ตอนที่ 15 เสียงประกาศจากโรงเรียนมัธยมหยุนเฉิง
ตอนที่ 15 เสียงประกาศจากโรงเรียนมัธยมหยุนเฉิง
ผีเสื้อกลางคืนสีเทาจำนวนนับไม่ถ้วนกระพือปีกอยู่รอบตัวเธอ และผงสีเทาก็ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า ด้วยความงุนงง สวี่จื้อรู้สึกว่าตัวเธอเองนั้นขยับเข้าใกล้แสงเทียนที่อยู่บนท้องฟ้ามากขึ้นอีกเล็กน้อย
นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงเพียงน้อยนิดที่ยากจะเห็นด้วยตาเปล่า แต่สวี่จื้อกลับมั่นใจว่าตัวเองได้ขยับเข้าใกล้มากขึ้นอย่างอธิบายไม่ได้
เธอต้องการก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว และเข้าใกล้ให้มากขึ้นอีกโดยไม่รู้ตัว แต่ทันทีที่เธอมีความคิดนี้ เธอก็นึกขึ้นได้ทันทีว่าก่อนที่จะกินแก่นพลังลงไป เธอได้เตือนตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้ควบคุมสติของตัวเองให้ดี
สวี่จื้อจึงหลุดพ้นจากความคิดที่อยากจะเข้าใกล้แสงเทียน และตระหนักก็ว่าตัวเองนั้นกำลังยืนอยู่ในปราสาทสีเทาบนท้องฟ้า ถนนที่อยู่ใต้เท้าของเธอนั้นเต็มไปด้วยซากศพของผีเสื้อกลางคืนจำนวนนับไม่ถ้วน หากเธอก้าวไปอีกแม้แต่ก้าวเดียว เธอก็จะร่วงลงมาจากกลางอากาศ
ทันทีที่ สวี่จื้อตื่นขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ เธอก็หลุดพ้นจากความฝันที่น่ากลัวนั้นได้
หลังจากที่สวี่จื้อฟื้นคืนสติ เธอก็นึกถึงเหตุการณ์ในตอนนั้น และไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเธอถึงมีความหลงใหลต่อแสงเทียนนั้นเป็นอย่างมาก
"นี่มันอันตรายจริงๆ"
สวี่จื้อยกมือถูขมับเล็กน้อย หลังจากสงบสติอารมณ์ได้สักพัก เธอก็หยิบหนังสือบนโต๊ะขึ้นมาอ่านต่อ
อย่างไรก็ตาม หลังจากอ่านไปได้เพียงครึ่งชั่วโมง จู่ๆ เธอก็ได้ยินเสียงแปลกๆ ดังมาจากข้างนอก
มีคนตะโกนอะไรบางอย่างผ่านลำโพง เสียงนั้นเริ่มดังขึ้นจากระยะไกล จึงไม่ได้ยินไม่ค่อยชัด แต่มันก็ค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
แม้จะเสียงจะไม่ได้ดังก้อง แต่เมื่อคิดถึงสถานการณ์ในเมืองแล้ว นี่มันผิดปกติจริงๆ
“ใครกัน? ไม่กลัวตายหรือยังไง ถึงได้กล้าทำแบบนี้”
มนุษย์ส่วนใหญ่ที่ยังมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้พยายามซ่อนตัว ใครจะกล้าทำตัวเย่อหยิ่งถึงขนาดนี้?
เว้นแต่อีกฝ่ายจะไม่ใช่มนุษย์
สวี่จื้อเลิกคิ้วเล็กน้อย วางหนังสือลงแล้วเดินไปที่หน้าต่าง เธอไม่ได้เปิดหน้าต่าง แต่พยายามตั้งใจฟังเสียงที่เล็ดลอดเข้ามา
เสียงจากลำโพงด้านนอกค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ อีกฝ่ายกำลังเข้าใกล้ย่านเมืองเก่า และสวี่จื้อ ได้ยินเนื้อหาที่ดังมาจากลำโพงในที่สุด
"พลเมืองทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่ โปรดฟังทางนี้ เมืองแห่งนี้ถูกปิดตายแล้ว แล้วยังมีภัยคุกคามจากสัตว์กลายพันธุ์ และสัตว์ประหลาดอยู่ทั่วไปหมด หากเราไม่รวมตัวกัน เราก็คงจะไม่มีโอกาสรอด!"
