ตอนที่ 21 กลืนกิน
ตอนที่ 21 กลืนกิน
หลังจากทางฝั่งของเสี่ยวอี้คลี่คลายลงแล้ว สวี่จื้อก็ตัดฉากไปทางฝั่งของโก้วจื่อแทน เนื่องจากสถานการณ์ทางฝั่งของเสี่ยวอี้ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่ ทางฝั่งของโก้วจื่อจึงน่าจะต้องรับบทหนัก
แต่โชคดีที่เสิ่นจินเหวิน และโก้วจื่อไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรร้ายแรง แม้ว่าทางฝั่งนี้จะมีคนบ้ามากกว่า แต่พวกเขาไม่ได้เผชิญหน้า และเอาแต่หลบหนี ทำให้แม้จะได้รับบาดเจ็บอยู่บ้าง แต่ก็อยู่ในขอบเขตที่พอรับไหว
และด้วยร่างกายที่แข็งแกร่ง โก้วจื่อสามารถอดทนต่ออาการบาดเจ็บได้เป็นอย่างดี ไม่มีผลกระทบต่อการเคลื่อนไหว
หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อโก้วจื่อสังเกตเห็นว่าเสี่ยวอี้ มันก็รู้ว่าถึงเวลาแล้ว ดังนั้นมันจึงวิ่งไปหาเสี่ยวอี้โดยมีเสิ่นจินเหวินที่กำลังเหนื่อยล้านั่งอยู่บนหลัง
ความเร็วของมันเร็วกว่าคนบ้าเหล่านั้นมาก แต่มันจงใจช้าลง ซึ่งทำให้เสิ่นจินเหวินรู้สึกเหมือนกำลังนั่งอยู่บนรถไฟเหาะที่กำลังทิ้งดิ่งลงมา
ในหน้าจอเกม สีหน้าที่ดูสงบอยู่เสมอของเสิ่นจินเหวินเปลี่ยนไป สายตาของเธอเต็มไปด้วยความกลัว และความตื่นตระหนก ทำให้ดูน่ารักกว่าเดิมไม่น้อย ซึ่งแตกต่างอย่างมากกับรูปลักษณ์ตามปกติของเธอ
ด้วยความกระตือรือร้นของโก้วจื่อ มันมาถึงตัวเสี่ยวอี้ในเวลาเพียงไม่กี่นาที เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้ว เสิ่นจินเหวินก็หมดแรง และล้มลงกับพื้น ก่อนหน้านี้ เธอฝืนตัวเอง และพยายามยืนหยัดเพื่อไม่ให้แผนการล้มเหลว
เมื่อโก้วจื่อ และเสี่ยวอี้ร่วมมือกัน คนบ้าที่เหลือก็ถูกกำจัดอย่างรวดเร็ว และคราวนี้เสี่ยวอี้ก็แก่นพลังได้อีก 3 ก้อน
เมื่อนำทั้งหมดมารวมกัน การต่อสู้ครั้งนี้ไม่เพียงกำจัดภัยคุกคามที่ซ่อนเร้นอยู่เท่านั้น แต่ยังมอบแก่นพลังให้สวี่จื้อถึง 11 ก้อนอีกด้วย เธอจึงค่อนข้างพอใจกับผลลัพธ์ไม่น้อย
น่าเสียดายที่ บทบาทเดียวของแก่นพลังเหล่านี้ดูเหมือนจะใช้กับร่างวิญญาณได้เท่านั้น
หนึ่งก้อนได้เวลาห้านาที สิบเอ็ดก้อนก็ห้าสิบห้านาที เมื่อเพิ่มแก่นพลังหัวใจก็เท่ากับหนึ่งชั่วโมงพอดี
แต่สวี่จื้อไม่สามารถเดิมพันหมดหน้าตักในคราวเดียวได้
พรุ่งนี้เช้า เธอวางแผนที่จะลองอีกครั้งโดยสร้างร่างวิญญาณที่คงอยู่ได้นาน 20 นาที
เนื่องจากการฆ่าคนบ้าเหล่านี้ เสี่ยวอี้จึงรวบรวมแต้มวิวัฒนาการได้มากพอที่จะยกระดับอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งชายสวมแว่นให้แต้มวิวัฒนาการมากกว่าคนอื่นๆ ถึงสามเท่า
หลังจากที่เสิ่นจินเหวินกลับมา เธอไม่ได้ไปที่สวี่จื้อทันทีเพื่อทวงคำสัญญา เธอเหนื่อยมากจนแทบขยับตัวไม่ไหว เธอจึงอยากนอนพักผ่อนก่อน และค่อยไปพบสวี่จื้อในวันพรุ่งนี้
