ตอนที่แล้วบทที่ 391: ครอบงำ (20)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 393: แตกละเอียด (2)

บทที่ 392: แตกละเอียด (1)


【แปลโดยฝีมือ...ยักษาแปร...มาติดตามได้ที่แฟนเพจหรือเพื่อติดตามเอาข่าวสารได้นะ】

【แค่ คอมเมนต์ ก็เหมือนการให้กำลังใจแล้วนะครับ รบกวน comment กันหน่อยน๊า ;-;】

【Thai-novelจะทำการลงไวกว่าที่อื่นทุกที่ เป็นจำนวน 5 ตอน แต่เรื่องราคาแพงกว่าที่อื่นนิดหน่อย】

บทที่ 392: แตกละเอียด (1)

ผู้อำนวยการสร้างหน้าตาเคร่งขรึมของ ‘ปิเอโรต์’ ได้อธิบายกฎเกณฑ์การออดิชั่นใหม่อย่างชัดเจน กฎเดิมที่ให้นักแสดงสวมบทบาทตามที่กำหนดไว้ถูกยกเลิก เปลี่ยนเป็นการแสดงอย่างอิสระเสรี แต่ยังคงมีข้อแม้ว่าตัวละครที่ใช้ในการแสดงจะต้องเป็น ‘เฮนรี่่่่่ กอร์ดอน’ ซึ่งเป็นเรื่องที่ ‘โคลัมเบียสตูดิโอ’ ไม่ได้แจ้งให้นักแสดงทราบมาก่อนหน้านี้

ด้วยเหตุนี้

“กะทันหันแบบนี้เลยเหรอ?”

แม้จะไม่ได้แสดงความรู้สึกออกมาอย่างโจ่งแจ้ง แต่นักแสดงฮอลลีวูดแต่ละคนก็พากันฉงนงุนงง

“สิ่งที่เตรียมมาทั้งหมดกลายเป็นสูญเปล่า อยู่ ๆ ก็มาเปลี่ยนกฎแบบนี้ได้ยังไงกัน”

“เบา ๆ เสียงหน่อยสิ”

“แต่ฉันก็พูดความจริงนี่”

การเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์อย่างกะทันหันหลังจากที่เหล่านักแสดงเตรียมตัวแสดงอย่างอิสระ ย่อมทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์เป็นเรื่องธรรมดา

“อันนี้คาดเดาไม่ได้จริง ๆ หรือว่าเราควรจะผสมผสานสิ่งที่เตรียมมากับของคนอื่นดี”

“ตั้งใจฟังหน่อย ‘โคลัมเบียสตูดิโอ’ คงอยากจะประเมินไหวพริบปฏิภาณของพวกเราและนายนั่นแหละ”

“เหอะ”

“ไม่น่าจะเป็นอุปสรรคอะไร ยังไง ‘เฮนรี่่่่่ กอร์ดอน’ ก็เป็นบทบาทที่เตรียมไว้แล้ว อย่างที่นายว่าแหละ แค่ลองนำบท ‘เฮนรี่่่่่ กอร์ดอน’ มาผสานรวมในการแสดงอย่างอิสระก็พอแล้ว”

“มันจะง่ายดายขนาดนั้นเชียวเหรอ ยังไงก็เงียบ ๆ หน่อย ฉันขอคิดก่อนว่าจะแสดงอะไร”

คริส ฮาร์ทเน็ตเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับนักแสดงคนอื่น ๆ แล้ว เขากลับดูสุขุมและสงบนิ่งกว่า

“คริส ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”

“ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องกังวลไป แค่แปลกใจนิดหน่อย เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเป็นประจำในฮอลลีวูด”

“นั่นสินะ”

ในสถานการณ์เช่นนี้ บุกตะลุยไปเลยน่าจะดีกว่า

“จะทำยังไงดีนะ?”

