโบราณ
เมื่อมีแฟมิเลียอยู่ข้างๆ สวี่จื้อก็ไม่จำเป็นต้องออกคำสั่งผ่านเครื่องเกม ดังนั้น เมื่อเธอเห็นใบหน้าของชายคนนั้นที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก และอยากจะวิ่งหนี เธอก็เรียกหาเสี่ยวอี้
เมื่อได้ยินเสียงเรียก เสี่ยวอี้ที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดก็ปรากฏตัว มันพุ่งไปที่ประตูเพียงขวางชายวัยกลางคนเอาไว้
จากที่เห็น ดูเหมือนตัวเธอ และแฟมิเลียจะมีจิตใจที่สื่อถึงกันได้ในระดับหนึ่ง ก่อนที่เธอจะส่งเสียงเรียก เสี่ยวอี้ก็เหมือนจะรู้ว่าเธอต้องการอะไร ทำให้มันเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว
สีหน้าของชายคนนั้นดูหวาดกลัวมากขึ้นเมื่อเห็นงูตัวใหญ่ปรากฏตัวอย่างกะทันหัน ทำให้เขาส่งเสียงอะไรไม่ออกไปพักหนึ่ง จนกระทั่งเสี่ยวอี้พันร่างของเขาแล้วลากตัวเขาเข้าไปในโรงอาหาร เขาก็เริ่มดิ้นรนอย่างรุนแรง
สวี่จื้อสังเกตอาการของชายคนนั้น และพบว่าเมื่อร่างกายของเขาสัมผัสกับเลือดเนื้อสีแดงสดในโรงอาหาร เส้นสีดำในดวงตาของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อเขามาถึงใจกลางโรงอาหาร เขาก็สูญเสียความเป็นมนุษย์ไปจนหมดสิ้น
แต่ดูเหมือนในฐานะ ‘คนบ้าแรกเกิด’ ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของเขาจึงด้อยกว่านักเรียนที่เธอได้เห็นในโรงเรียนมาก แม้ว่ามือของเขาจะไม่ได้ถูกมัด แต่เขาก็ไม่สามารถสร้างอันตรายใด ๆ ต่อเสี่ยวอี้ได้เลย
เมื่อได้สิ่งที่ต้องการรู้แล้ว สวี่จื้อก็ไม่เก็บเขาไว้อีกต่อไป และเสี่ยวอี้ก็หักคอชายคนนั้นจนตายด้วยกำลัง
ตอนนี้ สิ่งที่ทำให้สวี่จื้อกังวลมากขึ้นคือ เลือดเนื้อบนพื้นดินที่ยังคงดูสดใหม่ และไม่มีอาการเปื่อยเน่าเลยแม้จะผ่านไปหลายชั่วโมงแล้ว ราวกับเพิ่งถูกควักออกมาจากร่างกายมนุษย์ได้ไม่นาน
เธอระงับความรู้สึกคลื่นไส้ และมองดูแขนขาที่ถูกตัดขาด นอกเหนือจากค้นพบว่าส่วนใหญ่ถูกฉีกออกด้วยกำลังแล้ว แขนขาบางส่วนยังมีสัญลักษณ์รูปสามเหลี่ยมที่ถูกกรีดด้วยมีดอีกด้วย
บาดแผลนั้นลึกมาก แต่เนื่องจากมีคราบเลือดนองไปทั่ว จึงยากจะมองเห็นหากไม่สังเกตดูดีๆ
“สัญลักษณ์นี้ มีความหมายอะไรบางอย่างหรือเปล่า”
สวี่จื้อถามตัวเอง นี่เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องการคำตอบ
หลังจากแน่ใจว่ารวบรวมข้อมูลเพียงพอแล้ว สวี่จื้อก็หันกลับมา และเปิดเครื่องเกม
เมื่อมีเบาะแส เกมจะให้คำตอบแก่เธออย่างแน่นอน มันก็เหมือนๆ กับแก่นพลังเหล่านั้น ที่หากเธอต้องการรู้รายละเอียดก็ต้องได้รับมันมาอยู่ในมือก่อน
แน่นอนว่าเมื่อเธอเปิดเกม คำบรรยายก็ปรากฏขึ้นจริงๆ