อาการบาดเจ็บของเสี่ยวอี้ค่อนข้างร้ายแรงเล็กน้อย แต่โชคดีที่มันสามารถยกระดับได้ ในขณะที่โก้วจื่อก็ต้องพักผ่อนสักพักเพื่อรักษาบาดแผลที่ได้รับ
เมื่อเสี่ยวอี้ตื่นขึ้นมา มันก็มาถึงเลเวล 16
[ งู ( เสี่ยวอี้ ) ( เลเวล 16 ) ]
[ จิตวิญญาณ : 400 ]
[ ร่างกาย : 1800 ]
[ พลัง : คมมีด ]
[ สกิล : พิษ ( เลเวล 6 ) คมเขี้ยว ( เลเวล 4 ) กระหายเลือด ( เลเวล 5 ) เจ้าเล่ห์ ( เลเวล 4 ) แข็งแกร่ง ( เลเวล 4 ) ]
[ สกิลพิเศษ : แปลงกาย ( เลเวล 1 ) ]
[ แต้มวิวัฒนาการ : 300 / 4,500 ]
“จิตวิญญาณเพิ่มขึ้น 100 ส่วนร่างกายเพิ่มขึ้น 300 นี่มันต่างจากก่อนหน้านี้หลายสิบเท่า”
ก่อนถึงเลเวล 15 ทุกครั้งที่ยกระดับ ค่าสเตตัสของเสี่ยวอี้จะเพิ่มขึ้นหลายสิบแต้มเท่านั้น หรือจะเป็นเพราะก่อนหน้านี้ระดับชีวิตของมันต่ำเกินไป
ถ้ามันปรับปรุงระดับชีวิตอีกครั้ง หลังยกระดับ ค่าสเตตัสที่เพิ่มขึ้นจะมากถึงหลักพันหรือเปล่า?
“แต่ไม่รู้ว่าการปรับปรุงระดับชีวิตครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่นี่สิ”
สวี่จื้อสลัดฝันกลางวันที่ยังไม่รู้จะเป็นจริงหรือไม่ออกไป แล้วมองไปที่โก้วจื่อ เนื่องจากอาการบาดเจ็บ มันจึงพักผ่อนสักพักหนึ่ง เธอจึงนั่งรออย่างเงียบๆ พร้อมกับอ่านหนังสือข้ามเวลา
เมื่อถึงเวลาหนึ่งทุ่ม แฟมิเลียทั้งสองก็ได้ฟื้นตัวเต็มที่แล้ว เมื่อเห็นก่อนจะถึงเที่ยงคืนยังมีเวลาเหลืออยู่ สวี่จื้อจึงตัดสินใจไปดูโรงอาหารด้วยตาตัวเอง
ท้ายที่สุดแล้ว ความลังเลถือเป็นสิ่งต้องห้ามที่สุดในการทำสิ่งต่างๆ หากชักช้า อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
แม้สวี่จื้อจะไม่จำเป็นต้องนั่งรถเข็นอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ยังยากสำหรับเธอที่จะเดินเป็นเวลานานถึงสี่สิบนาที เมื่อคิดได้เช่นนี้ เธอสั่งให้เสี่ยวอี้ช่วยยกรถเข็นลงไปที่ชั้นล่าง ขณะที่เธอค่อยเดินลงไป
เมื่อสวี่จื้อนั่งรถเข็นมาเป็นเวลาหลายปี เธอก็มีความโหยหา และอยากเดินด้วยเท้าตัวเอง แต่เธอก็ยังรู้ขอบเขต ไม่คิดจะทำให้ตัวเองต้องเหนื่อยล้ามากเกินจำเป็น
หลังออกจากตึก เด็กสาวคนหนึ่ง และสัตว์เลี้ยงสองตัวก็เดินไปตามถนนเส้นเดิม
บางทีอาจเป็นเพราะได้เคลียร์สัตว์กลายพันธุ์บนถนนเส้นนี้ไปแล้ว สวี่จื้อจึงไม่พบอุปสรรคอะไร และมาถึงประตูหน้าของโรงเรียนมัธยมหยุนเฉิงในเวลาเพียงครึ่งชั่วโมง
แต่ที่ต้องประหลาดใจคือ เธอได้เห็นร่างที่ดูลังเล รออยู่ที่หน้าประตูโรงเรียน
ทันทีที่เธอเห็นร่างนั้น โก้วจื่อก็ย่อตัวลงเล็กน้อย และตั้งท่าเตรียมพร้อม ในขณะที่เสี่ยวอี้เลื้อยเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างเงียบๆ
เสียงการเคลื่อนไหวของรถเข็นทำให้ชายคนนั้นตกใจ และหันกลับมา สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยประหลาดใจ
“สาวน้อย เธอมาที่นี่เพื่อเข้ารวมฐานผู้ลี้ภัยด้วยเหรอ?”
