บทที่ 61 ลางร้าย
บทที่ 61 ลางร้าย
ท้องฟ้ามืดลงเรื่อยๆ
ความมืดปกคลุมหมู่บ้านสกุลเฉินในยามค่ำคืน
หยางเฉิงอันผลักประตูกลับบ้าน
แล้วปิดประตูและเสียบสลัก
หลังจากที่เขาล็อกประตูแล้ว ก็หันไปมองบ้านที่มืดมิด ไม่มีแสงไฟสักดวง แม้ว่าหยางเฉิงอันจะเป็นเด็กชายวัยเพียงสิบขวบ แต่เขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างคนเฒ่า
"ท่านพ่อกับท่านแม่นอนกันแต่เช้า เพราะเหนื่อยเกินไปเลยลืมจุดตะเกียงหรือเปล่านะ?"
หยางเฉิงอันปัดฝุ่นออกจากมือ แล้วใช้แสงสุดท้ายก่อนมืดค่ำค่อยๆ เดินไปยังบ้านที่มืดมิด
ในบริเวณบ้านที่ว่างเปล่า เสียงฝีเท้าของเขาดังกังว้างและเงียบเหงา
"ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้ว"
เขาตะโกนเรียกหาพ่อแม่ของเขา
แต่ในบ้านที่มืดมิด ไม่มีใครตอบกลับ
"ท่านพ่อ ท่านแม่ กินข้าวกันหรือยัง?"
"ขเหิวแล้ว" "วันนี้บ้านเราจะกินอะไรกัน"
ในหมู่บ้านที่มืดมิดและว่างเปล่า ไม่มีใครตอบกลับ
หยางเฉิงอันดูเหมือนจะคุ้นเคยกับความเงียบเหงาเช่นนี้แล้ว เขาจึงเดินไปยังครัวเพื่อหาอาหารกินคนเดียว
หยางเฉิงอันเดินเข้าไปในครัวที่มืดมัว เขาควานหาในความมืด เอาเก้าอี้เล็กมาวาง แล้วปีนขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ค่อยๆ เปิดฝาหม้อที่อยู่ในความมืด
หยางเฉิงอันยิ้มอย่างมีความสุข
ในหม้อมีข้าวที่พ่อแม่ตั้งใจเหลือไว้ให้เขาก่อนนอน
หยางเฉิงอันยืนบนเก้าอี้เล็ก ยื่นตัวไปข้างหน้า เพื่อตักข้าวในหม้อ
แต่ข้าวเย็นชื่นแล้ว
ข้าวที่เคยอุ่นๆ เย็นชืดหมดแล้ว
หยางเฉิงอันถอนหายใจ เพราะนานมากแล้วที่ไม่ได้กินข้าวอุ่นๆ ร่วมกับพ่อแม่ การกินข้าวเย็นๆ ทำให้เขารู้สึกน้อยใจ
เขาถือชามข้าวมากินที่หน้าประตูครัว โดยใช้แสงสุดท้ายในตอนค่ำ
ทว่า
ข้าวเย็นเพิ่งเข้าปากไป หยางเฉิงอันก็ขมวดคิ้ว
"ข้าววันนี้นี่มันเปรี้ยวจัง..."
แต่หยางเฉิงอันก็ยังกินต่ออย่างเอร็ดอร่อย
ในแสงสุดท้ายก่อนมืดสนิท เผยให้เห็นชัดว่าข้าวแข็งและมีราขึ้นหลายสี มีมันหมูวางทับอยู่
.....
.....
