ตอนที่ 16 สกิลพิเศษของสวี่จื้อ
ตอนที่ 16 สกิลพิเศษของสวี่จื้อ
หลังจากสั่งให้แฟมิเลียทั้งสองกลับมา สวี่จื้อก็เปิดคลังเก็บของ และคลิกที่แกนพลังสีแดงอ่อน เมื่อมันอยู่ในมือ เธอก็อยากรู้ว่ามันคืออะไร
หลังจากคลิกดู คำๆ หนึ่งปรากฏขึ้นข้างๆ ‘หัวใจ’
"หัวใจ?"
เป็นชื่อที่ทำให้งงจริงๆ
หลังจากคลิกอย่างชำนาญเพื่อทำความเข้าใจ ความรู้เกี่ยวกับแก่นพลังหัวใจก็ปรากฏบนหน้าจอเกม
[ หัวใจ : สัญลักษณ์แห่งชีวิตนิรันดร์ และการสืบสาน ]
[ มันคือหลักการแห่งชีวิต ความอยู่รอด การปกป้อง เป็นดั่งเสียงบรรเลงอันไร้ที่สิ้นสุด ต้องให้ต้องพบเจออันตราย และความทุกข์ยากเพียงใด ตราบใดที่ยังมีความมุ่งมั่น เสียงก็จะไม่มีวันดับลง ]
“ว้าว”
เมื่ออ่านแล้ว สวี่จื้อก็รู้สึกสนใจอย่างยิ่ง
นี่เป็นคำอธิบายเชิงบวกที่สุดในบรรดาแก่นพลังที่เธอเคยได้เห็นมา
หลังจากอ่านคำอธิบายแล้ว สวี่จื้อก็พอจะเข้าใจว่าทำไมพลังนี้จึงถูกเรียกว่า ‘หัวใจ’
“จากที่เห็น มันน่าจะมีประโยชน์กับร่างวิญญาณ”
ด้วยแก่นพลังหัวใจ เมื่อสร้างร่างวิญญาณ เธออาจมีโอกาสได้รับสกิลที่ช่วยในการปกป้อง และเอาตัวรอด เมื่อเป็นแบบนั้น โอกาสรอดของเธอก็จะเพิ่มสูงขึ้น
แต่ยังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงเรื่องนั้นในตอนนี้ และเธอไม่มีความคิดที่จะใช้สร้างร่างวิญญาณใหม่
ในตอนนี้ เธอได้รับแก่นพลังมาถึงสี่แบบแล้ว และมีความเข้าใจเล็กน้อยเกี่ยวกับการใช้งานพวกมัน สวี่จื้อจึงวางแผนที่จะแลกเปลี่ยนสิ่งนี้กับเสิ่นจินเหวินในวันพรุ่งนี้ เพื่อทำให้อีกฝ่ายตอบรับคำขอ
เมื่อยามค่ำคืนมาถึง แม้ว่าโก้วจื่อจะจ้องมองเธอด้วยสายตาที่โหยหา และทำตัวน่ารัก แต่สวี่จื้อยังเลือกที่จะให้เสี่ยวอี้กินแก่นพลังคมมีดทั้งหมดไป
ไม่ใช่ว่าเธอชอบเสี่ยวอี้มากกว่า สวี่จื้อแค่ใช้หลักเหตุผลในการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด
อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นโก้วจื่อแสดงท่าทางผิดหวัง สวี่จื้อก็ยังคงหยุดอยู่ครู่หนึ่งหลังจากคิดสักพัก เธอก็ยื่นมือออกไปลูบหัวมัน แน่นอนว่าวินาทีต่อมา มันก็หายเศร้าอย่างรวดเร็ว กระดิกหาง และพยายามจะเลียหน้าเธออีกครั้ง
“หมาทุกตัวเป็นแบบนี้กันหมดเหรอ?”
สวี่จื้อผลักร่างของโก้วจื่อออกไปอย่างยากลำบาก และสาบานในใจอย่างลับๆ ว่าจะไม่ลูบหัวมันอีก
หลังจากเอาใจโก้วจื่อแล้ว สวี่จื้อก็หยิบแก่นพลังมอธอีกสองก้อนออกมา
"ขอร้องล่ะ ขอสกิลพิเศษสักอันหนึ่งเถอะ!"
