ก่อตั้งองค์กรมือสังหารในโลกบำเพ็ญเพียร ตอนที่ 69 เด็กคนนี้แปลกประหลาดยิ่งนั
ก่อตั้งองค์กรมือสังหารในโลกบำเพ็ญเพียร ตอนที่ 69 เด็กคนนี้แปลกประหลาดยิ่งนั
ผู้อาวุโสจางหยิบเหรียญตราสถานะที่เอวออกมา มอบให้กับศิษย์หนุ่มที่สวมชุดของศิษย์โถงบังคับกฎเบื้องหน้าผู้นี้ แม้ว่าใบหน้าจะดูไม่คุ้นเคย แต่...
“เช่นนั้น ผู้อาวุโสผู้นี้ขอตัวก่อน”
ผู้อาวุโสจางก้าวเข้าสู่ความว่างเปล่า หายตัวไปในพริบตา
เมื่อเห็นเช่นนั้น ‘ศิษย์โถงบังคับกฎ’ ที่มีสีหน้าหวาดกลัวเมื่อครู่ ก็พลันเผยรอยยิ้มออกมา
เพียงพริบตา ใบหน้างดงามที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้น
บุคคลผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น นางคือจิ้งจอกพันหน้า
“ลูกแก้วอำพรางที่เจ้าศาลามอบให้ช่างมีประโยชน์ยิ่งนัก แม้แต่ผู้บำเพ็ญระดับบำรุงจิตก็ยังคงไม่สามารถมองเห็นข้าได้”
จิ้งจอกพันหน้ากล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม มือซ้ายกำลังถือลูกแก้วใสสะอาดเอาไว้
“เอาล่ะ ถึงเวลาทำภารกิจแล้ว”
จิ้งจอกพันหน้าหันหลังกลับ ออกจากโถงบังคับกฎ
วันนี้ช่างเป็นวันที่โชคร้ายยิ่งนัก!
……
ขุนเขาหลัก โถงใหญ่
“เรียนท่านเจ้าสำนัก เมื่อครู่นี้ศิษย์ลาดตระเวนทั้งหมดที่ขอบเขตฉางเหิงขาดการติดต่อ!”
ผู้อาวุโสจางมีสีหน้าหวาดกลัวเล็กน้อย มองไปยังหนิงเฟิงเซี่ย
หนิงเฟิงเซี่ยได้ยินเช่นนั้น คิ้วของเขาก็กระตุก
ที่ขอบเขตนิกายฉางเหิงมีค่ายกลระดับนิลขั้นสูงป้องกันเอาไว้ นอกจากคนของสำนักร้อยลี้แล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าใกล้ หรือแม้แต่เข้ามาได้
หากต้องการทำลายค่ายกลนี้ ผู้บุกรุกอย่างน้อยต้องมีตบะระดับบำรุงจิตเจ็ดชั้นฟ้าขึ้นไป
สามารถสังหารศิษย์ลาดตระเวนทั้งหมดที่กระจายอยู่ทั่วทุกสารทิศได้ในพริบตา แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายมีจำนวนไม่น้อย และมีการเตรียมการมาเป็นอย่างดี!