คริส ฮาร์ทเน็ตไม่ตอบคำถามของผู้จัดการ เขาหันไปทางซ้าย มองไปยังคังวูจินที่นั่งอยู่ไม่ไกลนัก ดวงตาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นวูจินนั่งเท้าคางด้วยสีหน้าเรียบเฉย หรืออาจจะดูเบื่อหน่ายเสียด้วยซ้ำ

‘...ไร้ซึ่งความรู้สึกใด ๆ งั้นหรือ? หรือว่าไม่ได้คิดอะไรเลย? ช่างเป็นผู้ชายที่อ่านใจยากเย็นนัก คิดอะไรอยู่นะ? อืม... ถึงอย่างไรสถานการณ์มันก็ร้ายแรงถึงเพียงนี้นี่นา คงแค่แสร้งทำเป็นไม่รู้สึกอะไรมากกว่า’

คิดผิดถนัด เวลานี้คังวูจินไม่ได้รู้สึกหนักใจอะไรเลยแม้แต่น้อย แถมยังไม่ได้ครุ่นคิดอะไรมากด้วย

‘เขาจะเริ่มตอนไหนกันนะ?’

สำหรับเขา ไม่ว่าจะเป็นการแสดงตามบทที่กำหนดไว้ หรือการแสดงอิสระในบท ‘เฮนรี่่่่่ กอร์ดอน’ หรือเรื่องใด ๆ ก็ตามแต่ มันก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกัน เพราะอย่างไรบทที่เตรียมมา ทั้งแบบกำหนดและแบบอิสระ ก็คือ ‘เฮนรี่่่่่ กอร์ดอน’ อยู่ดี ถึงจะมีปัญหาใด ๆ เกิดขึ้นจริง ๆ

-กึก

ในมือเขาก็ยังมีบทภาพยนตร์ ‘ปิเอโรต์’ รูปสี่เหลี่ยมสีดำลอยอยู่ จึงไม่ต้องกังวลสิ่งใดทั้งนั้น

หลังจากนั้นเอง

“เนื่องจากค่อนข้างกะทันหัน”

PDที่อยู่บนเวทีกล่าวกับเหล่านักแสดง

“เราจะเริ่มในอีก 10 นาที”

นี่ไม่ใช่การให้เวลาพักผ่อน แต่เป็นการให้เวลาตั้งสติมากกว่า เพราะ 10 นาทีคงทำอะไรไม่ได้มากนัก

และ 10 นาทีก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

PDขยับตัวอีกครั้ง เธอตรวจสอบหน้าจอมอนิเตอร์ที่อยู่ด้านหน้า ก่อนจะเอ่ยเรียกชื่อนักแสดงคนหนึ่ง

“เราเป็นคนกำหนดลำดับเองค่ะ ขอเชิญคุณทอม แบรนโด เชิญขึ้นมาได้เลยค่ะ”

นักแสดงร่างกำยำ ใบหน้าคมเข้มแบบชายชาตรีลุกขึ้นยืน เขาคือทอม แบรนโด นักแสดงระดับท็อปผู้มีชื่อเสียงด้านการแสดงจากฮอลลีวูด เช่นเดียวกับ ‘เฮนรี่่่่่ กอร์ดอน’ เขาสวมชุดสูทโทนสีเรียบ ๆ เทา ดำ และน้ำตาลผสมกัน โดยไม่ได้แต่งเติมใบหน้าแต่อย่างใด ทอม แบรนโดก้าวขึ้นสู่เวทีที่รายล้อมไปด้วยกล้องถ่ายภาพเป็นครั้งแรก

เสียงฝีเท้าแผ่วเบาแทรกผ่านความเงียบ 'ซึก'

อันที่จริงบนเวทีไม่ได้มีเพียงกล้องถ่ายภาพเท่านั้น มุมหนึ่งยังมีอุปกรณ์ประกอบฉากมากมาย ทั้งโซฟาเดี่ยวและเก้าอี้ เตรียมไว้ให้นักแสดงเลือกใช้ได้ตามต้องการ เมื่อทอม แบรนโดยืนอยู่กลางเวที สายตาของผู้กำกับอันกาบกที่นั่งอยู่บนเก้าอี้กรรมการก็จับจ้องไปที่จอมอนิเตอร์หลายตัว ภาพนักแสดงทั้งเต็มตัว ครึ่งตัว ด้านหน้า ด้านข้าง และด้านหลัง ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ ผู้กำกับอันกาบกยกมือขึ้นลูบแก้มที่เหี่ยวย่น

