ก่อตั้งองค์กรมือสังหารในโลกบำเพ็ญเพียร ตอนที่ 60 โลหิตสีแดงสดไหลนองราวกับสายธาร
ก่อตั้งองค์กรมือสังหารในโลกบำเพ็ญเพียร ตอนที่ 60 โลหิตสีแดงสดไหลนองราวกับสายธาร
“ศาลาสังหารโลหิตพวกนี้ช่างบังอาจยิ่งนัก! ครั้งแล้วครั้งเล่า คิดว่าเราไม่มีโทสะหรือไร?”
ฟู่มู่โจวกล่าวด้วยความโกรธแค้น
ฉับพลัน เงาร่างหนึ่งก็รีบวิ่งเข้ามายังพระราชวัง
เมื่อเห็นอีกฝ่าย
ฟู่มู่โจวจึงเอ่ยถามว่า “เป็นเช่นไรบ้าง? หยางชิงสามารถจัดการกับมือสังหารที่บุกเข้ามาได้หรือไม่?”
“เร… เรียนฝ่าบาท หยาง… หยางผู้ยิ่งใหญ่ได้เสียชีวิตลงพร้อมกับกองทหารองครักษ์วังหลวงแปดพันนายแล้ว!”
ผู้ที่มารายงานคุกเข่าลงกับพื้น กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเทา
สิ้นเสียง บรรยากาศภายในพระราชวังก็เงียบสงัดลงราวกับถูกหยุดเวลาเอาไว้
“เจ้าว่ากระไรนะ!?”
ฟู่มู่โจวลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหัน กล่าวด้วยความโกรธ
“ผ… ผู้ใต้บังคับบัญชาเพิ่งเห็นกับตา ท่านหยางผู้ยิ่งใหญ่ถูกมือสังหารสองคนแห่งศาลาสังหารโลหิตสังหารภายในสามกระบวนท่า……”
ชายผู้นั้นมีสีหน้าซีดเผือด น้ำเสียงสั่นเทา
“เป็นไปไม่ได้ หยางชิง นอกจากราชครูแล้ว เขายังเป็นยอดฝีมือเพียงคนเดียวในราชวงศ์ราชันเหยียนสุ่ยที่บรรลุระดับบำรุงจิตแปดชั้นฟ้า”
“แม้แต่ผู้อาวุโสแห่งสำนักร้อยลี้ก็ยังคงสามารถประลองฝีมือกับเขาได้ ศาลาสังหารโลหิตแม้จะแข็งแกร่งเพียงใด ก็มิอาจมียอดฝีมือระดับบำรุงจิตเก้าชั้นฟ้าได้”
ฟู่มู่โจวขมวดคิ้ว กล่าวพึมพำกับตนเอง
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ขุนนางคนหนึ่งจึงกล่าวอีกครั้งด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เรียนฝ่าบาท มือสังหารสองคนที่ผู้ใต้บังคับบัญชาพบเจอ ล้วนมีตบะระดับบำรุงจิตแปดชั้นฟ้า”
“หนึ่งในนั้นใกล้จะทะลวงไปยังระดับเก้าชั้นฟ้าแล้ว”
“ผู้บำเพ็ญระดับแปดชั้นฟ้าสองคน เป็นไปได้อย่างไร!”
“ศาลาสังหารโลหิตมีผู้แข็งแกร่งระดับบำรุงจิตมากมายเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด? อู๋ชิง เจ้าควรจะอธิบายเรื่องนี้ให้เราฟัง”
ฟู่มู่โจวมองไปยังที่แห่งหนึ่ง
อู๋ชิงรู้สึกได้ว่าสายตาของฟู่มู่โจวกำลังจับจ้องมายังเขา ร่างกายสั่นสะท้าน
สีหน้าซีดเผือด ปากสั่น “ฝ่า… ฝ่าบาท ข้า… ข้าเองก็ไม่ทราบ มือสังหารระดับบำรุงจิตเหล่านี้ไม่เคยปรากฏในรายงานมาก่อน ราวกับปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน ช่างน่าประหลาดยิ่งนัก”
“หึ!”