น้ำเสียงของหนิงเฟิงเซี่ยเคร่งขรึมลง “สืบหาได้หรือไม่ ว่าขุมอำนาจใดที่คิดร้ายต่อสำนักร้อยลี้ของพวกเรา”
“เร… เรียนเจ้าสำนัก ตอนนี้ยังไม่สามารถสืบหาได้”
ผู้อาวุโสจางกล่าวด้วยความอับอาย
หนิงเฟิงเซี่ยขมวดคิ้วแน่น กำลังจะกล่าวตำหนิ
แต่เขาก็รู้สึกว่าตอนนี้ไม่เหมาะสม จึงอดกลั้นความโกรธเอาไว้
หันไปมองผู้อาวุโสคนอื่น ๆ
“ผู้อาวุโสหวู่ ผู้อาวุโสฉี การที่อีกฝ่ายสามารถทำลายค่ายกลและลอบเข้ามาได้ แสดงว่าพวกเขามียอดฝีมือระดับบำรุงจิตเจ็ดชั้นฟ้าคอยคุ้มกัน เรื่องนี้ข้าจะมอบหมายให้พวกเจ้าจัดการ”
“ขอรับ”
“น้อมรับคำสั่งของเจ้าสำนัก”
ผู้อาวุโสหวู่และผู้อาวุโสฉีป้องมือ จากนั้นก็หายตัวไปในความว่างเปล่า
หนิงเฟิงเซี่ยมองไปยังผู้อาวุโสจางด้วยสายตาที่จริงจัง “การที่อีกฝ่ายสามารถทำลายค่ายกลได้ เจ้าในฐานะเจ้าโถงบังคับกฎ กลับไม่รู้เรื่องราวใด ๆ ช่างประมาทเลินเล่อยิ่งนัก”
จางหยวนที่ก้มหน้าอยู่ สีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนไป
“แต่ข้าจะให้โอกาสเจ้าไถ่โทษ เจ้าจงนำศิษย์โถงบังคับกฎไปต่อกรกับผู้บุกรุก หากเจ้าทำได้ดี ข้าจะไม่เอาความผิดเจ้าในครั้งนี้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น
จางหยวนที่สีหน้าเศร้าหมองก็พลันดีใจ รีบโค้งคำนับ “ขอบพระคุณเจ้าสำนักที่เมตตา จางหยวนจะสังหารผู้บุกรุกทั้งหมดให้สิ้นซาก!”
จากนั้นจางหยวนก็ถอยออกไป
หลังจากที่จางหยวนจากไป ผู้อาวุโสคนหนึ่งกล่าวขึ้น “เรียนเจ้าสำนัก ข้าคิดว่าผู้บุกรุกครั้งนี้คงจะมีแผนการบางอย่าง พวกเราต้องระมัดระวัง”
หนิงเฟิงเซี่ยพยักหน้า “ผู้อาวุโสลู่กล่าวถูกต้อง เช่นนั้นข้าจะส่งผู้อาวุโสฝ่ายนอกอีกห้าคนไปช่วยเหลือ เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝัน”
“ส่วนศิษย์คนอื่น ๆ ก็ให้พวกเขาเฝ้าประตูทางเข้าแต่ละขุนเขา”
“ขอรับ”
……
“ข้ารู้สึกได้ว่าไม่ไกลจากที่นี่มีปราณวิญญาณอันแข็งแกร่งพวยพุ่งออกมา คาดว่าผู้บุกรุกคงจะอยู่ที่นั่น”
หวู่ชิงกล่าว ใบหน้าที่แก่ชรามีแววตาที่เฉียบคม
“คนผู้นี้ช่างโอหังยิ่งนัก ไม่เพียงแต่ไม่คิดจะปิดบังกลิ่นอาย แต่ยังคงปลดปล่อยออกมาอย่างโจ่งแจ้ง”
ฉีหรงอวี้กล่าวด้วยความโกรธ
เขาเป็นผู้อาวุโสของสำนักร้อยลี้มานานหลายปี ไม่เคยพบเจอผู้ใดที่โอหังเช่นนี้
ไม่กี่นาทีให้หลัง ทั้งสองก็เดินทางมาถึงจุดหมายปลายทาง
“นี่คือผู้ที่ทำลายค่ายกลหรือ?”
หวู่ชิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
สายตาของเขามองไปยังก้อนหินขนาดใหญ่
บนก้อนหินนั้นมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งนอนหลับตาอยู่ ดูเหมือนว่าจะง่วงนอน
เด็กหนุ่มงั้นหรือ?
