บทที่ 220 ลิฟต์ ตอนที่ 17
บทที่ 220 ลิฟต์ ตอนที่ 17
กงเสวี่ยตั้งใจจะจดจำรายละเอียดของฉากตรงหน้าให้มากที่สุด แต่กลับรู้สึกว่ามือข้างหนึ่งแตะลงบนไหล่ของเธอ
วิญญาณนั้นพยายามจะเข้าสิงและยึดร่างของเธอ
กงเสวี่ยรีบดึงตัวเองออกจากสภาวะนั้น เมื่อจิตใจกลับมาแจ่มชัด เธอรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งพยายามแทรกเข้ามาในร่างของเธอ
ตอนนี้วิญญาณหญิงได้สอดแขนทั้งสองข้างเข้ามาในร่างเธอแล้ว แต่กงเสวี่ยกลับไม่รู้สึกตื่นตระหนก เพราะสถานการณ์ยังไม่ได้เลวร้ายถึงขีดสุด
ขณะที่ต้วนเจียชิ่งอยู่ในสภาวะเครียดจนแทบทำอะไรไม่ถูก กงเสวี่ยก็เริ่มลงมือ เธอหยิบกลองออกมา แม้ดวงตายังคงเหลือเพียงตาขาว เธอก็ตบลงไปเบา ๆ บนหน้ากลอง
วิญญาณหญิงดูเหมือนถูกพลังบางอย่างกระแทกใส่ จนสลายไปทันที
ต้วนเจียชิ่งถอนหายใจโล่งอก “โชคดีที่คุณไม่เป็นอะไร ผมเกือบใช้ยันต์ไล่มันไปแล้ว”
กงเสวี่ยดวงตากลับมาเป็นปกติ “ยันต์คงจัดการมันไม่ได้แล้ว ครั้งนี้อย่างน้อยก็ได้เบาะแสที่เป็นประโยชน์ เราต้องหาสถานที่นั้น ถ้าหาเจอ มีโอกาสสูงมากที่เราจะทำภารกิจสำเร็จและออกจากที่นี่ได้ทันที”
ต้วนเจียชิ่งพับยันต์เก็บใส่กระเป๋าเสื้ออย่างระมัดระวัง
“ไม่เสียทีที่เป็นหัวหน้าทีม” เขาไม่ได้เป็นผู้สื่อวิญญาณ ไม่จำเป็นต้องสัมผัสกับวิญญาณโดยตรง
กงเสวี่ยเก็บกลองของตัวเอง การสัมผัสกับวิญญาณแบบนี้อาจมีความเสี่ยงสูง แต่ความเสี่ยงและโอกาสมักมาคู่กัน
เธอมั่นใจว่าตึกที่ยังสร้างไม่เสร็จที่เห็นในภาพ คือที่ที่วิญญาณหญิงเสียชีวิต หากพบของที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณ มักจะได้เบาะแสสำคัญ และหากเจอศพของเธอ ก็จะสามารถไขเรื่องราวทั้งหมดได้อย่างชัดเจน
เมื่อถึงตอนนั้น ภารกิจก็จะเสร็จสิ้นโดยง่าย พวกเธอต้องเร่งมือให้เร็วกว่าอีกทีม เพื่อให้คะแนนการปฏิบัติภารกิจสูงกว่า
...
เมื่อเสิ่นชงหรานกลับถึงบ้าน เธอเริ่มปวดหัวว่าจะต้องหาข้อมูลจากคนจำนวนเท่าไหร่ถึงจะได้เบาะแสที่ถูกต้อง แต่เธอมั่นใจว่าตึกนั้นคือตำแหน่งที่วิญญาณหญิงเสียชีวิต
เสิ่นชงหราน: “ถ้าพบตำแหน่งที่ศพอยู่ ติ๊นติ๊นจะสามารถสัมผัสมันเพื่อรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นได้ไหม?”
เวินซวี: “ฉันเคยคิดเรื่องนี้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่วิธีนี้ไม่เหมาะเท่าไหร่”
กู่เถียนเถียน: “หา? เสี่ยวหรานรู้ตำแหน่งศพแล้วเหรอ?”
เฟิงอี้เฉิน: “เมื่อวานเธอบอกว่าเห็นตึกที่ยังสร้างไม่เสร็จ น่าจะเป็นที่ที่วิญญาณหญิงเสียชีวิต”
กู่เถียนเถียน: “…ตอนนั้นฉันไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นเลย”
เสิ่นชงหราน: “ทำไมติ๊นติ๊นถึงทำไม่ได้ล่ะ?”
