ตอนที่ 18 แผนการที่เรียบง่าย
ตอนที่ 18 แผนการที่เรียบง่าย
เมื่อพวกเขาขึ้นไปชั้นบน สวี่จื้อก็เคาะประตูของเสิ่นจินเหวิน พวกเธอได้ทำการสร้างรหัสลับเพื่อระบุตัวตนเอาไว้ก่อนแล้ว โดยเคาะติดกันสี่ครั้ง เว้นช่วง และเคาะอีกหนึ่งครั้ง มันไม่ใช่รหัสลับที่เข้มงวด และซับซ้อน แต่ก็พอใช้งานได้
ในไม่ช้า เสิ่นจินเหวินก็เปิดประตู เมื่อเขาเห็นสุนัขตัวใหญ่ที่อยู่ข้างๆ สวี่จื้อ เธอก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว จากนั้นเขาก็คิดว่ามันอาจจะเป็นเหมือนงูตัวนั้น “นี่คือสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ของเธอเหรอ?”
“ใช่แล้วพี่สาว” สวี่จื้อพยักหน้า และหลังจากที่เสิ่นจินเหวินเปิดทางให้ เธอก็เดินเข้าไปในห้อง
หลังจากที่สวี่จื้อนั่งลงบนโซฟา เสิ่นจินเหวินก็เทน้ำแร่หนึ่งแก้วให้กับสวี่จื้อด้วยการใช้ถ้วยกระดาษเหมือนครั้งก่อน
ตอนนี้ อาหารและน้ำยังไม่ถือว่าขาดแคลน เสิ่นจินเหวินได้ออกไปหาเสบียงเกือบทุกวันจึงมีกักตุนไว้ไม่น้อย เมื่อคนส่วนใหญ่ในเมืองได้อพยพออกไป จึงมีเสบียงและน้ำเหลืออยู่มากมาย ไม่ว่าจะในร้านค้าเล็กๆ หรือซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่
แต่สิ่งที่แตกต่างจากครั้งที่แล้วคือ สวี่จื้อจิบน้ำหลังจากหยิบแก้วน้ำขึ้น แม้ว่าตอนนี้เธอจะไม่กระหายน้ำก็ตาม
เมื่อเห็นสวี่จื้อดื่มน้ำ สีหน้าของเสิ่นจินเหวินก็ดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย เธอนั่งลงตรงข้ามกับสวี่จื้อ แล้วถามว่า “เธอมีธุระอะไรเหรอ ถึงได้มาหาฉัน”
สวี่จื้อวางแก้วน้ำลงแล้วพยักหน้า “ใช่ ฉันมีธุระกับพี่จริงๆ”
“เสียงประกาศเมื่อวาน พี่ก็ได้ยินเหมือนกันใช่มั้ย ฉันอยากรู้ว่าพี่คิดยังไงกับเรื่องนี้?” สวี่จื้อถาม เสิ่นจินเหวิน โดยถามความเห็นก่อนเป็นอย่างแรก
“มันคงเป็นกับดัก” เสิ่นจินเหวินตอบยืนยัน
ดูเหมือนเธอจะนึกอะไรขึ้นได้ เธอจึงมองไปที่สวี่จื้อแล้วพูดเบาๆ “นี่คือเหตุผลที่เธอมาหาฉันเหรอ?”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเข้าใจ สวี่จื้อก็หยุดพูดอ้อมค้อม และถามออกไปโดยตรง “ฉันวางแผนที่จะฆ่าพวกเขา และต้องการความช่วยเหลือจากพี่ โดยจะบอกข้อมูลที่พี่ต้องการเป็นข้อแลกเปลี่ยน และฉันจะให้สัตว์เลี้ยงไปคอยช่วยอยู่ข้างๆ ด้วย”
