บทที่ 837 เส้นเวลาอันแตกต่าง
จงโจว เมืองหลวง หน่วยเทียนหลง
ในฐานะที่เป็นหน่วยงานควบคุมการลงโทษของแคว้นอู๋ฉือ หน่วยเทียนหลงมีอำนาจสูงสุด
พวกเขาสามารถสอบสวนและจับกุมผู้ฝึกตนใดๆ ภายในแคว้นอู๋ฉือได้ แม่แต่ผู้ที่มาจากสำนักเซียนอื่นๆ หรือหกลัทธิหน่วยอื่นๆ ก็ไม่อาจรอดพ้นได้
เนื่องด้วยเหตุนี้ หน่วยเทียนหลงจึงมีเกาะที่ถูกเรียกว่าเกาะเนรเทศ เพื่อใช้ขังเหล่าผู้ฝึกตนหลากหลาย
บางคนถูกจับเพราะวิวาทในเมือง บางคนก่อเหตุฆาตกรรม และบางคนก็ถูกจับโดยไม่มีเหตุผลใดๆ…
แน่นอนว่าในโลกของการฝึกตน ต้นกำเนิดสำคัญกว่าความสามารถที่ติดตัวมาเสียอีก
ดังนั้น ผู้ที่ถูกจับไปยังเกาะเนรเทศส่วนใหญ่เป็นผู้ฝึกตนเร่ร่อนที่ไม่มีอำนาจหรือภูมิหลังใดๆหรือบางทีอาจมาจากสำนักเซียนเล็กๆ
แม้ว่าองค์ราชาจะแต่งตั้งให้หน่วยเทียนหลงมีอำนาจจับกุมผู้คนจากสำนักใหญ่อย่างเช่น สำนักเสินหนงและฮวาเยว่ แต่พวกเขาแทบจะไม่กล้าทำเช่นนั้น!
ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น หลายพันปีมาแล้วก็ยังคงมีผู้ฝึกตนจำนวนมากถูกกักขังอยู่ในเกาะเนรเทศ
และผู้ที่มีหน้าที่ควบคุมดูแลเกาะแห่งนี้ก็คืออู๋เมิ่งหนึ่งในเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจการ
“ยังไม่มีข่าวจากท่านหลิวเลยหรือ?”
เวลานี้อู๋เมิ่งรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง
นับตั้งแต่ที่ดันฟ่านจู้ปู้ขึ้นไป เขาก็มีแต่ความกังวลใจตลอดเวลาและความล้มเหลวของสำนักเทียนกงก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกกระวนกระวาย
เป็นเวลามากกว่าสิบปีที่เขาไม่ได้รับข่าวจากจางเจี๋ย แม้ว่าเขาจะเชื่อในความสามารถของฝ่ายตรงข้ามที่สามารถรับมือกับอู๋ชิงเยี่ยนได้แน่นอนและเชื่อในความภักดีของเขา แต่เวลาผ่านไปนานเช่นนี้ บางทีก็อดเป็นกังวลไม่ได้
ตอนนี้ ผู้คนของสำนักเทียนกงที่ถูกส่งมาถูกสังหารไปในช่องแยก
หากผู้ที่เป็นถึงสมาชิกอาวุโสของม้อเค่อจวี้ก็ประสบชะตากรรมเช่นนี้ เกรงว่าการวางแผนของจางเจี๋ยจะต้องถูกละทิ้งไป!
“เรียนท่านผู้ช่วย ไม่มีข่าวใดๆ มาจากม้อเค่อจวี้เช่นกัน”
อู๋เมิ่งคาดการณ์ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ แต่ก็ยังคงไม่ยอมรับมัน
อย่างไรก็ตาม ความจริงก็มาตั้งอยู่ตรงหน้า ไม่ยอมรับก็คงไม่ได้!
…
ผิงตูโจว
ด่านเฟยเทียน
ผ่านไปเกือบครึ่งปีแล้ว จากผาหลิงศพแปดร้อยก็ยังไร้ข่าวใดๆ
ยิ่งสถานการณ์เงียบสงบ เฉินโม่ก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ
เขาคิดอยู่นานและในที่สุดก็ตัดสินใจไปยังผาหลิงศพแปดร้อย แต่คนที่เขาไปหานั้นไม่ใช่ฉีเฉิน แต่เป็นจูเสี่ยงฟางที่อยู่ในหอคอยดำ!
เมื่อเจอเขา คำถามแรกของอีกฝ่ายคือ
“คนแรกที่ถูกส่งมายังที่นี่คือใคร? ฆ่าไปแล้วหรือยัง?”