เวินซวี: “จากสิ่งที่เธอเล่าเกี่ยวกับประสบการณ์ภารกิจก่อนหน้านี้ เธอแทบไม่ได้สัมผัสกับวิญญาณโดยตรงเลย ครั้งนี้เธอเข้ามาในภารกิจระดับสูงเพราะเรา ถ้าดูจากระดับฝีมือ เธอควรผ่านภารกิจระดับกลางอีกสองสามครั้งก่อน ถ้าเธอสัมผัสกับวิญญาณในภารกิจระดับสูงโดยไม่เตรียมพร้อม อาจถูกเข้าสิงได้ และเมื่อผู้สื่อวิญญาณถูกเข้าสิง พวกเขาต้องพึ่งพาวิญญาณของตัวเองในการขับไล่ผู้บุกรุก เราไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย”
เสิ่นชงหรานเพิ่งเข้าใจถึงความเสี่ยงของเรื่องนี้ หากเป็นเช่นนั้นจริง การสัมผัสกับศพย่อมไม่ใช่ทางเลือกที่ปลอดภัย
เสิ่นชงหราน: “ถ้าอย่างนั้นก็คงทำไม่ได้จริง ๆ”
กู่เถียนเถียน: “ตอนแรกฉันนึกว่าฉันแข็งแกร่งแล้วนะ”
เฟิงอี้เฉิน: “ต่อไปเธอต้องทำภารกิจระดับกลางเพิ่มอีกสองสามครั้งเพื่อพัฒนาความสามารถ หรือไม่ก็หาวิธีได้ตำราฝึกมาใช้”
การพัฒนาความสามารถต้องเป็นไปตามลำดับขั้น กู่เถียนเถียนที่กระโดดมาสู่ภารกิจระดับสูงทันทีแทบไม่มีโอกาสพัฒนาตัวเอง
กู่เถียนเถียน: “ถ้างั้นหลังจากนี้ฉันจะไปทำภารกิจระดับกลางคนเดียว ก่อนเจอพวกเธอ ฉันก็ผ่านมาได้ด้วยตัวเอง”
เวินซวี: “ถ้าเป็นแบบนั้น เธอห้ามนำไอเทมระดับเหลืองไปด้วย เพราะระบบจะเพิ่มความยากให้ภารกิจระดับกลางจนเกือบเท่าระดับสูง”
กู่เถียนเถียน: “…ฉันคิดว่ามีไอเทมดี ๆ แล้วจะทำให้ผ่านภารกิจระดับกลางได้ง่ายขึ้น สุดท้ายฉันคิดไปเองทั้งนั้น”
ต่อจากนี้เป็นการประชุมเพื่อหารือว่าในวันพรุ่งนี้ควรเริ่มต้นค้นหาข้อมูลอย่างไร จะโทรติดต่อโดยตรงหรือสืบหาที่อยู่ของบุคคลเป้าหมายก่อน
เพื่อความไม่ประมาท เสิ่นชงหรานจึงอาศัยเวลาทำงานของเธอเข้าไปในฐานข้อมูล เพื่อตรวจสอบข้อมูลการเช่าหรือซื้อบ้านของบุคคลเหล่านั้น
...
ในความฝันอีกครั้ง เสิ่นชงหรานยืนอยู่หน้าประตูบานหนึ่ง เธอเหลือบมองหมายเลขห้องบนประตูนั้น
ทันใดนั้น ประตูดูเหมือนจะถูกดึงออกไปไกล และในชั่วพริบตา เธอก็ปรากฏตัวอยู่ด้านล่างของอาคารแห่งหนึ่ง ด้านข้างของอาคารมีป้ายระบุอย่างชัดเจนว่าเป็นอาคารไหน
เธอรู้สึกแปลกใจ ตอนแรกเธอคิดว่าหมายเลขห้องนั้นน่าจะเป็นห้องที่วิญญาณเคยอาศัยอยู่ แต่เมื่อมายืนอยู่ด้านล่าง เธอกลับพบว่านี่ไม่ใช่อาคารในหมู่บ้านชุนหยวน
เมื่อจดจำอาคารนั้นได้ ภาพในสายตาก็ถูกดึงออกไปอีกครั้ง ครั้งนี้เธอปรากฏตัวที่ทางเข้าหมู่บ้าน มีป้ายระบุว่าที่นี่คือหมู่บ้านฉางหง
เมื่อฉากถูกดึงออกไปอีกครั้ง เธอก็ลืมตาตื่นขึ้นโดยธรรมชาติ ทำไมถึงฝันถึงสถานที่แบบนั้น หรือว่ามันเป็นเบาะแสสำคัญ?
...