“พี่ก็น่าจะรู้ดีว่าเรากับพวกเขาอยู่คนละฝั่งกัน หากเราต้องการอาศัยอยู่ในเมืองนี้ เราจะต้องเผชิญหน้ากับพวกเขาไม่ช้าก็เร็ว ตอนนี้เมื่อเราร่วมมือกัน อย่างน้อยพี่ก็จะมีคนคอยช่วย”
ไม่ใช่ว่าเสิ่นจินเหวินไม่เข้าใจความจริงข้อนี้ เพียงแต่เธอรู้ถึงช่องว่างระหว่างตัวเองกับคนบ้าเหล่านั้น
พูดตามตรง แม้ว่าเธอจะเป็นผู้ปลุกพลัง แต่พลังของเธอก็ไม่ได้แข็งแกร่ง มันไม่ได้ทำให้เธอกลายเป็นยอดมนุษย์ เธอจึงคิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะช่วยอะไรสวี่จื้อเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้
“เธอต้องการให้ฉันทำอะไร” เสิ่นจินเหวินถามโดยตรงๆ
"เป็นเหยื่อล่อ"
สวี่จื้อไม่ได้ปิดบัง และตอบไปตามตรง
“ฉันต้องการให้พี่ล่อคนบ้าพวกนั้นออกจากโรงเรียนมัธยมหยุนเฉิง”
“คนบ้าพวกนั้นมีไอคิวต่ำ ดังนั้นจึงต้องมีคนสั่งการพวกเขาอยู่ ฉันจึงต้องการให้พี่ล่อพวกเขากลุ่มหนึ่งออกจากโรงแรม ฉันจะจัดการกับคนที่คอยสั่งการพวกเขาให้เอง”
“ฉันจะให้หมาตัวนี้ไปกับพี่ด้วย มันจะช่วยพี่ในการต่อสู้ได้อย่างแน่นอน”
มันเป็นแผนการที่เรียบง่าย และหยาบอย่างยิ่ง เดิมทีสวี่จื้อคิดจะหาแผนการที่ซับซ้อนกว่านี้ แต่เมื่อเห็นความแข็งแกร่งของเสี่ยวอี้หลังการยกระดับ เธอก็คิดว่าแค่นี้ก็มากเกินพอแล้ว
“แล้วฉันจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเธอจะทำสำเร็จตามแผน” เสิ่นจินเหวินถาม
สวี่จื้อส่ายหัว “เมื่อแยกกันเราก็ไม่มีทางติดต่อกันได้ และฉันก็ไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนบ้าคนอื่นๆ หลังจากที่คนคอยสั่งการพวกเขาเสียชีวิต”
“แต่ฉันสามารถรับรู้ได้ว่าหมาตัวนี้อยู่ที่ไหน หลังจากที่จัดการกับคนสั่งการแล้ว ฉันจะรีบตรงไปช่วยโดยเร็วที่สุด”
“ดังนั้น ฉันก็ทำได้แค่รอ และต้องพยายามไม่ให้ตัวเองตายก่อนที่เธอจะมาช่วย”
“ใช่” สวี่จื้อพยักหน้า
เธอรู้ว่านี่เป็นข้อตกลงที่ค่อนข้าง ‘ใจร้าย’ เพราะเสิ่นจินเหวินต้องรับความเสี่ยงสูง แต่หากต้องการแข็งแกร่งขึ้นอย่างก้าวกระโดดในเวลาสั้นๆ มันก็เป็นสิ่งจำเป็น
เธอจึงคิดว่าเสิ่นจินเหวินจะไม่ลังเลนานเกินไป และตอบตกลง
“เราจะเริ่มลงมือเมื่อไหร่ จะหลอกล่อพวกเขายังไง และหากฉันถูกล้อม ฉันจะหนีออกมาได้ยังไง?”