หวู่ชิงมองดูอีกครั้ง
บุคคลผู้นั้นเป็นเด็กหนุ่มจริง ๆ
ไม่ว่าจะเป็นความสูง รูปร่าง หรือแม้แต่กระดูก ก็ยังคงเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบสามปี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งปราณวิญญาณอันแข็งแกร่งเมื่อครู่ ทำให้ผู้คนยากที่จะเชื่อว่าเป็นของเด็กหนุ่มผู้นี้
ฉีหรงอวี้กล่าวขึ้นอย่างกะทันหัน “ผู้อาวุโสหวู่ นั่น……”
สายตาของทั้งสองมองไปยังเอวของเด็กหนุ่มพร้อมกัน
เหรียญตราโบราณสลักตัวอักษร ‘เร้นลับ’ เอาไว้ ด้านล่างยังคงมีขีดสามขีด ทำให้ผู้คนยากที่จะเข้าใจความหมาย
แต่สำหรับผู้อาวุโสทั้งสองของสำนักร้อยลี้ เหรียญตรานี้ดูคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเห็นรูปสลักผีร้ายบนเหรียญตรา
หวู่ชิงมีสีหน้าเคร่งขรึม “ศาลาสังหารโลหิต!”
“คนผู้นี้ช่างโอหังยิ่งนัก ไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตา ข้าจะดูว่าเขามีความสามารถอันใด!”
ฉีหรงอวี้แค่นเสียงเย็นชา
ร่างกายเคลื่อนไหว
หวู่ชิงยังไม่ทันได้กล่าวสิ่งใด ฉีหรงอวี้ก็หายตัวไปแล้ว
“โจรแห่งศาลาสังหารโลหิต จงมอบชีวิตมาเสีย!”
“ฝ่ามืออัสนีวายุ!”
ฉีหรงอวี้ยื่นมือขวาออกไป
สายฟ้ามากมายปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ
โจมตีไปยังเด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนก้อนหิน ไม่รู้ว่ากำลังหลับใหล หรือทำสิ่งใดอยู่
ตู้ม!
เสียงระเบิดดังขึ้น
หวู่ชิงเบิกตากว้าง เพียงพริบตา ในขณะที่การโจมตีของฉีหรงอวี้กำลังจะสัมผัสกับเด็กหนุ่ม รอบกายของเด็กหนุ่ม ก็มีม่านพลังใสสะอาดปรากฏขึ้น
การโจมตีของฉีหรงอวี้สัมผัสกับม่านพลังนั้น ร่างกายของเขากลับถูกแรงสะท้อนจนกระอักโลหิตออกมา และกระเด็นออกไป ล้มลงบนต้นไม้ไม่ไกล
ฉีหรงอวี้ยืนขึ้นอย่างยากลำบาก ตอนนี้เขาดูอ่อนแอและน่าสมเพช
ไม่เหลือเค้าโครงของยอดฝีมือเช่นเดียวกับก่อนหน้านี้
“นี่มันวิชาอันใดกัน?”
ฉีหรงอวี้ใช้มือซ้ายพยุงมือขวาที่บิดเบี้ยว กล่าวด้วยความโกรธแค้น
ณ เวลานั้น
อืม
เสียงครางเบา ๆ ดังขึ้น
เด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนก้อนหินค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ใช้มือขวาขยี้ตา
“กำลังงีบหลับสบาย ๆ สักหน่อยแท้ ๆ จากเสียงเมื่อครู่คงจะมีคนมา”
เด็กหนุ่มหันกลับไปมองรอบด้าน
สุดท้ายสายตาของเขาก็จับจ้องไปยังหวู่ชิงที่อยู่บนท้องฟ้า และฉีหรงอวี้ที่อยู่บนพื้นดิน
“พวกเจ้าคงจะเป็นคนที่มารบกวนการนอนหลับของข้า”
หวู่ชิงและฉีหรงอวี้สั่นสะท้าน ราวกับถูกสัตว์ร้ายจ้องมอง
“ผู้อาวุโสหวู่ เด็กคนนี้แปลกประหลาดยิ่งนัก ตอนที่ข้ากำลังจะโจมตีเขา รอบกายของเขากลับปรากฏม่านพลังประหลาดขึ้นมา”