ตอนที่ 9 – “ของขวัญ” ของผู้รอดชีวิต
【เลือดปนเปื้อนโสมม 4 มล.?】
【เนื้อที่เน่าเปื่อยปานกลาง*1?】
【กระดูกที่เน่าเปื่อย*1?】
การต่อสู้สิ้นสุดลงภายในหนึ่งนาที.
ทันใดนั้น โคลินก็รู้สึกว่ามนุษย์กลายพันธุ์ตัวเล็กพวกนี้, สูงไม่ถึง 1.5 เมตร, แทบไม่มีเนื้อติดตัว, และร่างกายส่วนใหญ่ก็เผยให้เห็นกระดูกสีขาวที่มีเส้นเลือด, น่าจะเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ทั่วๆ ไป พวกมันไม่มีชื่ออื่นนอกจาก “พวกกลายพันธุ์”
“นักบวชผู้สำนึกผิด” ที่พวกเขาพบก่อนหน้านี้ต้องเป็นมอนสเตอร์ชั้นสูงมีชื่อ ซึ่งน่าจะเป็นตัวพิเศษ.
แม้ว่ามนุษย์กลายพันธุ์ตัวเล็กจะจัดการได้ง่าย แต่ของที่เก็บมาได้กลับมีน้อย.
“ตอนนี้มันรู้สึกเหมือนเกมจริงๆ” โคลินพึมพำ.
พวกเขาเร่งฝีเท้าอีกครั้ง มนุษย์กลายพันธุ์ทั่วไปนั้นเชื่องช้า และโคลินก็ไม่มีความตั้งใจที่จะต่อสู้กับพวกมัน เว้นแต่จะจำเป็นจริงๆ.
ถ้าพวกมันไม่มี “หนามแห่งความทุกข์ทรมาน” โคลินก็จะไม่หยุดและเสียเวลาไปกับพวกมัน.
หลังจากผ่านไปอีกไม่กี่นาที คิ้วของโคลินก็ขมวดเข้าหากัน.
เขาเห็นเลือด. เลือดของมนุษย์.
“โฮ่, ผู้รอดชีวิตคนอื่นพบวิธีจุดตะเกียงแล้วสินะ.”
โคลินชะลอความเร็วลง.
เขาสังเกตเห็นรอยเท้าที่บ่งชี้ว่าผู้รอดชีวิตคนอื่นได้ผ่านไปแล้ว รอยเท้านั้นดูยุ่งเหยิงและเร่งรีบ มีหยดเลือดในแต่ละก้าว เลือดเป็นสีแดงเข้มและยังไม่แข็งตัวมากนัก ยังคงเหนียวเหนอะหนะเมื่อสัมผัส.
แม้ว่าโคลินจะแยกแยะเลือดมนุษย์จากเลือดสัตว์ไม่ออกด้วยสายตา…
แต่คำใบ้ก็ยืนยันว่าเป็นเลือดมนุษย์ ซึ่งบ่งชี้ว่าผู้รอดชีวิตผ่านไปที่นี่ไม่นานก่อนที่โคลินจะมาถึง.
สิ่งสำคัญคือ โคลินสังเกตเห็นว่าทั้งสองฝ่ายดูเหมือนจะมุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกัน.
ในเวลาไม่ถึงสิบนาที พวกเขาก็ไปถึงโบสถ์ของบาทหลวงไคดิช ซึ่งเป็นตำแหน่งของภารกิจ.
ถ้า…
เจ้านี่ไปถึงที่นั่นก่อนและนำความสงบสุข (ทางกายภาพ) มาสู่เด็กๆ ก่อนโคลินแล้วล่ะก็…
“นั่นคงไม่ใช่ข่าวดี”
โคลินเร่งฝีเท้า.
รอยเลือดยาวและชุ่มอยู่ในดิน เลือดที่ออกมีปริมาณมาก.
“ถ้าเลือดทั้งหมดนี้มาจากคนคนเดียว ตอนนี้คงตายไปแล้วล่ะ.”
ขณะที่โคลินกำลังสงสัยว่าคนๆ นั้นตายหรือยังมีชีวิตอยู่ เขาก็ได้รับคำตอบ.
อีกไม่ถึงสิบเมตรข้างหน้า มีร่างหนึ่งนอนพิงต้นไม้ที่ตายแล้ว ไม่ขยับตัว.
ศพผู้หญิง.
สีหน้าของเธอ…
เธอไม่มีสีหน้า หัวของเธอหายไป.
เลือดไหลจากบาดแผลที่คอที่อ้าออกลงสู่พื้น ทำให้ดินเปียกโชกไปด้วยเลือด.
ชุดสีหมองของเธอเปื้อนสีแดงและขาดวิ่นหลายแห่ง ทำให้รู้ได้ไม่ชัดเจนว่าเป็นฝีมือของสัตว์ประหลาดหรือจากการหลบหนีอย่างบ้าคลั่งของเธอที่ถูกกิ่งไม้และหินเกี่ยวไว้.
“เธอเลิกต่อต้านและนอนรอความตายอยู่ที่นี่ เธอเสียชีวิตเมื่อประมาณยี่สิบนาทีที่แล้ว…”
หลังจากอาการช็อกในตอนแรก โคลินก็สงบลงอย่างรวดเร็ว แม้จะได้กลิ่นเลือดที่ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ แต่จิตใจของเขาก็เริ่มกลับมาทำงานอีกครั้ง.