เสิ่นจินเหวินถามคำถามสองสามข้อในคราวเดียว
“สัตว์เลี้ยงทั้งสองตัวของฉันจะอยู่ช่วยพี่ เมื่อมีพวกมันอยู่ข้างๆ พี่จะไม่มีทางถูกปิดล้อมอย่างแน่นอน เราจะล่อพวกเขาโดยส่งเสียงที่หน้าทางเข้าของโรงเรียน ดึงดูดคนบ้าพวกนั้นให้เข้ามาหา”
“ถ้าพวกเขาออกมาแค่คนหรือสองคน เราจะฆ่าหรือทำร้ายพวกเขาเพื่อที่จะยั่วยุคนอื่นๆ สรุปคือพี่ต้องรอจนกว่าจะมีคนออกมามากพอ จากนั้นก็ค่อยหลบหนีพร้อมกับหมาตัวนี้”
“ถ้าไม่มีปัญหาใดๆ เราจะเริ่มลงมือในอีกสองชั่วโมง ก่อนถึงเวลานั้น ฉันจะบอกข้อมูลที่พี่อยากจะรู้ก่อน”
“ตกลง” เสิ่นจินเหวินพยักหน้า
“แต่ก่อนหน้านั้น ฉันอยากรู้ว่าทำไมพี่ถึงตอบตกลงที่ทำตามแผนนี้ แม้ว่าพวกเขาจะคุกคามพื้นที่บริเวณนี้อยู่ พี่ที่อยู่ตัวคนเดียวก็สามารถย้ายไปอยู่ที่ไหนกันได้ ไม่จำเป็นต้องมาเสี่ยงชีวิต”
ร่างกายของสวี่จื้อโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยแล้วมองเสิ่นจินเหวินด้วยความสงสัย
เสิ่นจินเหวินหรี่ตาลง และดูลังเล “ฉันแค่ไม่อยากจากที่นี่ไป”
เธอไม่ได้พูดอะไรอีก แต่สวี่จื้อคิดว่ามันเพียงพอแล้ว
ดูเหมือนว่าที่นี่จะเป็นสถานที่พิเศษสำหรับเสิ่นจินเหวิน บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำเธอเลือกจะไม่อพยพออกจากเมืองไป
“เอาล่ะ พี่อยากได้ข้อมูลอะไรบ้าง”
“ข้อมูลเกี่ยวกับพลังของฉัน ความสามารถของมัน และความสำคัญของแก่นพลัง”
เสิ่นจินเหวินไม่สุภาพ และถามคำถามที่สำคัญมากถึงสามข้อในคราวเดียว
สวี่จื้อกะพริบตา และพูดว่า “งั้นก็หลับตาสักพัก เมื่อฉันบอกพี่ค่อยลืมตา”
แม้ว่าเสิ่นจินเหวินจะสับสนเล็กน้อย แต่ตอนนี้เธอรู้สึกไว้วางใจในตัวสวี่จื้อระดับหนึ่ง ดังนั้น เธอจึงเลือกที่จะหลับตาลง
เมื่อเสิ่นจินเหวินหลับตา สวี่จื้อก็ใช้เนตรส่องความลับ เพื่อยืนยันว่าเปลวไฟในหัวใจของเสิ่นจินเหวินนั้นเป็นสีฟ้าอ่อนจริงๆ หรือเปล่า
"พอแล้ว"
เมื่อเสิ่นจินเหวินลืมตาขึ้น สวี่จื้อก็บอกทุกอย่างเกี่ยวกับพลังเหมันต์อย่างละเอียด หลังจากพูดจบ เธอก็ได้เห็นสีหน้าประหลาดใจของเสิ่นจินเหวิน
“พลังของฉันเป็นแบบนั้นจริงๆ เหรอ?”
สวี่จื้อมองแล้วถามว่า “แล้วตอนแรกพี่คิดว่ามันจะเป็นยังไง?”
เสิ่นจินเหวินตอบ “ลม ไฟ น้ำ ไม้ และสายฟ้า อะไรประมาณนี้”
“นั่นก็ดูจะเรียบง่ายเกินไปหน่อย!”
เสิ่นจินเหวินพยักหน้า เมื่อคิดดูแล้วก็เป็นแบบนั้นจริงๆ
“เรื่องพลังฉันได้อธิบายไปแล้ว สำหรับการใช้แก่นพลัง ในตอนนี้ฉันรู้เพียงอย่างเดียวนั่นคือการกินมัน”
“หากทำแบบนั้น มันจะไม่เป็นอันตรายเหรอ?”
“ข้อมูลที่ฉันให้ถือเป็นค่ามัดจำล่วงหน้า หากพี่อยากรู้ส่วนที่เหลือ รอไว้หลังเสร็จงานก่อน”
สวี่จื้อไม่คิดจะบอกข้อมูลทั้งหมดในคราวเดียว ข้อมูลที่เธอบอกไปมากพอแล้วที่จะทำให้ความน่าเชื่อถือในตัวเธอสูงขึ้น และทำให้ความอยากรู้อย่างเห็นในใจของเสิ่นจินเหวินเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ดังนั้นไว้หลังเสร็จงาน ค่อยว่ากันอีกที เธอไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะหักหลังอยู่แล้ว
ที่เธอให้โก้วจื่อตามเสิ่นจินเหวินไป ไม่เพียงเพื่อปกป้อง และให้การช่วยเหลือเท่านั้น แต่ยังให้คอยจับตาดูอีกด้วย