ตอนที่ 19 โรงอาหาร
ตอนที่ 19 โรงอาหาร
หลังจากยืนยันรายละเอียดของแผนการแล้ว เสิ่นจินเหวินก็พร้อมที่จะออกเดินทาง
ก่อนออกเดินทาง สวี่จื้อคว้าตัวโก้วจื่อเอาไว้ แล้วพูดว่า “รู้ใช่มั้ยว่าต้องทำอะไรบ้าง?”
เมื่อมันเห่า และสวี่จื้อก็คิดว่ามันน่าจะเข้าใจ
จากนั้น สวี่จื้อก็แตะเสี่ยวอี้ที่กำลังแสร้งทำเป็นสร้อยข้อมือด้วยนิ้ว เสี่ยวอี้จึงต้องแสดงตัว ออกห่างจากสวี่จื้ออย่างไม่เต็มใจ และขยายตัวจนถึงขนาดเดิมที่เสิ่นจินเหวินเคยเห็น
หลังจากที่เสิ่นจินเหวินพาแฟมิเลียทั้งสองออกไป สวี่จื้อก็กลับไปที่ห้องของตัวเอง และหยิบเครื่องเกมออกมา เธอสามารถสังเกตสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาทำผ่านมุมมองของแฟมิเลียในเกมได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อออกคำสั่งไปแล้วไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือเพิกถอนได้ ในระหว่าง 7 ชั่วโมงนี้ เธอจะได้เห็นสิ่งที่พวกมันทำผ่านหน้าจอเกมก็จริง แต่จะไม่สามารถออกคำสั่งเพื่อให้เปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ได้ นี่คือข้อเสียของระบบออโต้ฟาร์ม
บางที เมื่อแฟมิเลียของเธอฉลาดขึ้น เธออาจจะสามารถออกคำสั่งแบบเรียลไทม์กับพวกมันได้ แต่นั่นก็เป็นของอนาคตที่ยังมาไม่ถึง
ตอนนี้ เธอจึงทำได้เพียงอธิษฐานขอให้เสี่ยวอี้ และโก้วจื่อทำตัวฉลาดๆ เข้าไว้
ในภาพ หญิงสาวหนึ่ง และสัตว์สองตัวใช้เวลาประมาณ 40 นาที กว่าจะเดินมาถึงหน้าทางเข้าโรงเรียนมัธยมหยุนเฉิง
นี่เป็นเวลาปกติเมื่อต้องเดินฝ่าสายหมอก ในช่วงนี้ เสิ่นจินเหวินก็ได้เจอสัตว์กลายพันธุ์ตัวอื่นๆ ที่เข้ามาโจมตี แต่ด้วยแฟมิเลียทั้งสองที่อยู่ข้างๆ มันก็ทำให้เสียเวลาเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“อยู่ไกลไม่น้อยเลย”
แม้ว่าโรงเรียนมัธยมหยุนเฉิงจะอยู่ห่างจากที่เธออยู่ไม่น้อย แต่สวี่จื้อก็ไม่ตัดสินอย่างเด็ดขาดกว่าต้องกำจัดศัตรูให้สิ้นซาก
เมื่อเสิ่นจินเหวินมาถึงหน้าประตูโรงเรียนมัธยมหยุนเฉิง จากมุมมองของแฟมิเลีย สวี่จื้อก็พบว่าประตูเหล็กของโรงเรียนนั้นเปิดกว้าง โดยมีนักเรียนสองคนที่กำลังยืนเฝ้ายามอยู่
จากมุมมองของสวี่จื้อ เธอเดาว่าพวกเขากำลังรอเหยื่อที่หลงเชื่อข่าวลวง จึงส่งคนมา ‘ทักทาย’ ลูกแกะตัวน้อยที่หลงทาง เมื่อมาถึงที่นี่แล้วจะไม่ได้มีใครสามารถเปลี่ยนใจได้อีก
เสี่ยวอี้หดตัวลงอย่างเงียบๆ และแอบเข้าไปในโรงเรียน
ในเวลาเดียวกัน นักเรียนคนหนึ่งก็ได้หันมาเห็นเสิ่นจินเหวินพอ เมื่อเห็นหญิงสาวยืนอยู่กับหมาตัวหนึ่ง เขาก็เดินเข้ามาหาเธออย่างตื่นเต้น โดยไม่คิดจะส่งเสียงเรียกเพื่อนที่อยู่ข้างๆ เลยแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม นักเรียนอีกคนก็ไม่ยอมให้ถูกแย่งเหยื่อไปต่อหน้า เขาจึงรีบเดินเข้ามาหาเสิ่นจินเหวินอย่างรวดเร็ว
หลังจากเข้ามาใกล้ พวกเขาก็เห็นหมาตัวใหญ่ที่อยู่ข้างๆ เสิ่นจินเหวิน ทั้งสองจึงหยุดเล็กน้อย และความตื่นเต้นบนใบหน้าของพวกเขาก็ลดทอนลงไป หนึ่งในนั้นมองไปที่เสิ่นจินเหวินแล้วพูดว่า
“คุณมาที่นี่เพื่อเข้าร่วมฐานผู้ลี้ภัยของเราใช่มั้ย?”