"น้องชายเอ๋ย พูดแล้วก็แปลกนะ เสียงเด็กชายคนนั้นชัดเจนว่ามาจากตรงหัวมุมนี่แหละ แต่พอเราตามมาถึงที่นี่ คนกลับหายไปซะแล้ว"
"ก็ไม่รู้เหมือนกันว่านี่มันคนหรืออะไรกันแน่"
ที่หมู่บ้านสกุลเฉิน บริเวณทางแยกแห่งหนึ่ง มีผู้อาวุโสลัทธิเต๋าสวมรองเท้าผ้า สร่างผ้าขึ้น เผยให้เห็นขนขา และยังสวมจีวรเต๋าอยู่ ยืนอยู่ที่ทางแยกด้วยท่าทางแปลกๆ แล้วหันไปพูดกับจินอันด้วยสีหน้าสงสัย
"น้องชายเอ๋ย ตอนนี้ก็มืดแล้ว จะออกไปตามหาแบบไม่มีจุดหมายก็ไม่ใช่เรื่องดี พวกเราลองหาที่หลบซ่อนเงียบๆ แล้วรออยู่ดีกว่าไหม"
"หากมือปราบกับพวกเขาติดอยู่ในหมู่บ้านนี้จริง พวกเขาก็ต้องส่งเสียงออกมาบ้างแหละ"
"มันจะดีกว่าการที่เราจะวิ่งหาไปเรื่อยเปื่อยเหมือนมดงานไร้หัว"
จินอันคิดตามแล้วเห็นด้วยกับผู้อาวุโสลัทธิ้เต๋าจึงตัดสินใจหาบ้านพักอาศัยแถวทางแยกนี้ก่อน
"น้องชาย ทำไมเราไม่เลือกไปพักที่เรือนหลังใหญ่ที่ดูดีกว่าล่ะ"
"ข้าเป็นนักพรตเร่ร่อนมาทั่วสารทิศ ปกติก็มักจะพักตามศาลเจ้าเล็กๆ น้อยๆ มาทั้งชีวิต ยังไม่เคยได้พักในเรือนใหญ่เลย"
"ถึงแม้ที่นี่จะเป็นเหมือนเมืองของคนตาย บ้านเรือนก็เป็นเหมือนสุสาน แต่ถึงยังไงเศษเนื้อเศษหนังของมดก็ยังมีค่า เรือนใหญ่ก็ยังดีกว่าไม่มีที่พัก"
ผู้อาวุโสลัทธเต๋าชี้ไปที่เรือนหลังใหญ่ที่เงียบสงบอีกหลัง ซึ่งดูเหมือนจะปลอดภัย เพราะไม่ได้ยินเสียงอะไรผิดปกติ
"เรือนใหญ่ซับซ้อนเกินไป ไม่สะดวกในการเฝ้าระวัง"
"หากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้นมาแล้วเราช่วยคนอื่นไม่ทัน หรือหนีออกมาไม่ทันล่ะ" จินอันเหลือบมองไปที่เรือนไหนใหญ่ที่ผู้อาวุโสลัทธิเต๋าชี้ แล้วหันกลับมา
"หากเจ้าอยากอยู่คนเดียวในเรือนผีสิงก็ตามใจ ข้าจะไม่ยุ่ง"
ผู้อาวุโสลัทธิเต๋าหน้าแดงเมื่อถูกจินอันว่าอย่างนั้น แต่ก็ยังคงตามจินอันไปอย่างหน้าด้านๆ
จินอันลองเปิดประตูบ้านเรือนหลังต่อหลัง จนกระทั่งเจอบ้านหลังหนึ่งที่ไม่ได้ล็อก
คืนนั้น
เวลาดึกมากแล้ว
จินอันและผู้อาวุโสลัทธิเต๋าตรวจสอบห้องรอบด้าน พบว่าไม่มีอันตรายซ่อนอยู่ จึงตัดสินใจพักที่นี่
แต่เพื่อไม่ให้เป็นเป้าสายตาและดึงดูดอันตรายมา ทั้งสองจึงไม่ได้จุดไฟหรือเทียนไข
แต่กลับต้องคลำหาทางในความมืดมิด
โชคดีที่จินอันฝึกวิชาการต่อสู้มา ทำให้ประสาทสัมผัสทางสายตาดีกว่าคนทั่วไป ถึงแม้จะอยู่ในที่มืด เขาก็ยังพอจะมองเห็นวัตถุรอบตัวได้บ้าง
ค่ำคืนเข้าสู่ความมืดมิดมากขึ้น
ในห้องที่ทั้งสองคนซ่อนตัวอยู่นิ่งๆ
ซึก ซึก ซึก ซึก--
ในความมืด มีเสียงเสียดสีกัน
" เจ้ากำลังทำอะไรอยู่เนี่ย?"