ฟู่มู่โจวแค่นเสียงเย็นชา ปลดปล่อยกลิ่นอายระดับบำรุงจิตห้าชั้นฟ้าออกมา
“หลังจากที่เราจัดการกับมือสังหารเหล่านี้แล้ว ค่อยมาคิดบัญชีกับเจ้า”
กล่าวจบ ฟู่มู่โจวก็เดินออกไปยังด้านนอกพระราชวังอย่างเชื่องช้า
เมื่อเห็นเช่นนั้น เหล่าขุนนางจึงรีบกล่าว
“ฝ่าบาท ด้านนอกอันตรายยิ่งนัก โปรดไตร่ตรองอีกครั้ง!”
“ขอรับฝ่าบาท ภายในพระราชวังมีมหาค่ายกลพิทักษ์คุ้มครอง มือสังหารแห่งศาลาสังหารโลหิตคงมิอาจบุกเข้ามาได้ง่ายดาย พวกเราเพียงแค่รอคอยกองกำลังเสริมก็พอแล้ว”
“.......”
ทว่าฟู่มู่โจวไม่ได้สนใจคำพูดของพวกเขา เดินทางต่อไป
ด้านนอกพระราชวัง
ศพเกลื่อนกลาด โลหิตสีแดงสดไหลนองราวกับสายธาร ย้อมพื้นหินอ่อนสีขาวจนกลายเป็นสีแดง
ฟู่มู่โจวมองดูภาพเหตุการณ์เบื้องหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“โอ้ ในที่สุดตัวจริงก็ปรากฏตัวออกมาแล้ว ข้ายังคิดว่าต้องไปเชิญเจ้าด้วยตนเอง”
บุรุษร่างกำยำ สวมเสื้อคลุมสีดำระดับเร้นลับ ครึ่งหน้าสลักรูปแมงป่อง ยิ้มกว้าง
มือขวาของเขากำลังถือร่างไร้วิญญาณของชายวัยกลางคนเอาไว้
เมื่อเห็นชายวัยกลางคนผู้นั้น ฟู่มู่โจวก็กำมือแน่น
ชายวัยกลางคนที่เสียชีวิตผู้นั้น คือหยางไค่จ้าน ผู้ที่ถูกขนานนามว่าเป็นตำนานแห่งยุทธภพในราชวงศ์ราชันเหยียนสุ่ย
ยอดฝีมือระดับบำรุงจิตแปดชั้นฟ้า นอกจากราชครูแล้ว เขายังเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในราชวงศ์!
ยอดฝีมือเช่นนี้ กลับต้องมาตายด้วยน้ำมือขององค์กรมือสังหารจากราชวงศ์ที่อ่อนแอ หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป คงต้องถูกผู้คนหัวเราะเยาะ
แม้ว่าตอนนี้ฟู่มู่โจวจะโกรธแค้นอย่างยิ่ง แต่เขาก็มิได้แสดงท่าทีใด ๆ ออกมา
เพราะเขารู้ดี
บุรุษร่างกำยำที่สลักรูปแมงป่องบนใบหน้า และบุรุษที่ปิดตาทั้งสองข้าง ที่เบื้องหน้าเต็มไปด้วยศพของกองทหารองครักษ์วังหลวง ล้วนมีตบะระดับบำรุงจิตแปดชั้นฟ้า!
ด้วยพลังอำนาจของเขา แม้จะสามารถยืมพลังโชคชะตาของราชวงศ์มาใช้ได้
การที่จะเอาชนะสงครามครั้งนี้ คงเป็นเรื่องยาก
“เรายอมรับว่าเราประมาท ไม่คิดเลยว่าขุมอำนาจของพวกเจ้าจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้”
ฟู่มู่โจวกางมือทั้งสองข้างออก กล่าวพร้อมกับรอยยิ้มเย็นชา
“แต่ศาลาสังหารโลหิตอย่าได้คิดว่าจะสามารถทำลายราชวงศ์ราชันเหยียนสุ่ยได้ง่ายดายเช่นนั้น”
“ศาลาสังหารโลหิตแม้จะแข็งแกร่ง แต่ก็ยังคงไม่สามารถเทียบเคียงขุมอำนาจระดับหกได้”
“เราเพียงแค่ส่งจดหมายไปยังสำนักร้อยลี้ ขุมอำนาจระดับหกที่อยู่ไม่ไกล พวกเขาก็จะส่งคนมาที่นี่ การทำลายล้างศาลาสังหารโลหิตและราชวงศ์ราชันซุ่ยหยวน เป็นเรื่องง่ายดายยิ่งนัก”
“ศาลาสังหารโลหิตคงไม่อยากมีเรื่องบาดหมางกับขุมอำนาจที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้นกระมัง เช่นนั้นเราขอเสนอ เราจะสั่งให้กองทัพชายแดนถอยทัพ และศาลาสังหารโลหิตก็ถอนกำลังทั้งหมดออกไปจากราชวงศ์ของเรา เราทั้งสองฝ่ายจะไม่ยุ่งเกี่ยวกัน เป็นเช่นไร?”
