ตอนที่ 17 การปรับปรุงระดับชีวิต
ตอนที่ 17 การปรับปรุงระดับชีวิต
ณ เวลาตีห้าของเช้าวันใหม่ สวี่จื้อตื่นขึ้น หลังมองไปที่เครื่องเกม เธอก็เอ่ยปากถามว่า “ฉันสามารถสั่งการล่วงหน้าได้มั้ยว่าวันๆ หนึ่งต้องการให้แฟมิเลียทำอะไรบ้าง?”
หลังจากคำพูดของเธอจบลง หน้าจอเกมก็ปรากฏคำบรรยาย
[ โปรดพยายามอย่างหนักเพื่อยกระดับแฟมิเลียของคุณ ]
"โอ้"
สวี่จื้อพอเข้าใจความนัยที่สื่อออกมาได้
จากคำตอบนี้ บางทีเมื่อระดับของแฟมิเลียสูงพอ เธอก็ไม่จำเป็นต้องสั่งการผ่านเกมอยู่ตลอดเวลา พวกมันน่าจะจัดสรรเวลาของตัวเองได้?
ถือว่าค่อนข้างดีเลยทีเดียว เมื่อจำนวนแฟมิเลียของเธอเพิ่มขึ้น เธอจะได้ไม่ต้องอยู่บ้าน และเล่นเกมตลอดทั้งวัน
เมื่อมีแฟมิเลียจำนวนมาก การสลับหน้าจอเกมเพื่อสั่งการก็จะยุ่งยากตามไปด้วย เป็นเรื่องดีหากพวกมันสามารถดูแลตัวเองได้ เธอจะได้ไม่ต้องเหนื่อย และต้องทำแค่เฝ้าดูอยู่ข้างๆ
"ต้องเร่งมือ!"
สวี่จื้อรอคอยช่วงเวลาที่เธอจะได้หลุดพ้น และได้นอนราบอยู่เฉยๆ
เมื่อแฟมิเลียทั้งสองกำลังมองหาผลไม้สีดำ สวี่จื้อก็สังเกตผ่านมุมมองของพวกเขาด้วย จากนั้นเธอก็พบว่าร่องรอยของสัตว์ต่างๆ ดูเหมือนจะน้อยลง
เธอยังคงมองไม่เห็นสัตว์ประหลาดเลยแม้แต่ตัวเดียว แต่ต้องขอบคุณการยกระดับของแฟมิเลีย ระยะมองเห็นของเธอจึงเพิ่มมากขึ้น จนได้เห็นร่องรอยของผู้คนจากหน้าจอเกม
ร่องรอยที่เธอพบไม่เหมือนคนบ้าเหล่านั้น แต่เหมือนกับคนปกติที่เดินผ่านหมอกอย่างระมัดระวัง และพยายามคลำทางไปข้างหน้า เมื่อได้ยินเสียงบางอย่าง อีกฝ่ายก็หยุดเดิน และหาที่ซ่อนตัว คนบ้าพวกนั้นไม่มีทางระวังตัวถึงขนาดนี้
แต่สวี่จื้อก็ไม่ได้สนใจมากนัก เขาแค่สั่งให้แฟมิเลียทั้งสองเดินผ่านไป
เมื่อพยายามอย่างหนักก็ได้รับผลตอบแทน และด้วยความพยายามของแฟมิเลียทั้งสอง ในที่สุด สวี่จื้อก็พบผลไม้สีดำอีกครั้ง
เมื่อพบ เธอก็ป้อนมันให้กับเสี่ยวอี้ เป้าหมายของเธอในตอนนี้คือ การยกระดับเสี่ยวอี้ให้ไปถึงเลเวล 20 โดยเร็วที่สุด ด้วยความช่วยเหลือจากผลไม้นี้ เสี่ยวอี้น่าจะยกระดับได้อย่างแน่นอน
หนึ่งชั่วโมงต่อมา เสี่ยวอี้ก็ตื่นขึ้นมา หลังจากดูดซับพลังบางส่วนของผลไม้สีดำเข้าไป
[ แม้ว่าแฟมิเลียของคุณจะแข็งแกร่งขึ้นมากตั้งแต่ครั้งก่อน แต่มันก็ยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะดูดซับพลังทั้งหมดของผลไม้ไร้ชื่อได้ แต่ครั้งหน้า มันก็อาจทำสำเร็จก็เป็นได้ ]
[ งู ( เสี่ยวอี้ ) ( เลเวล 15 ) ]
[ จิตวิญญาณ : 300 ]
[ ร่างกาย : 1400 ]
[ พลัง : คมมีด ]