"ตอนนี้ คณะครู และนักเรียกจากโรงเรียนมัธยมหยุนเฉิงได้ร่วมมือกันเพื่อสร้างฐานลี้ภัย โรงอาหารของเรามีอาหารมากมายเก็บเอาไว้ และมีผู้ปลุกพลังที่จะช่วยออกไปค้นหาเสบียง และคอยปกป้องทุกคน!”
"โรงเรียนมัธยมหยุนเฉิงยินดีต้อนรับมนุษย์ทุกคน และเราไม่คิดจะร้องขอสิ่งใดเป็นการตอบแทน เราแค่หวังว่าทุกคนที่ได้ยินเสียงจะมารวมตัวกันเพื่อที่จะช่วยเหลือกันให้ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้!"
ข้อความนี้เปิดผ่านลำโพงซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้จบ และรถที่บรรทุกลำโพงก็ขับช้าๆ ไปรอบๆ ชุมชนแล้วจากไป มุ่งหน้าไปที่อื่นๆ ต่อ
“เฮอะ” สวี่จื้อยืนอยู่หน้าหน้าต่างแล้วหัวเราะเบา ซึ่งดูเหมือนจะประชดเล็กน้อย
นั่นมันฐานลี้ภัยที่ไหนกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นกับดักที่ถูกวางเอาไว้
แต่บางที อาจมีคนถูกหลอก ท้ายที่สุด ภัยพิบัติเกิดขึ้นยังไม่ถึงเดือน และหลายคนยังคงซ่อนตัวอยู่ที่บ้าน และความคิดของพวกเขาก็ยังคงไม่เปลี่ยนไปมากนัก คงจะมีคนโง่ไม่น้อยที่ต้องการคว้าฟางช่วยชีวิตเส้นนี้เอาไว้
การออกอากาศครั้งนี้หลอกลวงผู้ที่มืดบอดด้วยความกลัว และปรารถนาที่จะรวมตัวกับคนที่มีความคิดเหมือนๆ กัน
แม้ว่าตอนแรกๆ พวกเขาจะไม่เชื่อ แต่เมื่อสูดไอหมอกมาเป็นเวลานาน สุขภาพจิตก็จะได้รับผลกระทบ ทำให้ขาดความระวังต่ออันตราย และต้องการความรู้สึกปลอดภัยจากการรวมตัวกับคนหมู่มาก
แต่ผู้ที่อยู่บ้าน และไม่ได้ไปโรงเรียนมัธยมหยุนเฉิงหลังจากได้ยินเสียงประกาศจากรถคันนี้โดยพื้นฐานแล้วคือ ผู้คนที่ยังรักษาสุขภาพจิตของตัวเองไว้ได้
“เหมือนคนบ้าพวกนั้นอยากเก็บเกี่ยวผู้คนที่ค่อยๆ สูญเสียสติให้ได้มากที่สุด?”
สวี่จื้อรู้สึกแย่ เพราะเธอไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมคนบ้าเหล่านั้นถึงต้องการฆ่าคนที่ยังมีสติเหลืออยู่ขนาดนั้น
หรือพวกเขาจะได้อะไรจากการฆ่าคน?
ไม่ก็บางทีพวกเขาอาจได้รับผลกระทบจากหมอก และสติฟั่นเฟือนไปแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงบ้าคลั่ง และต้องการฆ่าทุกคนที่เห็น?
แล้วจะเกิดอะไรขึ้น หลังจากที่ผู้คนจำนวนมากถูกฆ่าตาย?
เธอไม่เชื่อว่าคนบ้าเหล่านั้นจะปล่อยใครให้รอดออกไปได้
แน่นอนว่าสวี่จื้อไม่มีความตั้งใจที่จะเสี่ยงชีวิตเพื่อคนอื่นๆ และเธอก็ไม่อยากสนใจคนที่ถูกหลอกด้วย แค่เรื่องที่สัตว์ประหลาดมากมายรวมตัวอยู่ใจกลางเมืองก็ทำให้เธอปวดหัวมากแล้ว หากรวมคนบ้านั้นที่ไล่ล่า และสังหารผู้คน เมืองนี้ก็อันตรายเกินไปแล้ว
ไม่สิ จะปล่อยไปไม่ได้!