“นั่นแหละคือเหตุผลที่ข้ามาหาเจ้า”
จูเสี่ยงฟางในชุดคลุมสีดำ แม้ไม่เห็นใบหน้า แต่ก็สามารถรู้สึกถึงคิ้วที่ขมวดของนางได้
“เจ้าทำไม่ตามที่ข้าบอก?”
“ไม่ได้ทำ”
“เฮ้อ! เจ้า!” จูเสี่ยงฟางยกมือชี้ไปที่เฉินโม่
“เจ้าไม่รู้หรือว่าซ่งหยุนซีได้เห็นอนาคตมากแค่ไหน? เขาเคยบอกไว้ว่า นี่คือโอกาสเดียวที่เจ้าจะรอดชีวิต!”
“ทำไม?” เฉินโม่งุนงง
“เขาเห็นอนาคตอย่างไรบ้าง?”
“ข้าไม่รู้ เขาไม่เคยบอกข้า แต่เขาบอกว่านี่คือการช่วยเจ้า และช่วยอี้ถิงเซิงด้วย”
คำพูดของจูเสี่ยงฟางทำให้เฉินโม่รู้สึกอึดอัด
เขาไม่ชอบการพูดแบบอ้อมค้อมเหมือนเล่นปริศนา
“เจ้าบอกไว้เมื่อก่อนว่า ค่ายกลส่งตัวจะซ่อมเสร็จในสองเดือน แต่ตอนนี้ผ่านไปครึ่งปีแล้ว มันยังไม่ซ่อมเลย!”
“อะไรนะ?”
จูเสี่ยงฟางร้องออกมาอย่างตกใจ
แม้นางจะไม่ได้ถอดผ้าคลุมบนศีรษะออก แต่ความตกใจของนางก็ไม่อาจปกปิดได้
“พี่ใหญ่เห็นอะไรแน่? ทำไมมันถึงไม่เหมือนที่เขาบอกไว้?”
“ไม่จริง เป็นไปไม่ได้ เจ้าแน่ใจหรือว่าไม่ได้ซ่อม?”
“แน่นอน! ผู้ฝึกตนขั้นเปลี่ยนจิตจากสำนักเทียนกงสองคนที่ถูกส่งมาก็ยังถูกข้าควบคุมอยู่ ข้าไม่ได้อนุญาต พวกเขาจะซ่อมได้อย่างไร?”
“หะ?” จูเสี่ยงฟางงุนงง
“ทำไมเจ้าถึงไม่ให้พวกเขาซ่อม?”
“ข้าอยู่ที่ผิงตูโจวก็ดีอยู่แล้ว ทำไมข้าต้องให้พวกเขาซ่อม?” เฉินโม่ถามกลับอีกครั้ง
การสนทนาที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันนี้ทำให้จูเสี่ยงฟาง ซึ่งอยู่คนเดียวคอยเฝ้าดูแลผาหลิงศพแปดร้อยและหอคอยดำสับสนและไม่รู้จะทำอย่างไร
นางพึมพำกับตัวเอง
“ไม่น่าเป็นไปได้…ไม่น่าเป็นไปได้…สิ่งที่หยุนซีทำนายไว้ถูกต้องหมดแล้วนี่นา เขาทำนายว่าสำนักชิงหยางจะถูกทำลาย ทำนายว่าอี้ถิงเซิงจะถูกพาตัวไปโดยคนตระกูลจั่วชิว แม้กระทั่งการวางแผนของเขาเพื่อให้เจ้าก่อตั้งสำนักเซียนได้…ทำไม?”
เฉินโม่ไม่อาจไม่ขมวดคิ้ว
คำพูดเหล่านี้ทำให้เขารู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง จึงถามต่อว่า
“ข้าขอถามอะไรหน่อยได้ไหม? ในความทรงจำของเจ้า ข้ากับพี่ใหญ่รู้จักกันได้อย่างไร?”
จูเสี่ยงฟางเงยหน้าขึ้น คิดอยู่นาน
“ข้าจำได้ว่าเราน่าจะพบกันที่ตลาดโบราณกู่เฉิน ในตอนแรกซ่งหยุนซีเป็นสหายคนสนิทกับอี้ถิงเซิง และเจ้าเป็นคนที่อี้ถิงเซิงแนะนำให้ซ่งหยุนซีรู้จัก หลังจากที่พวกเจ้าคุยกันแล้วก็เข้ากันได้ดี พวกเจ้าทั้งสามจึงตั้งสาบานเป็นพี่น้องกัน”
“พี่ใหญ่รู้จักอี้ถิงเซิงก่อน?”