หลังจากที่ฟู่มู่โจวกล่าวจบ
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า อู๋เหิน เจ้าดูสิ คนผู้นี้ช่างอวดดียิ่งนัก!”
ฉือเจี่ยนใช้นิ้วชี้ไปยังฟู่มู่โจว
หันไปหาบุรุษผมยาวที่ปิดตาทั้งสองข้างด้วยผ้าสีดำ หัวเราะออกมาเสียงดัง
“อย่าได้หัวเราะ ท่านเจ้าศาลาสั่งให้พวกเราจัดการอย่างรวดเร็ว อย่าได้เสียเวลา”
อู๋เหินกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ฟู่มู่โจวที่คิดว่าเมื่อได้ยินชื่อเสียงของสำนักร้อยลี้ อีกฝ่ายอย่างน้อยก็ต้องมีสีหน้าเคร่งขรึม แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น
มือสังหารทั้งสองนี้ ไม่เกรงกลัวสำนักนิกายระดับหก สำนักร้อยลี้ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังแห่งมณฑลเทียนหยวนหรือ?
ช่างบังอาจยิ่งนัก!
“ข้ารู้แล้ว แต่ก่อนที่เราจะลงมือ ขอให้ข้าพูดคุยกับเขาสักหน่อย”
ฉือเจี่ยนมองไปยังฟู่มู่โจว
“จากคำพูดของเจ้า ดูเหมือนว่าเจ้าจะยังไม่รู้”
“รู้อันใด?”
ฟู่มู่โจวขมวดคิ้ว
“บอกความจริงกับเจ้า กองทัพหนึ่งล้านนายที่เจ้ากล่าวถึง ถูกทำลายล้างไปแล้ว!”
ได้ยินเช่นนั้น ฟู่มู่โจวก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ
สีหน้าที่เคยสงบนิ่งก็แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ
“หึ คิดจะทำให้จิตใจของเราสั่นคลอน เจ้ายังไม่คู่ควร!”
ฟู่มู่โจวไม่ได้สนใจคำพูดนี้ คิดว่าเป็นเพียงวิธีการที่ฉือเจี่ยนใช้เพื่อลดทอนเจตจำนงต่อสู้ของเขา
“หากเจ้าไม่เชื่อ ก็ช่างเถิด ภารกิจของพวกเราในครั้งนี้มีเพียงข้อเดียว นั่นก็คือการนำศีรษะของเจ้ากลับไป!”
ฉือเจี่ยนมีสีหน้าเย็นชา
จากนั้นร่างกายของเขาก็หายไปในทันที
“ในเมื่อเจ้าต้องการเช่นนั้น เราก็จะไม่เกรงกลัว”
“ร่างมังกรสิบจั้ง!”
ฟู่มู่โจวตะโกนเสียงดัง
ปราณวิญญาณมากมายพุ่งทะลักออกมาจากร่างกายของเขา
ปราณมังกรแห่งราชวงศ์จากทุกสารทิศไหลมารวมกันที่ร่างกายของเขา
“ข้าจะให้พวกเจ้าได้เห็น พลังอำนาจที่ราชวงศ์ราชันเหยียนสุ่ยสะสมมานานหลายพันปี!”
ปราณมังกรสีทองอร่ามมากมายมารวมกัน
ในที่สุดก็กลายเป็นมังกรทองแห่งโชคชะตาขนาดใหญ่หลายจั้ง ปกคลุมร่างกายของฟู่มู่โจวเอาไว้
เมื่อเทียบกับมังกรทองแห่งโชคชะตาของซุ่ยกว่างก่อนหน้านี้ มังกรทองตัวนี้แข็งแกร่งกว่าหลายเท่า!