[ สกิล : พิษ ( เลเวล 6 ) คมเขี้ยว ( เลเวล 4 ) กระหายเลือด ( เลเวล 5 ) เจ้าเล่ห์ ( เลเวล 4 ) แข็งแกร่ง ( เลเวล 5 ) ]
[ สกิลพิเศษ : แปลงกาย ( เลเวล 1 ) ]
[ แต้มวิวัฒนาการ : 3,000 / 4,000 ]
[ ขอแสดงความยินดี แฟมิเลียของคุณมาถึงเลเวล 15 แล้ว และระดับชีวิตของมันได้รับการปรับปรุง ]
[ ขอแสดงความยินดี แฟมิเลียของคุณได้รับสกิลพิเศษ : แปลงกาย ]
[ แปลงกาย : นี่คือความจริงของโลกหรือมายาคติที่ลวงหลอก คุณจะรู้ได้ยังไงว่าสิ่งที่ตนสัมผัสได้นั้นเป็นความจริง ผู้ต้องมนต์สะกดแห่งภาพลวงตาล้วนไม่รู้สึกตัวกันทั้งนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว คุณยังจะเชื่อประสาทสัมผัสของตัวเองได้อยู่หรือเปล่า ]
[ สกิลแปลงกายระดับต่ำทำให้แฟมิเลียเปลี่ยนขนาดร่างกายได้เท่านั้น ใหญ่สุดไม่เกิดสองเท่าของขนาดลำตัวจริงๆ เมื่อสกิลยกระดับขึ้น ความสามารถในส่วนอื่นๆ จะถูกปลดล็อค ]
[ เนื่องจากเหตุผลพิเศษบางประการ คุณจะสามารถดึงสกิลบางส่วนจากแฟมิเลียใต้อาณัติได้ ]
[ จะทำการสุ่มเลือกเลยหรือไม่? ]
“อย่างที่คิด เหตุผลพิเศษที่ถูกพูดถึงนั้นมีสาเหตุมาจากผลไม้สีดำจริงๆ ด้วย”
ผลไม้สีดำช่วยให้เธอดึงสกิลของแฟมิเลียออกมาได้
สวี่จื้อมองไปที่หน้าจอเกม ร่างกายของเสี่ยวอี้ในตอนนี้ใหญ่โตขึ้นมาก ลำตัวของมันก็หนาขึ้นไม่น้อย เกล็ดสีดำก็ส่องแสงแวววาว ด้วยรูม่านตาสีทองที่เย็นชา และน่ากลัว ผู้ที่มองดูอาจจะรู้สึกอึดอัดจนหายใจแทบไม่ออก
“สกิลอื่นๆ ก็ยกระดับขึ้น แล้วยังมีสกิลใหม่อีกด้วย”
เมื่อมาถึงเลเวล 15 เสี่ยวอี้ก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างก้าวกระโดด
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ สกิลพิเศษที่ได้มานั้นเป็นแอคทีฟสกิลที่สามารถใช้งานได้จริง
“แปลงกาย เป็นชื่อที่เรียบง่ายและชัดเจนดี”
ในนอนนี้ดูเหมือนว่า มันจะมีความสามารถไม่มากนัก ทำได้เพียงเปลี่ยนขนาดของร่างกาย แต่ถ้าลองคิดดูดีๆ ก็จะรู้ว่าสกิลนี้มีประโยชน์มากจริงๆ
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีความสามารถอื่นอยู่อีก เมื่อสกิลค่อยๆ ยกระดับขึ้นในอนาคต
สิ่งนี้ทำให้สวี่จื้อคิดถึงเนตรส่องความลับของตัวเอง ซึ่งจะทำให้เธอมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้นเมื่อระดับสกิลเพิ่มสูงขึ้น
นี่หมายความว่าสกิลพิเศษในตอนแรกๆ นั้นถือว่าอ่อนแอที่สุด?
เมื่อผู้ใช้แข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น มันจึงจะแสดงพลังที่แท้จริงออกมา และเปิดเผยให้เห็นถึงศักยภาพ
แล้วถ้าเป็นสกิลพิเศษที่อยู่ในระดับต่ำสุดละ มันจะเป็นยังไง?