วันนี้ทุกคนหยุดพัก ไม่มีใครออกไปข้างนอก เสิ่นชงหรานนั่งสงบอยู่สักพัก ก็ได้ยินเสียงเคาะประตู
ใช่แล้ว พวกเขานัดกันไว้เมื่อคืนว่าจะมารวมตัวที่นี่เพื่อวางแผนการสืบสวน
เสิ่นชงหรานยกผ้าห่มออกและลุกขึ้นไปเปิดประตู ทันทีที่เปิดประตู เธอก็ได้ยินเสียงลิฟต์เปิดบนชั้นที่เธออยู่ เมื่อหันไปมอง เธอเห็นอีกทีมหนึ่งอยู่ในลิฟต์
ทั้งสองฝ่ายจ้องมองกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเบือนสายตาออกจากกัน
กู่เถียนเถียนเป็นคนสุดท้ายที่เข้ามาในห้อง พร้อมทั้งปิดประตูตามหลัง “หรือว่าพวกเขาก็เจอเบาะแสแล้วเหมือนกัน?”
เวินซวีนั่งลงบนโซฟา “น่าจะเป็นอย่างนั้น ตอนนี้คงต้องดูว่าใครจะรวบรวมเบาะแสได้ครบและทำภารกิจสำเร็จก่อน”
กู่เถียนเถียนนั่งลงอย่างไม่ใส่ใจ “ใครทำสำเร็จก็ออกไปจากที่นี่ได้ทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ?”
เธอยังคงเชื่อว่าภารกิจนี้ แม้จะต้องระวังทีมอื่น แต่เป้าหมายร่วมกันของทุกคนคือการทำภารกิจให้สำเร็จ
เวินซวีหันไปมองเฟิงอี้เฉิน ราวกับจะบอกว่า “ลูกพี่ลูกน้องของนายช่างใสซื่อเกินไป”
เสิ่นชงหรานรวบผม “มันคงไม่ง่ายขนาดนั้น ถ้าฉันเดาไม่ผิด คะแนนที่ได้จากการทำภารกิจสำเร็จอาจมีความสำคัญมากกว่า”
เวินซวีพยักหน้าอย่างพอใจ ก่อนชี้ไปที่เสิ่นชงหรานแล้วพูดกับกู่เถียนเถียน
“ดูสิ นี่แหละทัศนคติที่ควรมี”
กู่เถียนเถียน: “…”
เฟิงอี้เฉินนั่งลงบนเก้าอี้ใกล้ระเบียง “ในภารกิจเดียวกัน ถึงแม้เป้าหมายจะคล้ายกัน แต่ตราบใดที่เป็นคนละทีม ก็ถือว่าเป็นคู่แข่งกัน เช่นพวกเรา 4 คนที่เป็นทีมเดียวกัน ถ้าสามารถทำภารกิจสำเร็จก่อน คะแนนของเราจะสูงกว่าทีมอื่นอย่างน้อยสองเท่า และคะแนนของพวกเราก็จะไม่แตกต่างกันมากนัก ดังนั้น การทำภารกิจให้เร็วกว่าคนอื่นจึงสำคัญมาก”
เสิ่นชงหรานกอดหมอนใบเล็กไว้ในอ้อมแขน “ฉันฝันอีกแล้ว”
กู่เถียนเถียนตาเป็นประกาย “ฝันว่าอะไรล่ะ?”
เวินซวีและเฟิงอี้เฉินก็หันมามอง เพราะปกติความฝันของเสิ่นชงหรานมักเกี่ยวข้องกับภารกิจ
เสิ่นชงหรานนวดขมับเบา ๆ “ฉันฝันถึงหมู่บ้านฉางหง และเห็นที่อยู่ที่ชัดเจน ฉันสงสัยว่าข้อมูลเกี่ยวกับวิญญาณตัวนี้ คนที่อาศัยอยู่ที่นั่นอาจจะรู้”
กู่เถียนเถียนยกนิ้วโป้ง “เสี่ยวหราน เธอเก่งมาก อยู่กับเธอ ฉันแทบไม่ต้องไปสัมผัสกับวิญญาณเลย”
เสิ่นชงหรานยิ้มเล็กน้อย “เธอก็ต้องพัฒนาตัวเองเหมือนกัน อย่าหวังพึ่งแค่ความฝันของฉัน”
เฟิงอี้เฉินลุกขึ้นยืนทันที “งั้นเราไม่ต้องโทรหาใครแล้ว ไปที่นั่นเลย”
เสิ่นชงหรานยังลังเล “หรือเราควรติดต่ออดีตผู้เช่าหรือเจ้าของบ้านไปด้วย?”
เฟิงอี้เฉินส่ายหน้า “ยังไม่จำเป็น อีกทีมก็คงได้เบาะแสสำคัญเหมือนกัน ความคืบหน้าคงไม่ต่างกันมาก
ถ้าสถานที่ในฝันของเธอเป็นกุญแจสำคัญ ภารกิจครั้งนี้เราก็จะสำเร็จ ถ้าไม่ใช่ก็แค่เสียคะแนนไปบ้าง”
ตอนนี้พวกเขาทำได้เพียงลองเสี่ยง
เสิ่นชงหรานครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนโยนหมอนในมือทิ้ง
“งั้นเราออกเดินทางกันเลย...”
...........