ชายวัยกลางคนที่แต่งตัวเรียบร้อยพูดขึ้น หนวดเคราของเขาดูเหมือนไม่ได้โกนมาเป็นเวลานาน เมื่อรวมกับใบหน้าซีดเซียว และรอยคล้ำใต้ดวงตา ชีวิตในหลายวันที่ผ่านมาต้องยากลำบาก และเต็มไปด้วยความกังวลอย่างแน่นอน
นิ้วของสวี่จื้อขยับเล็กน้อย และเสี่ยวอี้ก็ซุ่มซ่อนอยู่ข้างๆ ชายคนนั้นอย่างเงียบๆ
“กลับไปซะลุง ที่นี่ไม่มีฐานผู้ลี้ภัยอยู่หรอก”
เสียงของสวี่จื้อฟังดูสงบ ไม่เหมือนว่าเธอกำลังโน้มน้าวคนอื่นอยู่เลย แต่ดูเหมือนเธอกำลังพูดให้ฟังแบบสบายๆ มากกว่า หลังจากนั้นเธอก็มุ่งตรงเข้าไปในโรงเรียน
เห็นได้ชัดว่าการกระทำของเธอ ทำให้ชายวัยกลางคนไม่พอใจ หากไม่มีฐานผู้ลี้ภัยอยู่จริงๆ เธอจะมาที่นี่ทำไม
“สาวน้อย เธอไม่ควรโกหกคนอื่นแบบนี้นะ มันเป็นนิสัยที่ไม่ดีเลย”
ชายคนนั้นพร่ำบ่นอย่างไม่พอใจ แต่เขาไม่กล้าทำอะไรกับสวี่จื้อ ท้ายที่สุดก็มีหมาตัวใหญ่คอยเดินตาม และเฝ้าดูเธออย่างกระตือรือร้น
“ที่มันหมาพันธุ์อะไรเนี่ย ใหญ่พอๆ กับหมาป่าเลย”
สวี่จื้อเพิกเฉยต่อชายคนนั้น แม้ว่าเขาจะตามเธอเข้ามาในโรงเรียน เธอก็ไม่สนใจ แต่เขาก็ต้องเตรียมใจกับสิ่งที่จะได้เห็นต่อจากนี้ด้วย
ท้ายที่สุด เธอก็ได้บอกไปแล้ว หากไม่ฟัง ก็ไม่ใช่เรื่องของเธออีก
ไม่นาน หลังจากที่สวี่จื้อเข้ามาในโรงอาหาร เธอก็ได้ยินเสียงตกใจ และเสียงอาเจียนของชายคนหนึ่งที่ตามมาข้างหลัง
เมื่อสวี่จื้อหันมามอง เขาก็ค้นพบภาพมหัศจรรย์
ดวงตาของชายผู้นั้นถูกเส้นสีดำปกคลุมอย่างรวดเร็ว คาดว่าภายในเวลาไม่ถึงนาที ดวงตาของเขาจะกลายเป็นเหมือนคนบ้าเหล่านั้น
เมื่อเห็น สวี่จื้อจึงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ชายคนนั้นก็ระงับอาการคลื่นไส้ และเงยหน้าขึ้นมองสวี่จื้อด้วยสายตาหวาดกลัว “ทั้งหมดนี่เธอเป็นคนทำเหรอ”
สวี่จื้อขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าชายคนนั้นจะกำลังกลายเป็นบ้า เพราะเขาเห็นได้สิ่งเหล่านี้ในโรงอาหาร
แต่ทำไม เธอจึงไม่เป็นอะไรเลยล่ะ?
ไม่ ต้องตรวจสอบดูก่อน
สวี่จื้อหยิบเครื่องเกมขึ้นมาแล้วปิดหน้าจอ ใช้มันเป็นกระจกเพื่อส่องดู หลังจากยืนยันว่าดวงตาของเธอยังดูเหมือนปกติ เธอก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“อย่างงี้นี่เอง คิดไม่ถึงเลยจริงๆ”
จากข้อมูลที่มีอยู่ในตอนนี้ ดูเหมือนสติของคนธรรมดาจะถูกกลืนกินอย่างรวดเร็ว เมื่อได้เห็นสิ่งที่อยู่ในโรงอาหาร