บางที การอธิษฐานก็ส่งผล หลังจากกินแก่นพลังทั้งสองก้อน ภาพฝันที่สวี่จื้อเห็นก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง
ทั้งแสงเทียน และโลกรอบๆ ยังคงเหมือนเดิม แต่ก็มีบางสิ่งที่ต่างออกไป…
ผีเสื้อกลางคืนตัวหนึ่งทำตัวแปลกๆ มันไม่บินไปหาแสงเทียน แต่กลับมาอยู่ตรงหน้าเธอ
สวี่จื้อมองใกล้ๆ และพบว่าผีเสื้อกลางคืนตัวนั้นดูแตกต่างจากผีเสื้อตัวอื่นๆ เล็กน้อย พูดง่ายๆ ก็คือ ลายบนปีกของมันมีความละเอียดอ่อนกว่าอย่างเห็นได้ชัด
มันลังเลอยู่ตรงหน้าสวี่จื้อสักพักหนึ่ง จากนั้นก็กระพือปีกเพื่อวาดเส้นโค้งที่ทำให้อากาศสั่นไหว ในที่สุดมันก็บินมาเกาะที่ปลายจมูกของเธอ จากนั้นก็กระพือปีกอย่างแผ่วเบา และกลายเป็นริ้วแสงสีเทา พุ่งเข้าไปในร่างกายของสวี่จื้อ
ด้วยความงุนงง สวี่จื้อดูเหมือนจะเห็นแสงเทียนที่ส่องประกายระยิบระยับค่อยๆ ชัดเจนขึ้น แต่ก่อนจะได้เห็นอะไรมากกว่านั้น ภาพฝันก็สลายไป
สวี่จื้อรู้สึกสับสนเล็กน้อย เธอไม่มีประสบการณ์มากนักกับการเปลี่ยนแปลงของภาพลวงตา ดังนั้นเธอจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
โชคดีที่เธอยังมีเครื่องเกมอยู่!
สวี่จื้อก้มหัวลง และมองตรงไปที่หน้าจอเกม แน่นอนว่าคำบรรยายใหม่ก็ปรากฏขึ้น
[ ในอดีต เคยมีบางคนที่สามารถปลดปล่อยวิญญาณของตนจากพันธนาการของร่างกาย ข้ามจากโลกวัตถุ และทะเลแห่งความฝันไปถึงที่พำนักของสุริยันได้ และได้รับสิ่งที่พวกเขาแสวงหาจากอีกฟากหนึ่งของความฝันอันยิ่งใหญ่ ]
[ แต่ทุกวันนี้ หายสิ่งได้สูญหายไป สะพานเส้นทางพังทลายลงไปตามกาลเวลา แม้จะมีบางคนข้ามทะเลแห่งความฝันได้ และยังเป็นเรื่องยากมากที่จะไปถึงที่พำนักของสุริยัน ]
[ ตอนนี้ คุณได้เริ่มก้าวแรกแล้ว แม้จะทำผิดพลาด และหลงทางไปบ้าง แต่นี่ก็เป็นทางเลือกที่คุณตัดสินใจด้วยตัวเอง ]
[ พลังนี้เหมาะสมกับตัวคุณหรือไม่ คุณย่อมรู้ดียิ่งกว่าใคร ]
[ ขอแสดงความยินดี คุณได้รับสกิลพิเศษ ‘เนตรส่องความลับ’ ]
[ ระดับพลัง และระดับของสกิลมีความสอดคล้องกัน ยิ่งเป็นสกิลพิเศษที่ทรงพลังมากเท่าไรก็ยิ่งต้องการพลังที่ค่อยสนับสนุนมากขึ้นเท่านั้น และเนตรส่องความลับ ก็ไม่ได้อ่อนแอ ]
[ เนตรส่องความลับ : เมื่อคุณใช้พลัง ไม่มีความลับใดสามารถเล็ดลอดจากสายตาของคุณได้ ]
[ ความลับถูกแบ่งออกเป็นหลายระดับ เมื่อพลังของคุณเพิ่มสูงขึ้น คุณจะได้มองผ่านม่านหมอกไปได้ไกลขึ้นเท่านั้น ]
[ แต่จงจำไว้ มีหลายสิ่งที่ทรงพลัง ไม่ยอมต่อการยั่วยุแม้เพียงเล็กน้อย จงใช้มันอย่างระมัดระวัง ไม่งั้นคุณอาจได้พบกับการโต้ตอบที่รุนแรงถึงตาย ]
“ฉันทำอะไรผิดไปเหรอ?”