สีหน้าของสวี่จื้อมืดมน หากมีโอกาสเธอต้องหาทางจัดการคนบ้าเหล่านี้ให้สิ้นซาก
เพราะเธอไม่อาจหนีไปไหนได้ เมืองนี้ถูกปิดตายเอาไว้ แล้วยิ่งปล่อยคนพวกนั้นนานเท่าไหร่ก็ยิ่งอันตรายมากขึ้นเท่านั้น
สำหรับการคาดหวังให้ใครสักคนก้าวออกมาแก้ปัญหา นั่นยิ่งกว่าฝันกลางวันเสียอีก
สวี่จื้อรู้ดีว่าไม่มีใครในโลกนี้ที่เธอสามารถพึ่งพาได้จริงๆ นอกจากตัวเธอเอง
"ต้องวางแผนดีๆ"
เธอแยกแยะสถานการณ์อย่างคร่าวๆ แล้วพบว่าข้อได้เปรียบเพียงอย่างเดียวของเธอในตอนนี้ก็คือ แฟมิเลีย หากเธอต้องการจัดการกับคนบ้าในโรงเรียนมัธยมหยุนเฉิง ความแข็งแกร่งของแฟมิเลียเป็นสิ่งสำคัญ
แต่เธอมีแฟมิเลียเพียงสองตนเท่านั้น ไม่รู้ว่าคนบ้าพวกนั้นรวมตัวกันได้มากแค่ไหนแล้ว
สวี่จื้อกะพริบตา และมีความคิดเบื้องต้นเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องทำ
“พรุ่งนี้ คงต้องไปเจรจาข้อตกลงใหม่กับเพื่อนบ้านที่อยู่ชั้นบน”
หากต้องการให้แผนการสำเร็จ เธอก็ต้องการความช่วยเหลือจากอีกฝ่ายจึงจะมีโอกาส
แล้วเธอก็ไม่สามารถเสียเวลามากเกินไปได้ เพราะไม่รู้ว่าคนบ้าพวกนั้นแค่ฆ่าคน หรือพวกเขามีจุดประสงค์อื่นอยู่อีก
หากพวกเขาสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งโดยการฆ่าคนด้วยเหตุผลบางอย่าง มันจะลำบากมากขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง เธออาจจะไม่มีหนทางชนะเลย
“เฮ้อ” สวี่จื้อถอนหายใจ
เรื่องดีเรื่องเดียวที่เธอพอจะคิดได้ก็คือ เมื่อแฟมิเลียฆ่าคนบ้าเหล่านั้น แต้มวิวัฒนาการของพวกมันจะเพิ่มขึ้น และเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก
แล้วอาจจะมีโอกาสที่จะดรอปแก่นพลังก็เป็นได้ แม้ว่าเรื่องนี้จะยังไม่มีข้อพิสูจน์ก็ตามที
“ต้องลองดู ไม่แน่มันอาจเป็นโอกาสครั้งใหญ่”
หากอีกฝ่ายดรอปแก่นพลังหลังถูกฆ่า เธอก็พร้อมจะเสี่ยง
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว สวี่จื้อก็เดินกลับไปที่เตียง และนั่งอ่านหนังสือเล่มเดิมต่อ
ในตอนกลางคืน เมื่อการล่ารอบที่สองของแฟมิเลียทั้งสองสิ้นสุดลง สวี่จื้อก็ได้รับแก่นพลังอีก 6 ก้อน
สี่ก้อนมาจากการล่าของเสี่ยวอี้ และส่วนสองก้อนที่เหลือมาจากโก้วจื่อ
นั่นทำให้พอจะเข้าใจได้ว่าสัตว์กลายพันธุ์ที่อ่อนแอเกินไปนั้น จะไม่ดรอปแก่นพลัง
อย่างไรก็ตาม ในแก่นพลังทั้งหกก้อนมีบางก้อนที่ไม่ใช่ทั้ง ‘คมมีด’ และ ‘มอธ’ อยู่ด้วย มันเป็นแก่นพลังสีแดงอ่อน
“แก่นพลังใหม่?”
แม้จะเป็นของดี แต่เธอก็ยังผิดหวังเล็กน้อย เธอต้องการแก่นพลังมอธ หรือคมมีดมากกว่า
แก่นพลังใหม่ช่วยให้เธอได้รับความรู้มากขึ้นก็จริง แต่ก็ยังไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการจริงๆ ในเวลานี้
สิ่งที่ทำให้สวี่จื้อเสียใจมากยิ่งขึ้นก็คือ แต้มวิวัฒนาการของแฟมิเลียทั้งสองยังไม่มากพอจะยกระดับ และมีแก่นพลังคมมีดเพียง 3 ก้อนเท่านั้นที่ถูกนำกลับมา ต่อให้เสี่ยวอี้กินมันไปทั้งหมด ก็ยังไม่มากพอที่จะยกระดับอีกครั้ง
“ดูเหมือนว่าจะต้องรออยู่เช้าวันพรุ่งนี้อีกที หวังว่าจะได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมาบ้าง”