บทที่ 346: เป้าหมายชัดเจน
บทที่ 346: เป้าหมายชัดเจน
“หมายถึงเอาอะไรมา?” เจียงลู่ซีถามพลางมองน้ำในแม่น้ำอันเหอที่สะท้อนแสงตะวันยามเย็นเป็นประกายระยิบระยับ
“แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องเหรอ?” เฉินเฉิงถามกลับพลางหัวเราะ
“ไม่รู้จริงๆ” เจียงลู่ซีเม้มปาก แล้วตอบอย่างจริงจัง
“ปีนี้ ปีมังกรตามปฏิทินจีน พ.ศ. 2555 ฉันจะทำให้เธอตกลงเป็นแฟนให้ได้” เฉินเฉิงตอบพร้อมรอยยิ้ม
“ฉันไม่คบใครจนกว่าจะเรียนจบมหาวิทยาลัย” เจียงลู่ซีพูดเสียงเบา
“อืม” เฉินเฉิงตอบรับด้วยน้ำเสียงเรียบ
“อืมอะไร?” เจียงลู่ซีเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความสงสัย
“ดีเลย ตอนแรกบอกว่าไม่คบใครจนถึงอายุสามสิบ ตอนนี้เปลี่ยนเป็นเรียนจบมหาวิทยาลัยก่อน แสดงว่าความพยายามตลอดปีที่ผ่านมาของฉันไม่ได้สูญเปล่า” เฉินเฉิงพูดพลางหัวเราะ
ตอนที่พวกเขาเพิ่งรู้จักกัน เจียงลู่ซีเคยพูดหนักแน่นว่าเธอจะไม่คบใครเลย หรือไม่ก็รอจนถึงอายุสามสิบก่อน ถึงจะคิดเรื่องความรัก
“ก็ยังยืนยันเหมือนเดิมว่าจะไม่คบใครจนถึงอายุสามสิบ ฉันบอกว่าจะไม่คบใครจนจบมหาวิทยาลัย แต่ไม่ได้บอกว่าจบมหาวิทยาลัยแล้วจะต้องคบใคร” เจียงลู่ซีพูดพลางขมวดจมูก
“อืม” เฉินเฉิงตอบรับอีกครั้ง
“อืมอะไรอีกล่ะ?” เจียงลู่ซีมองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจ
“ฉันแค่พูดถึงเป้าหมายของตัวเองในปีนี้ ตอนนี้สิ่งที่ฉันตั้งใจและจำเป็นต้องทำก็ทำครบหมดแล้ว เหลือเพียงแค่เรื่องเดียวที่สำคัญที่สุดซึ่งยังไม่ได้ลงมือทำ” เฉินเฉิงพูดพลางมองผืนน้ำใสที่สะท้อนถึงก้นแม่น้ำซึ่งมีฝูงปลาว่ายวนอยู่
นับตั้งแต่ที่เขาได้กลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ เป้าหมายหลายอย่างที่เขาวางไว้ก็ทยอยสำเร็จไปทีละเรื่อง เขาช่วยให้ครอบครัวพลิกฟื้นธุรกิจ "จู้หลุน" กลับมายืนหยัดได้อย่างมั่นคง ยิ่งผ่านเหตุการณ์น้ำมันปนเปื้อนเมื่อไม่นานมานี้ จู้หลุนก็เริ่มเป็นที่รู้จักในระดับประเทศ แม้ว่าในอนาคตหากต้องการขยายสาขาออกไปนอกมณฑลอาจเป็นเรื่องยาก แต่การยึดครองตลาดในมณฑลก็ถือว่าเพียงพอแล้ว
นอกจากนี้ งานเขียนของเขาอย่าง "อันเฉิง" และ "อีลู่ซีสิง(หนึ่งสายธารใหล)" ยังต้องการเวลาอีกมากกว่าจะถูกนำไปสร้างเป็นละครหรือภาพยนตร์ แต่สำหรับระยะใกล้ เขามีเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวคือทำให้เจียงลู่ซียอมเปิดใจและตกลงคบกับเขาโดยไม่มีข้อแม้
“ก่อนหน้านี้เธอบอกว่าจะทำให้ฉันตกลงตอนปีสาม แล้วทำไมถึงมาเร่งเป็นปีนี้ล่ะ?” เจียงลู่ซีถามขึ้น
“เพราะตอนนี้ฉันอายุสิบเก้า ฉันไม่อยากรอจนถึงยี่สิบปีแล้วค่อยได้อยู่กับเธอ ฉันอยากจับมือเธอก้าวเข้าสู่อายุยี่สิบด้วยกัน และอยู่เคียงข้างกันทุกช่วงเวลาที่เปลี่ยนผ่านไปตลอดชีวิต” เฉินเฉิงพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