[ ดูเหมือนคุณจะคุ้นเคยวิถีชีวิตใหม่แล้ว คุณถึงได้พบอะไรที่น่าสนใจอยู่เสมอ ]
[ นี่คือเศษซากจากอดีต ผงธุลีที่เหลือทิ้งเอาไว้ ]
[ พิธีกรรมโบราณนั้นลึกลับและโหดร้าย ผู้คนที่บ้าคลั่งกำลังโหยหาบางสิ่งบางอย่าง และเรียกร้องบางอย่างอยู่ ]
[ พวกเขามีความเชื่อที่รุนแรงที่สุด และเป็นสาวกที่ภักดีที่สุด การฟื้นคืนความรุ่งโรจน์ในอดีต และนำยุคทองในตอนนั้นกลับคือความฝัน และการแสวงหาเพียงหนึ่งเดียวของพวกเขา ]
[ แต่น่าเสียดาย ที่นั่นไม่ต่างจากความเพ้อฝัน ]
[ สิ่งที่คุณเห็นเป็นเพียงพิธีกรรมโบราณอย่างหนึ่ง แต่มรดกของมันถูกตัดขาดไปนานแล้ว มันจึงทรุดโทรมลง และเป็นเหมืนภาพเขียนที่ไร้ซื่งจิตวิญญาณ ]
[ แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ยังทรงพลัง ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะมองดูได้ สำหรับผู้ที่มีจิตใจไม่เข้มแข็ง แค่แวบเดียวก็มากเกินพอแล้ว ]
[ คุณจึงต้องระมัดระวัง สิ่งที่พิธีกรรมนี้จะอัญเชิญมานั้น ยิ่งใหญ่เกินกว่าคุณจะต่อกรได้ในตอนนี้ ]
[ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลไป ของขาดเกินๆ ที่ราวกับภาพเขียนเด็กเช่นนี้ ไม่พอจะส่งเสียงเพรียกหาได้ ]
ครั้งนี้ คำบรรยายืดยาวไม่น้อย จนสวี่จื้อต้องอ่านอย่างระมัดระวัง และพยายามจับใจความ
“ฉันควรจะทำลายมันมั้ย?” เธอถามเมื่อคำบรรยายจบลง
[ หากไม่มีเลือดเนื้อมาเติม มันจะสูญเสียพลัง และพิธีกรรมจะล้มเหลวในเช้าวันพรุ่งนี้ แต่หากคุณกังวล จะทำลายสัญลักษณ์พวกนั้นก่อนก็ได้ ]
“คนบ้าพวกนั้นเป็นสาวกของลัทธิบางอย่างเหรอ พวกเขาเลยวางกับดักฆ่าคน เพื่อสร้างพิธีกรรมนี้ขึ้นมา?”
แม้จะไม่ได้รับคำตอบ แต่สวี่จื้อคิดว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น
แม้ว่าพวกเขาจะเป็นฆาตกร แต่ก็ไม่จำเป็นต้องรวบรวมผู้คนมารวมกัน และฆ่าทุกคนที่นี่ เหตุผลที่พวกเขาทำเช่นนี้ก็น่าจะเพื่อตอบสนองต่อความปรารถนาของตัวเอง และเพื่อทำพิธีกรรมนี้
ในความเป็นจริง พิธีกรรมน่าจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ด้วยเหตุนี้ ชายสวมแว่นจึงขอให้สาวกคนอื่นๆ ระงับความต้องการฆ่าเอาไว้
“ทำลายสัญลักษณ์พวกนั้น”
สวี่จื้อออกคำสั่งแฟมิเลียทั้งสอง เรื่องที่เธอให้พวกมันทำนั้นง่ายมาก แค่เสี่ยวอี้เลื่อยผ่าน ทุกสิ่งก็กลายเป็นเนื้อบดแล้ว
หลังยืนยันได้ว่าทุกอย่างถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง และไม่มีคำบรรยายใหม่ สวี่จื้อก็จากไป เดินย้อนกลับไปบนถนนเส้นเดิม
ตอนนี้ค่อนข้างดึกแล้ว จึงมีเวลาไม่เพียงพอสำหรับแฟมิเลียที่จะออกไปล่า เพราะหากนับ 7 ชั่วโมงมันน่าจะเกินเที่ยงคืน ซึ่งเสี่ยงมากเกินไป