เสิ่นจินเหวินมองไปที่ทั้งสองคนแล้วพยักหน้า “ใช่”
“มันคือสัตว์เลี้ยงของคุณเหรอ?” ทั้งสองมองดูหมาที่ตัวใหญ่ผิดปกติความระมัดระวัง
แม้ว่าคนบ้าอย่างพวกเขาจะมีสติปัญญาหลงเหลือเพียงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ถึงกับไร้สมองอย่างสมบูรณ์
“เอ่อ…”
ก่อนที่เสิ่นจินเหวินจะทันได้พูดจบ โก้วจื่อก็กระโจนเข้าหานักเรียนคนหนึ่งโดยไม่พูดพร่ำทําเพลง
แม้แต่เสิ่นจินเหวินก็ตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่น้อย จากนั้นจึงดึงดาบที่ซ่อนเอาไว้ออกมาอย่างรวดเร็ว และฟันขาของนักเรียนอีกคนที่อยู่ข้างๆ
การต่อสู้เริ่มขึ้นในพริบตา หากเป็นคนธรรมดาเมื่อถูกโก้วจื่อกัด ขาของพวกเขาคงพิการอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม คนบ้าเหล่านี้ยังคงเดินกะโผลกกะเผลก และเคลื่อนไหวต่อไปได้ พวกเขาได้รับบาดเจ็บ แต่ไม่ได้ร้ายแรงอะไรเป็นพิเศษ
“ช่างเป็นร่างกายที่แข็งแกร่งมากจริงๆ คงไม่อาจเรียกว่ามนุษย์ได้อีกต่อไปแล้ว”
สวี่จื่อก็เฝ้าดูผ่านหน้าจอเกม และพูดพึมพำกับตัวเอง เธอก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อยกับการโจมตีอย่างกะทันหันของโก้วจื่อ แต่เมื่อคิดว่ามันเป็นสัตว์ ก็เข้าใจสิ่งที่มันทำได้
มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่พูดเสแสร้งกันไปมา ก่อนการต่อสู้
คนบ้าเหล่านี้ได้รับร่างกายแข็งแกร่งที่เหมือนสัตว์กลายพันธุ์มา แต่ก็ต้องสูญเสียความฉลาดของมนุษย์ไปเป็นข้อแลกเปลี่ยน ไม่มีใครบอกได้คุ้มค่าหรือไม่ แต่ข้อบกพร่องทางสติปัญญาที่พวกเขามีนั้นยากจะปกปิดไว้ได้
ในระหว่างการต่อสู้ เสิ่นจินเหวิน และโก้วจื่อจงใจปล่อยให้นักเรียนคนหนึ่งหนีไปได้ เพื่อที่จะได้ไปส่งข่าวให้คนอื่นๆ ในโรงเรียน พร้อมกับให้โก้วจื่อเห่าเสียงดังเพื่อดึงดูดความสนใจ
ทันทีที่เธอเห็นความคืบหน้าของที่นี่ เธอก็ตัดหน้าจอไปทางเสี่ยวอี้
ในเวลานี้ เสี่ยวอี้หดตัวลงจนเหลือขนาดเท่ากับที่พันรัดข้อมูลของเธอ ลอบเข้าไปด้านในของโรงเรียนมัธยมหยุนเฉิง
แม้ว่ามันจะตัวเล็กลงมาก แต่ความเร็วในการเลื้อยก็ไม่ลดลงเลย ด้วยการปรับปรุงระดับชีวิต ประสาทสัมผัสทั้งห้าของมันก็พัฒนาขึ้นมาก ไม่เพียงแต่จะตรวจจับความร้อนได้ดีขึ้นเท่านั้น แต่การรับกลิ่นก็ดีขึ้นกว่าเดิมไม่น้อย เมื่อได้กลิ่นเลือด มันก็มุ่งตรงไปหาต้นตอ
จุดหมายคือโรงอาหาร และสวี่จื้อก็ต้องตกใจกับเหตุการณ์ภายในนั้น แม้จะมองผ่านหน้าจอเกมที่เป็นภาพพิกเซลก็ตาม
ทุกที่เต็มไปด้วยเลือด ทั้งบนพื้น บนโต๊ะ และบนผนังรอบๆ เลือด และชิ้นส่วนแขนขาประสานรวมกันเป็นนรกบนดิน
แม้แต่คำว่า ‘โรงอาหารของโรงเรียนมัธยมหยุนเฉิง’ ก็ยังถูกเขียนทับด้วยเลือดจนแทบอ่านไม่ออก
“ที่นี่มีคนตายมากแค่ไหนกัน?”