สวี่จื้อรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ในเมื่อไม่มีใครคอยสอน การที่เธอจะหลงทาง และทำผิดพลาดไปบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
แค่ได้รับสกิลพิเศษ เธอก็ดีใจมากแล้ว แม้จะเสียใจอยู่เล็กน้อย แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย
“เนตรส่องความลับ แล้วมันใช้สกิลนี้ได้ยังไง?”
สวี่จื้อขมวดคิ้วเล็กน้อย และพยายามตรวจสอบร่างกาย และค้นพบความแตกต่างบางอย่างได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเธอเพ่งความสนใจไปที่ดวงตาของตัวเอง เธอรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งที่ยากจะอธิบายเป็นคำพูดอยู่
เธอไม่สามารถบรรยายได้ว่ารู้สึกอย่างไร มันเปรียบเสมือนเลือดในร่างกายของเธอซึ่งให้พลังแก่ตัวเธออย่างต่อเนื่อง มันให้ความรู้สึกเหมือนอวัยวะที่ติดตัวเธอมาตั้งแต่เกิด แต่ก็ไม่ทรงพลังนัก อยู่ได้เพียง 3 วินาทีเมื่อแนบติดกับดวงตาเท่านั้น
สวี่จื้อพยายามลืมตา และมองไปที่โก้วจื่อ เธออยากทดสอบดู แต่ก็ยังระวังจากคำเตือน เธอจำมันได้ขึ้นใจ และไม่ต้องสงสัยเลยว่าเครื่องเกมนั้นมีความลับบางอย่างๆ แน่นอน เธอไม่อยากฆ่าตัวตายในตอนนี้
ในสายตาของเธอ โก้วจื่อมีรูปลักษณ์ภายนอกเหมือนเดิม แต่มีเปลวไฟสีเหลืองอ่อนจุดประกายอยู่ในตำแหน่งหัวใจของมัน สีนั้นเหมือนกับสีของแก่นพลังคมมีดทุกประการ
ดูเหมือนว่าตอนนี้เธอสามารถใช้เนตรส่องความลับเพื่อส่องดูพลังในตัวของสิ่งมีชีวิตได้ นี่เป็นสิ่งที่ทำให้เธอประหลาดใจจริงๆ เห็นได้ชัดว่าสิ่งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง หากเธอรู้ก่อนว่าอีกฝ่ายมีพลังอะไร เธอก็จะได้เปรียบเป็นอย่างมาก และนี่เป็นเพียงความลับพื้นฐานเท่านั้น หากเธอแข็งแกร่งขึ้น สิ่งเธอจะได้เห็นจะมากยิ่งกว่านี้
สวี่จื้อพยายามมองส่วนอื่นในตัวของโก้วจื่อ แต่ก็เห็นเพียงหมอกสีเทาที่ปกคลุมอยู่เท่านั้น เมื่อผ่านไปสามวินาที พลังในร่างกายของเธอก็หมดลง และสายตาของเธอก็กลับมาเหมือนปกติ
ความรู้สึกอ่อนแอเหมือนกับตอนที่เธอป่วยหนักก็ประดังเข้ามาจากทุกส่วนของร่างกาย มันเป็นความรู้สึกอ่อนล้าที่ราวกับมีหินก้อนใหญ่กดทับ
ถ้าเขาเป็นคนอื่นๆ พวกเขาคงจะรู้สึกอึดอัดกับความรู้สึกนี้ แต่สำหรับสวี่จื้อ เธอเคยชินกับมันแล้ว
จากนั้น เธอก็วางเครื่องเกมลงด้วยสีหน้าราบเรียบ เอาผ้าห่มคลุมตัว และหลับไป แม้จะรู้สึกไม่สบายตัวก็ตาม
นี่คือเรื่องปกติที่เธอต้องเผชิญตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน มันเกิดความชินชาไปแล้ว
ก่อนจะหลับไป สวี่จื้อคิดอย่างคลุมเครือ
“ดูเหมือนจะต้องเก็บแก่นพลังมอธไว้เป็นแหล่งพลังสำรองในอนาคต”
เธอจะใช้แก่นพลังเพื่อกู้คืนพลังที่ถูกใช้ไปหลังจากใช้สกิลเนตรส่องความลับ
สุดท้ายแล้ว ถ้าเลี่ยงได้ก็ไม่มีใครอยากเผชิญกับความรู้สึกเหนื่อยล้า และไม่สบายตัว