เมื่อผู้ใช้แข็งแกร่งขึ้น ก็มีสิทธิ์ที่มันจะไม่แข็งแกร่งขึ้นตามไปด้วย ทุกสิ่งล้วนมีการแบ่งระดับชั้น โอกาสจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
คำถามมากมายประดังเข้ามาในใจของสวี่จื้อ ขณะที่เธอเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับแฟมิเลีย เธอก็เกิดความสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่านี่เป็นหลุมลึกยากจะสำรวจได้ทุกซอกทุกมุม
“ช่างเถอะ ต่อให้คิดจนหัวระเบิดก็คงจะไม่ได้คำตอบ”
เธอส่ายหัว และพับเก็บคำถามเหล่านี้ไว้ชั่วคราว จากนั้นก็ให้เสี่ยวอี้ และโก้วจื่อกลับมาหา จากนั้น เธอวางแผนที่จะขึ้นไปชั้นบนเพื่อคุยกับเสิ่นจินเหวิน
เนื่องจากตอนนี้เสี่ยวอี้ตัวใหญ่เกินไป มันจึงต้องหดตัวลงก่อนจึงจะเข้ามาในตึกได้ หลังจากที่เสี่ยวอี้กลับมา สวี่จื้อจึงมองดูมันแล้วถามว่า “นายสามารถหดตัวได้เล็กสุดแค่ไหน?”
คำบรรยายบอกเพียงว่าขนาดสูงสุดต้องไม่เกินสองเท่าของขนาดร่างกายจริงๆ แต่ไม่ได้บอกว่าหดตัวได้มากแค่ไหน
ดังนั้น ภายใต้การจ้องมองของสวี่จื้อ เสี่ยวอี้จึงหดร่างกายลงอย่างรวดเร็ว จนสุดท้ายก็มีลำตัวกว้างไม่ถึงครึ่งเซน และยาวไม่เกินครึ่งเมตร
เมื่อรวมกับเกล็ดที่ดูแวววาวหลังจากปรับปรุงระดับชีวิต หากมันไม่ขยับ มันก็ดูเหมือนของแกะสลักจนแยกแทบไม่ออก
“หดตัวได้เล็กลงถึงขนาดนี้เลยเหรอ?” สวี่จื้อรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
สวี่จื้อคิดอยู่ครู่หนึ่ง เหยียดมือขวาออกแล้วแบบมือ “ขึ้นมา”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เสี่ยวอี้ก็เลื้อยขึ้นไปบนมือของสวี่จื้ออย่างเชื่อฟัง จากนั้นพันร่างของตัวเองรอบข้อมือของเธอ เมื่อมองแวบแรก หากไม่เห็นว่ามีการเคลื่อนไหว คนอื่นๆ ก็คงจะคิดว่านี่คือสร้อยข้อมือหยกดำ
เมื่อเห็นแบบนี้ มันก็ไม่ต่างจากอาวุธลับที่ใช้ลอบโจมตีถึงตายได้โดยไม่รู้ตัว
สวี่จื้อพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ในขณะที่โก้วจื่อที่อยู่ข้างๆ เธอใช้อุ้งเท้าเกาพื้นด้วยความไม่พอใจ และคร่ำครวญเสียงเบา
สวี่จื้อพอเดาได้ไม่ยากว่ามันกำลังเรียกร้องความเท่าเทียม และต้องการเกาะติดกับตัวเธอด้วย
“แล้วนายทำแบบเสี่ยวอี้ได้หรือเปล่า?”
สวี่จื้อมองดูมันอย่างจริงจังแล้วถาม จากนั้นก็เห็นโก้วจื่อเอียงหัวด้วยความสับสน
เห็นได้ชัดว่ามันทำไม่ได้
“อย่าเลียหน้า และกระโดดทับฉันโดยไม่ได้รับอนุญาต นายยังจำคำสั่งนี้ได้อยู่มั้ย?”
สวี่จื้อพูดอย่างจริงจังอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม โก้วจื่อก็เอียงหัวไปอีกด้านหนึ่งอย่างไร้เดียงสา
ไม่ต้องมีใครบอก สวี่จื้อก็รู้ว่ามันทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับคำพูดของเธอ
เส้นเลือดบนหน้าผากของสวี่จื้อกระตุก แต่เธอก็ต้องอดทน “ฉันรู้ว่านายเข้าใจ อย่าเสแสร้ง!”
“ตามฉันมาแล้วนั่งนิ่งๆ อย่างเชื่อฟัง เข้าใจใช่มั้ย?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ โก้วจื่อที่ยังคงแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจก็รีบลุกขึ้น กระดิกหาง และหมุนเป็นวงกลม จ้องมองสวี่จื้อด้วยความคาดหวัง ราวกับเร่งเร้าให้เธอรีบออกจากห้อง
"เฮอะ" สวี่จื้อยิ้มเยาะ เมื่อรู้ว่าหมาโง่ตัวนี้ยังไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่