เขาโน้มตัวลง ปิดปากและจมูกด้วยแขนเสื้อ และนั่งยองๆ อยู่ข้างศพ พิจารณาทุกรายละเอียด แม้จะรู้สึกไม่สบายใจ เขาก็ต้องไม่ประมาทเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง.
ประการแรก เลือดของเธอเป็นสีแดงสด ไม่มีสัญญาณของการถูกวางยาพิษ ซึ่งบ่งบอกว่าเธอไม่ได้ตายจากพิษ ประการที่สอง สภาพของเธอในตอนนี้ไม่มีสัญญาณของการดิ้นรนใดๆ ดูเหมือนว่าเธอจะยอมแพ้ในการวิ่งและเลือกที่จะรอความตายมากกว่า.
หากเธอต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตที่ฆ่าเธอ สิ่งมีชีวิตนั้นก็คงจะไม่ทิ้งเธอให้นอนอย่างเรียบร้อยและเสื้อผ้าเป็นระเบียบแบบนี้.
ขาของเธอบวมและมีแผล, ข้อเท้าก็บิดเป็นสัญญาณชัดเจนว่าเธอไม่สามารถวิ่งหนีต่อไปได้อีก.
โคลินเดาว่าเธอได้นั่งใต้ต้นไม้แล้วจัดการชุดขาดๆ ของเธอ จากนั้น...
เธอถูกฉีกหัวออกเหมือนกับถูกเก็บเห็ด.
เนื่องจากเธอเสียเลือดมาก เลือดจึงไม่พุ่งออกมาไกลนัก...
สายตาของโคลินหันไปที่รอยเท้าที่อยู่ห่างจากร่างประมาณสองเมตร
รอยเท้านั้นยาวหนึ่งเมตร กว้างครึ่งเมตร และมีลักษณะเหมือนมนุษย์...
แต่ไม่มีมนุษย์คนใดมีรอยเท้าที่ใหญ่ขนาดนั้น.
รอยเท้านั้นอยู่ห่างกันไม่กี่เมตร และโชคดีที่สิ่งมีชีวิตนั้นได้ทิ้งหัวไว้หลังจากฆ่าเธอไปแล้ว.
【เจ้าของรอยเท้านั้นสูงอย่างน้อยห้าเมตร คุณไม่สามารถเข้าใจได้ว่านี่คือสิ่งมีชีวิตประเภทใด แต่คุณก็รู้ว่าการยั่วยุสิ่งนั้นจะต้องตายแทบจะแน่นอน.】
ก็แหงล่ะ... โคลินไม่สนใจคำใบ้จากการสังเกตเห็นรอยเท้านั้น.
ไม่มีสัญญาณใดๆ ของข้ารับใช้ของเธอ. ดูแล้วน่าจะถูกใช้เพื่อขัดขวางการหนี และตอนนี้ก็อาจจะตายไปแล้ว.
“เราควรทำอย่างไรต่อไปครับ นายท่าน”
ข้ารับใช้หนึ่งกระซิบ เห็นได้ชัดว่ารู้สึกไม่สบายใจกับภาพที่เห็นและรอยเท้าขนาดใหญ่.
โคลินไม่ได้ตอบไปในทันที
ออพชั่น “หยิบขึ้นมา” ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา.
มันแสดงเลือดปนเปื้อนโสมม 43 มล. ซึ่งบ่งบอกว่าเธอไม่ได้ถูกหมอกสีเทาฆ่าตาย และเธอได้เก็บเลือดเอาไว้ส่วนหนึ่งก่อนจะตาย.
สิ่งนี้เผยให้เห็นเจตนารมณ์ของเธอ.
“ถ้าฉันมีโอกาส ฉันจะฆ่ามันให้เธอเอง!”
โคลินกระซิบ จากนั้นก็รับ “ของขวัญ” ของเธอ.
คนตายจากไปแล้ว คนเป็นต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป.
การเห็นศพที่เปื้อนเลือดทำให้โคลินนึกได้ว่านี่คือเกมที่เดิมพันด้วยชีวิต.
ผู้ที่ตามไม่ทันจะต้องตาย ถูกทิ้งและกลายเป็นศพไร้ชื่อในนรกแห่งนี้ ไม่มีสิ่งใดให้จดจำและถูกลืม.
โคลินรู้สึกถึงอารมณ์ที่ซับซ้อนผสมผสานกัน.
หลังจากรับข้าวของทั้งหมดของเธอแล้ว เขาก็ส่งตะเกียงและขวานของเธอให้กับหมายเลขสอง.
ตะเกียงไม่สามารถเก็บไว้ในช่องเก็บของได้ และแม้ว่าขวานจะไม่เพิ่มค่าสถานะ แต่ก็ยังดีกว่ากิ่งไม้หักๆ.
โคลินลุกขึ้น เคารพผู้หญิงคนนั้น และพูดว่า “ไปต่อกันเถอะ”.
“เจ้าตัวที่ฆ่าเธอน่าจะไปแล้ว และโบสถ์ก็อยู่ใกล้ๆนี้”
“ไหนๆเราก็มาแล้ว จะไม่ลองก็กระไรอยู่…”
โบสถ์แห่งความทุกข์อยู่ใกล้ๆนี้ เขาไม่ต้องการยอมแพ้.
ในไม่ช้า โคลินก็มองเห็นโบสถ์ที่สร้างขึ้นในป่าผ่านหมอกได้ลางๆ