"ซ่อนตัวอยู่ในความมืดแล้วคลำๆ หาอะไรอยู่เนี่ย"
จินอันที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้าต่าง โดยมีดาบวางอยู่บนขา เพื่อเฝ้าระวังนั้น รู้สึกรำคาญที่ผู้อาวุโสลัทธิเต๋ามาทำให้เสียสมาธิ จึงจ้องมองไปที่ผู้อาวุโสลัทธิเต๋าในความมืด
ในความมืดมิด ผู้อาวุโสลัทธิเต๋าตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักว่า "น้องชาย ข้ารู้สึกไม่สบายใจเลยนะ เลยจะหยิบพู่กันและหมึกจากกระเป๋าใส่ของมาเขียนอักขระเลขยันต์ป้องกันภูติผีปีศาจที่ประตูหน้าต่างเผื่อว่าจะถูกพวกมันรบกวน"
"แต่สุดท้ายข้าก็พบว่าในความมืดมิดนี้ ข้าเหมือนคนตาบอดที่กำลังข้ามแม่น้ำเลยหาที่เขียนไม่ได้ เลยต้องเก็บพู่กันกับหมึกกลับเข้าไปในกระเป๋า"
หลังจากนั้นห้องก็เงียบลงอีกครั้ง
แต่ยังไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงดัง "ครืดดดครืดดด"
ในห้องที่เงียบสงบในยามค่ำคืน มีเสียงดังแหลมๆ เหมือนเล็บข่วนวัตถุแข็ง
"เจ้ากำลังทำอะไรอยู่เนี่ย?"
ในความมืดจินอันลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
แต่ผู้อาวุโสลัทธิเต๋ากลับทำหน้าเศร้าและพูดเสียงเบาๆ ว่า "น้องชาย คราวนี้ไม่ใช่ข้าทำเสียงนะ เสียงมันมาจากใต้ที่นอนของข้า"
ตอนนั้นใบหน้าของผู้อาวุโสลัทธิเต๋าแสดงออกถึงความรู้สึกต่างๆ มากมาย
เขาเหมือนนั่งอยู่บนเข็ม รู้สึกไม่สบายใจและกลัวมาก จึงมองไปที่จินอันเพื่อขอความช่วยเหลือราวกับจะพูดว่า "ใต้ที่นอนของข้ามีคนอยู่!"
ครืดดดครืดดด......
เสียงเล็บข่วนยังคงดังอยู่
คราวนี้จินอันตั้งใจฟัง
เสียงเล็บข่วนนั้นมาจากใต้ที่นอนที่ผู้อาวุโสลัทธิเต๋านั่งอยู่จริงๆ
"นี่มันอะไรกันวะ?"
"ตาเฒ่าหลีกไป!"
ชิ้ง!
จินอันชักดาบออกมา จับขอบเตียงด้วยมือซ้าย แล้วใช้แรงแขนข้างเดียวพลิกเตียงไม้หนักหลายสิบกิโลขึ้นมา มือขวาที่ถือดาบก็เกร็งพร้อมจะฟันสิ่งที่อาจจะโผล่ออกมาจากใต้เตียง
แต่ทันทีที่จินอันพลิกเตียงขึ้นมา เสียงเล็บข่วนก็หายไป ใต้เตียงว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย
ทว่า
แต่จินอันกลับพบว่าใต้เตียงเต็มไปด้วยยันต์สีเหลืองป้องกันภูติผีจำนวนมาก
มีอยู่ไม่ต่ำกว่ายี่สิบถึงสามสิบแผ่น เกือบเต็มพื้นที่ใต้เตียง
"ขอให้เทพเจ้าทั้งสามองค์โปรดเมตตา!"
"นี่มันเป็นลางร้าย!"
ผู้อาวุโสลัทธิเต๋าหายใจเข้าลึก
(จบบท)