เจียงลู่ซีเม้มปากแน่น ไม่พูดอะไร
“ฉันอยากกลับบ้านแล้ว” เธอพูดขึ้นมา
“ยังเช้าอยู่เลย จะรีบกลับทำไม?” เฉินเฉิงถามด้วยความสงสัย
“ฉันอยากกลับบ้าน” เจียงลู่ซียืนยันด้วยน้ำเสียงจริงจัง
เฉินเฉิงมองเธอด้วยแววตาเข้าใจ แล้วพยักหน้า “งั้นกลับก็ได้”
ระหว่างทางกลับบ้าน เฉินเฉิงไม่ได้พูดอะไร เมื่อถึงหน้าบ้านเจียงลู่ซี เธอก็ไม่ได้เชิญเขาเข้าไปเหมือนทุกครั้ง และเมื่อเขาเดินทางออกไป เจียงลู่ซีก็ไม่ได้ออกมาส่งเหมือนที่เคย
หลังจากปิดประตูบ้าน เจียงลู่ซีกลับเข้าห้องของตัวเองแล้วหยิบสมุดกับปากกาขึ้นมาทบทวนบทเรียนทันที
ในคืนนั้น เธอทบทวนจนถึงตีสอง ซึ่งต่างจากปกติที่เธอจะเข้านอนตอน 5 ทุ่มตามคำแนะนำของเฉินเฉิง เธอหยุดเขียนหนังสือเมื่อเห็นข้อความ "ฝันดี" จากเฉินเฉิงในมือถือ เธอเพียงตอบกลับตามปกติ
ก่อนจะหลับตา เธอมองดูท้องฟ้าผ่านหน้าต่าง ดวงจันทร์ลอยเด่นท่ามกลางหมู่ดาว เธอรู้ว่าพรุ่งนี้จะเป็นวันที่อากาศดี และเธอมีแผนที่จะไปซื้อของในตัวเมือง เพื่อเตรียมพร้อมก่อนออกเดินทางไปมหาวิทยาลัย
ในชีวิตของเธอ เจียงลู่ซีรู้ดีว่า การเดินออกไปค้นหาความฝันไม่ได้หมายความว่าต้องละทิ้งบ้านเกิด
เด็กในหมู่บ้านต้องไปเรียนหนังสือ ต้องก้าวออกจากความยากจนในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ ถึงจะมีชีวิตที่ดีขึ้นได้
แม้ว่าหมู่บ้านจะมีร้านโชห่วยอยู่ แต่ราคาสมุดในร้านมักจะแพง การไปซื้อสมุดที่ตลาดในตัวอำเภอจะประหยัดได้มากกว่า
เจียงลู่ซีตั้งใจจะซื้อสมุดจำนวนมากไปแจกจ่ายให้กับเด็กๆ อย่างเจียวฮวาและคนอื่นๆ เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ต้องคอยขอส่งสมุดทางไปรษณีย์ทุกเดือน เพราะค่าส่งนั้นแพงเกินไป
รุ่งเช้าวันต่อมา หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ เจียงลู่ซีก็เดินไปตลาดในตัวอำเภอ เมื่อซื้อสมุดครบแล้ว เธอก็นำไปแจกจ่ายให้เด็กๆ ในหมู่บ้าน จากนั้นก็กลับมาบ้านและมุ่งมั่นกับการเรียนอีกครั้ง
ในขณะเดียวกัน เฉินเฉิงก็ไปเยี่ยมบ้านของโจวหยวน
พ่อของโจวหยวน คือ โจวตง ได้ยินมาว่าเหตุผลที่ลูกชายของเขาเปลี่ยนแปลงตัวเองได้อย่างก้าวกระโดดในช่วงมัธยมปลายปีสามนั้น เกิดจากการได้รับอิทธิพลจากเฉินเฉิง จึงยืนกรานว่าต้องเชิญเขามาทานข้าวที่บ้านให้ได้
ช่วงก่อนหน้านี้ เฉินเฉิงยุ่งมาก ทั้งทำงานที่บริษัทช่วงก่อนตรุษจีน และหลังตรุษจีนก็ต้องดูแลเจียงลู่ซีที่เท้าบาดเจ็บ พอเธอหายดี ก็กลับไปทำงานที่บริษัทอีกเพื่อจัดการเรื่องน้ำมันปนเปื้อน เวลาจึงล่วงเลยไปโดยไม่ได้พบโจวหยวนเลย
เมื่อเฉินเฉิงไปถึงบ้านของโจวหยวน เขาถูกเพื่อนต่อว่าไม่น้อย
แต่โจวหยวนเข้าใจดีว่าช่วงนี้เฉินเฉิงยุ่งมาก อีกทั้งเรื่องที่เขาเปิดโปงปัญหาน้ำมันก็เป็นข่าวใหญ่ที่โจวหยวนติดตามตลอด
“พี่เฉิง ผมนับถือพี่จริงๆ นะครับ ไม่คิดเลยว่าพี่จะกล้าเปิดโปงเรื่องแบบนี้ พวกบริษัทที่เกี่ยวข้องในข่าวก็ไม่ธรรมดาเลย แล้วยังพาดพิงไปถึงหน่วยงานตรวจสอบอีก” โจวหยวนกล่าว