เมื่อเห็นปัญหานี้ สวี่จื้อก็หวังว่าหลังยกระดับครั้งต่อไป ระบบออโต้ฟาร์มที่เข้มงวดนี้จะสามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้
ผู้คนจะไม่มีวันพอใจกับสิ่งที่ตนมี เมื่อสวี่จื้อปลดล็อคระบบออโต้ฟาร์มในตอนแรก เธอก็คิดว่ามันช่างสมบูรณ์แบบ แต่ตอนนี้เธอเริ่มรู้สึกว่ามันยังไม่ดีพอ
เนื่องจากแฟมิเลียไม่สามารถออกไปล่าด้วยตัวเองได้ และบังเอิญพวกเขาอยู่ข้างนอกพอดี สวี่จื้อจึงแวะร้านหนังสือที่อยู่ระหว่างทาง
มีร้านหนังสืออยู่ไม่กี่ร้านใกล้กับโรงเรียนมัธยมหยุนเฉิง ดังนั้นสวี่จื้อจึงเลือกร้านหนังสือที่มีชื่อเสียง
หลังจากเกิดภัยพิบัติในเมือง ร้านหนังสือก็ปิดตัวลง ขณะนี้ประตูจึงถูกล็อคอยู่ อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าไม่เป็นปัญหาสำหรับสวี่จื้อ เธอบุกเข้าไปในร้านได้ด้วยความช่วยเหลือของเสี่ยวอี้
ด้วยคลังเก็บของสามสิบช่อง ไม่สามารถนำหนังสือติดมือไปได้มากนัก แต่โชคดีที่เธอมีคนคอยช่วยถือของอยู่ข้างๆ มันถึงสามารถเติมเต็มส่วนที่ขาดได้
ในท้ายที่สุด สวี่จื้อก็ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงในการเลือกหนังสือเกือบ 80 เล่ม และพากลับบ้านไปด้วย
“น่าจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองเดือนกว่าจะอ่านหนังสือพวกนี้ทุกเล่มจนจบ”
หลังจากกลับมาถึงบ้าน สวี่จื้อพึมพำกับตัวเองขณะที่มองกองหนังสือในห้อง
นี่ถือว่าเร็วกว่าเดิมไม่น้อยแล้ว ท้ายที่สุด ความเข้าใจ และความทรงจำของเธอดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก
แต่สวี่จื้อไม่แน่ใจว่าจะได้อ่านหนังสือที่บ้านอย่างปลอดภัยหรือไม่ ท้ายที่สุด ใครจะรู้ว่าจะมีเรื่องใหญ่โตอะไรเกิดขึ้นอีกหรือเปล่า
เมื่อถึงเที่ยงคืน เธอก็เริ่มนอน แม้ว่าร่างกายของเธอจะอ่อนแอ แต่จิตใจของเธอดูเหมือนจะแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปมาก
เธอต้องนอนเพียงห้าชั่วโมงต่อวันเท่านั้น แค่นี้ก็พอจะหลับเต็มอิ่มแล้ว แม้ว่าจะต้องใช้สมองในการอ่านเกือบตลอดเวลา เธอก็ไม่รู้สึกเหนื่อยล้า
เมื่อเห็นแบบนี้ สวี่จื้อจึงตระหนักว่าตัวเองไม่เหมาะกับการสู้ระยะประชิด แต่ควรอยู่ที่แนวหลังมากกว่า
ก่อนนอน มีเรื่องหนึ่งที่เธอต้องวางแผนเอาไว้ก่อน นั้นคือการสร้างร่างวิญญาณด้วยสี่แก่นพลังในเช้าวันพรุ่งนี้
เธอมีแก่นพลังหัวใจก้อนเดียว ส่วนที่เหลือเป็นแก่นพลังเลือดทั้งหมด หากใช้แก่นพลังเลือดสร้างร่างวิญญาณ มันจะผลกระทบอะไรต่อตัวเธอหรือเปล่า นี่คือสิ่งที่ต้องพิจารณาให้ดี แต่ความกังวลนี้ไม่มากพอให้เธอถอย
อีกอย่าง เครื่องเกมไม่เคยหลอกลวงเธอเลยแม้แต่ครั้งเดียว ดังนั้นเธอจึงเต็มใจที่จะลองดู