เมื่อมองแวบแรก แค่เศษซากที่กองบนพื้นก็แสดงให้เห็นว่ามีคนตายไม่ต่ำกว่า 15 ศพ
ภาพนี้ทำให้สวี่จื้อรู้สึกแปลก ๆ เล็กน้อย แม้ว่าพวกเขาจะชอบฆ่าคน แต่ทำไมเขาถึงทำละเลงเลือดไปทั่วแบบนี้
หรือพวกเขาจะไม่ได้กินคนจริงๆ แค่อยากฆ่าคนเพื่อความสนุก?
ยิ่งกว่านั้น เมื่อเสี่ยวอี้เลื้อยไปบนคาน สวี่จื้อก็ได้เห็นภาพที่มองลงจากมุมสูง เห็นทั้งโรงอาหาร แม้ตอนแรกชิ้นส่วนอวัยวะต่างๆ จะดูเหมือนถูกวางแบบสุ่มๆ แต่เมื่อดูดีๆ มันก็เหมือนจะมีรูปแบบบางอย่าง
น่าเสียดายที่มันเป็นเพียงความคิดที่เกิดจากสัญชาตญาณของเธอเท่านั้น และเกมก็ไม่ให้คำบรรยายใดๆ เพื่อพิสูจน์การคาดเดาของสวี่จื้อ
มีคนบ้าจำนวนมากอยู่ในโรงอาหาร สวี่จื้อนับได้มากกว่าสามสิบคน ซึ่งมากกว่าสองเท่าของเด็กสาวที่มาเยือนบ้านหลังก่อนของเธอในตอนนั้น
“หรือกลุ่มของพวกเขาจะค่อยๆ ขยายตัวขึ้น?”
พูดตามตรง สวี่จื้อคิดว่าไม่มีความจำเป็นเลยที่เด็กสาวคนนั้นจะต้องโกหกเธอเกี่ยวกับจำนวนคน
ท้ายที่สุดแล้ว อีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจที่จะฆ่าเธอให้ตายอยู่แล้ว
แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าคนบ้าเหล่านี้ถูกปล่อยเอาไว้ และยังคงขยายตัวต่อไป?
สวี่จื้อแค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เพียงชั่วครู่ จากนั้นก็ส่ายหัว มันย่อมจะไม่ใช่เรื่องดีอยู่แล้ว
คนบ้าในโรงอาหารกำลังนั่งรออย่างเงียบๆ บนเก้าอี้ ทันใดนั้นประตูก็ถูกเปิดออกอย่างแรง และชายคนหนึ่งก็เดินกะโผลกกะเผลกเข้ามาแล้วตะโกนอะไรบางอย่าง จากนั้นคนเจ็ดหรือแปดคนก็ลุกขึ้นแล้ววิ่งออกจากประตูไป
สีหน้าของพวกเขาไม่ได้ดูวิตกกังวล แต่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น พวกเขาวิ่งไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว ราวกับต้องการช่วยเพื่อน แต่หากมองดูดีๆ ดูเหมือนพวกเขาต้องไปให้ถึงตัวเหยื่อโดยเร็วที่สุดมากกว่า
ไม่นานหลังจากที่พวกเขาวิ่งออกไป ก็มีชายคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องครัว
ชายคนนั้นสวมเสื้อผ้าที่สะอาดที่สุดในห้อง และสวมแว่นตาที่หรูหราเล็กน้อย เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ ที่ดูบ้าบอเล็กน้อย เขาดูเหมือนคนปกติโดยสมบูรณ์
แต่เมื่อยืนอยู่ท่ามกลางคนอื่นๆ ที่เนื้อตัวเปื้อนเลือด มันทำให้เขาดูแปลกยิ่งกว่าใครๆ