ข่าวเรื่องน้ำมันปนเปื้อนเกี่ยวพันกับองค์กรใหญ่มากมาย รวมถึงความบกพร่องของหน่วยงานตรวจสอบ
“ถ้าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของครอบครัวผม บางทีผมอาจจะไม่เข้าไปยุ่งด้วยก็ได้ แต่ในฐานะผู้ขายที่นำผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไปขายให้กับผู้บริโภค ผมไม่สามารถปล่อยผ่านได้จริงๆ” เฉินเฉิงกล่าว
“ผมไม่เชื่อหรอก ถึงไม่เกี่ยวกับครอบครัวพี่ ถ้าพี่รู้ พี่ก็ต้องเปิดโปงอยู่ดี” โจวหยวนหัวเราะ
เฉินเฉิงยิ้ม แต่ไม่ได้ตอบอะไร
พ่อของโจวหยวนพูดขึ้นว่า “หลังจากเรื่องน้ำมันก้นครัว เพิ่งไม่นานก็มาเจอเรื่องน้ำมันปนเปื้อนอีก ใช้รถบรรทุกสารเคมีขนน้ำมันพืชแบบนี้ มันเกินไปจริงๆ”
“เรื่องแบบนี้เริ่มจากคนที่ละเลยหน้าที่เล็กๆ น้อยๆ พนักงานตรวจรับก็อาจถูกติดสินบนจนละเลยการตรวจสอบ พอรวมกับระบบที่เป็นสังคมพึ่งพาคนรู้จัก เรื่องแบบนี้ถึงเกิดขึ้นได้” โจวหยวนกล่าวเสริม
เฉินเฉิงหัวเราะ “เข้าใจลึกซึ้งเลยนะ”
บทสนทนาดำเนินไปอย่างผ่อนคลาย ท่ามกลางเสียงหัวเราะ
ในระหว่างมื้ออาหาร พ่อของโจวหยวนพยายามชวนเฉินเฉิงดื่มหลายครั้ง แต่เฉินเฉิงก็ปฏิเสธ โจวหยวนเองก็ช่วยพูดให้ ทำให้พ่อของเขาไม่ได้บังคับอีก
หลังจากทานอาหารเสร็จ โจวหยวนถามขึ้นว่า “พี่เฉิง อีกสองวันจะเปิดเทอมแล้ว ไปพร้อมกันไหม?”
“ไม่ล่ะ เธอไปก่อนเลย” เฉินเฉิงตอบ
“เข้าใจแล้ว พี่ต้องไปส่งใครก่อนสินะ?” โจวหยวนพูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
เฉินเฉิงหัวเราะ แต่ไม่ได้ตอบ
ตอนบ่าย หลังจากออกจากบ้านโจวหยวน เฉินเฉิงขับรถไปที่บ้านของเจียงลู่ซี
วันนั้นเป็นวันที่ 24 มกราคม พรุ่งนี้เจียงลู่ซีจะต้องขึ้นรถไฟไปปักกิ่งเพื่อกลับมหาวิทยาลัย
เมื่อจอดรถและเคาะประตูบ้าน เขาได้ยินเสียงฝีเท้ากระชั้นรีบเข้ามา ก่อนที่ประตูไม้จะถูกเปิดออก
เจียงลู่ซีที่มัดผมหางม้าปรากฏตัวขึ้นด้วยท่าทางสดใสราวกับดอกไม้แรกแย้ม
“เธอมาทำไม?” เธอถามอย่างสงสัย
“ทำไมล่ะ ฉันมาไม่ได้หรือไง?” เฉินเฉิงยิ้มตอบ
“ไม่ใช่แบบนั้น แต่ฉันนึกว่าเธอยังอยู่ที่บ้านโจวหยวนอยู่”
“ทานข้าวเสร็จแล้ว ฉันเลยมานี่” เฉินเฉิงตอบ
เจียงลู่ซีทำจมูกฟุดฟิดคล้ายดมกลิ่นอะไรบางอย่าง
“ดมอะไรอยู่?” เฉินเฉิงหัวเราะถาม
เธอส่ายหน้า “ไม่ได้ดมอะไร”
“โอเคๆ สบายใจได้ ฉันไม่ได้ดื่ม” เฉินเฉิงยิ้ม
“ฉันไม่ได้สนใจว่าเธอดื่มหรือเปล่า” เจียงลู่ซีพูดหน้าบึ้ง
“ดีจังเลย ตอนมายังยืนตากลมตั้งนานให้กลิ่นหายเกลี้ยง กะว่าเธอจะไม่ว่าอะไร ฉันก็โล่งใจ” เฉินเฉิงพูดพร้อมถอนหายใจ
“เฉินเฉิง!” เธอเรียกชื่อเขาด้วยความโมโห
“ว่าไง?”
“เธอนี่!” เธอทั้งโกรธทั้งอาย
“ไปนั่งพัก ฉันจะไปทำอะไรในครัวสักหน่อย” เธอบอกพร้อมเดินหนี
“ทำอะไรในครัว?”
“ทำซุปแก้เมาคนไม่รู้จักตัวไง!” เจียงลู่ซีตอบอย่างหัวเสีย ใบหน้าแดงก่ำ