เฉินโม่รู้สึกตกใจ นี่มันไม่เหมือนกับสิ่งที่เขาเคยประสบมาเลย!
“เจ้ากินไก่วิญญาณที่ข้าทำหรือยัง?”
“อะไรนะ?”
จูเสี่ยงฟางส่ายหน้า
แต่อาจเป็นไปได้ว่าเวลาผ่านไปหลายสิบปี ทำให้นางจำไม่ได้
“เจ้ามาที่ผาหลิงศพแปดร้อยก่อนสำนักชิงหยางจะถูกทำลายหรือเปล่า?”
“ใช่ แล้วมันทำไม?”
“พี่ใหญ่อีกคนเป็นคนพาเจ้ามา?”
“อีกคน? มันไม่ใช่ว่ามีแค่เขาคนเดียวหรือ?”
“แล้วหลังจากนั้นล่ะ? หลังจากนั้นเราประสบเหตุการณ์อะไรกัน เจ้ารู้หรือไม่?” เฉินโม่ถามต่อ
“เจ้ากับอี้ถิงเซิงออกมาจากถ้ำที่ซ่อนตัว และจากนั้นเจ้าก็ได้รับความช่วยเหลือจากตานไถเฟยและก่อตั้งสำนักเซียนที่ภูเขามั่วไถ แล้วหลังจากนั้น…”
เนื้อหาหลังจากนี้ก็ถูกต้อง
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
“ครึ่งหนึ่งข้าสืบรู้มาและอีกครึ่งหนึ่งก็รู้เอง”
สุดท้าย เฉินโม่ก็เริ่มเข้าใจบางอย่าง
จูเสี่ยงฟางคนนี้น่าจะถูกพามาที่ผาหลิงศพแปดร้อยก่อนที่สำนักชิงหยางจะถูกทำลาย ดังนั้นความทรงจำหลังจากออกมาจากถ้ำลับจึงไม่มีปัญหา
แต่นางไม่น่าจะเป็นจูเสี่ยงฟางของที่นี่
ดังนั้น ความทรงจำก่อนการทำลายล้างของสำนักจึงแตกต่างจากสิ่งที่เขาประสบมา
ถ้าเป็นเช่นนี้จริง ซ่งหยุนซีที่นี่อาจจะเดินทางไปยังเส้นเวลาอื่น! และซ่งหยุนซีที่พาจูเสี่ยงฟางมาก็มาจากที่อื่นเช่นกัน
เขาไม่รู้จริงๆ ว่าตนเองได้ประสบเหตุการณ์อะไรกันแน่!
ดังนั้นจึงเข้าใจผิดเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
‘แต่หากการที่ทุกครั้งมีการแตกแยกและรวมตัวใหม่ คืออีกโลกหนึ่ง ไม่ใช่การต่อเนื่องของโลกเดิม เหตุใดเขาถึงบอกว่านี่เป็นโอกาสเดียวของเขา?’
‘หรือว่าจำเป็นต้องซ่อมค่ายกลส่งตัว?’
เฉินโม่รู้สึกสับสนเล็กน้อย
เขารู้สึกว่าทุกอย่างในขณะนี้ดูแปลก แต่ก็พูดไม่ออกว่าอะไรที่มันแตกต่างกัน
“มันต่างกันตรงไหนกันแน่?” เขาพึมพำกับตัวเอง
“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้ากลับไปแล้วก็ซ่อมค่ายกลส่งตัวโดยเร็วเถอะ!” จูเสี่ยงฟางเตือน แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะพลาดโอกาสไปแล้ว แต่…อาจจะ…ยังมีทางช่วยได้อยู่บ้าง
“ก็ได้ ข้าขอตัวก่อน”
เฉินโม่พูดตกลง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะทำจริงๆ
เขาไม่สามารถฝากชะตาชีวิตไว้กับการทำนายที่อาจคลาดเคลื่อนและไร้ความแน่นอนได้
ยืนหยัดในปัจจุบัน คือการสะสมพลังให้มากที่สุดยังดีกว่า
หากพวกเขาประสบความสำเร็จในการเพาะพันธุ์พืชวิญญาณทดแทนสำหรับข้าววิญญาณกิเลน บางทีนั่นอาจถือเป็นการมีความสามารถในการปกป้องตนเองได้จริงๆ
และก่อนที่จะถึงตอนนั้น ก็ควรซ่อนพลังและรอเวลา
คำเตือนของซ่งหยุนซี ขอเก็บไว้ก่อนดีกว่า
(จบบท)