‘สมกับเป็นระดับท็อปของฮอลลีวูด ออร่าที่สะท้อนผ่านเลนส์กล้องช่างแตกต่างเหลือเกิน’

PDหญิงและกรรมการทุกคนต่างจ้องมองไปที่จอมอนิเตอร์เช่นเดียวกัน การทดสอบหน้ากล้องที่บันทึกไว้นั้นมีความสำคัญไม่แพ้การออดิชั่น จากนั้นPDรวมก็พยักหน้าให้ทอม แบรนโดที่ยืนอยู่บนเวที

“ถ้าพร้อมแล้วก็เริ่มได้เลยครับ”

ทันทีที่สิ้นเสียง ทอม แบรนโดก็เปลี่ยนสีหน้าและท่าทาง เขาสอดมือข้างหนึ่งเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ยืนตัวตรง เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มุมปากปรากฏรอยยิ้มจาง ๆ ดูราวกับว่าเขาสวมบทบาท ‘เฮนรี่่่่่ กอร์ดอน’ ใน ‘ปิเอโรต์’ ช่วงหลังที่ได้สติกลับคืนมาอย่างสมบูรณ์

ภาพลักษณ์ที่แปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วของทอม แบรนโด ทำให้สีหน้าของเหล่ากรรมการดูจริงจังขึ้น

‘การแสดงไร้ที่ติ สมกับเป็นนักแสดงมืออาชีพ แปลงโฉมเป็นตัวละครที่เราต้องการได้ในทันที’

‘เปลี่ยนอารมณ์ได้ในพริบตา หรือว่าเขากำลังจะแสดงเป็นปิเอโรต์?’

‘อืม เหมือนกับ ‘เฮนรี่่่่่ กอร์ดอน’ ในช่วงท้ายเรื่องที่ฉันจินตนาการไว้เลย’

นักแสดงมากฝีมือทอม แบรนโด เหลือบมองกล้องที่รายล้อมอยู่รอบตัว ก่อนจะแสยะยิ้มมุมปากอย่างน่าขนลุก

“สายตาสารเลวพวกนี้ มีแต่ความหวาดกลัว อย่ามาบังคับฉัน ความใจดีของพวกแกก็แค่การป้องกันตัวเพราะไม่อยากตาย ส่วนฉันน่ะจะทำตามใจตัวเอง”

คำพูดที่หลุดรอดออกมาจากปากของทอม แบรนโด ราวกับเป็นตัวละครจริง ๆ ไม่มีเค้าความแปลกแยกจาก ‘เฮนรี่่่่่ กอร์ดอน’ เลยแม้แต่น้อย เหตุผลนั้นเรียบง่ายเหลือเกิน

“บำบัดจิต? จะบำบัดอะไร? ไปรักษาสมองเน่า ๆ ของตัวเองเถอะ”

การออดิชั่นครั้งแรกของทอม แบรนโด เขาเลือกใช้วิธีการแสดงที่ตรงไปตรงมา ในตอนนี้เขากำลังสวมบทบาทเป็น ‘เฮนรี่่่่่ กอร์ดอน’ จากบทภาพยนตร์เรื่อง ‘ปิเอโรต์’ การแสดงแบบอิสระเช่นนี้ก็คงไม่มีปัญหาอะไร ยิ่งไปกว่านั้น วิธีนี้อาจส่งผลดีเกินคาดด้วยซ้ำ

‘······ดี ทำได้ดีอย่างที่คาดหวังไว้’

‘การแสดงตามบทภาพยนตร์ ทำให้เห็นภาพชัดเจนเลย’

การแสดงอิสระในบท ‘ปิเอโรต์’ ของทอม แบรนโด ทำให้คณะกรรมการ รวมถึงผู้กำกับอันกาบก รู้สึกราวกับกำลังชมการถ่ายทำภาพยนตร์จริง ๆ ยิ่งผสานกับการแสดงระดับเทพ พลังของการแสดงจึงทวีคูณ คลายความเคลือบแคลงที่ฝังลึกอยู่ในใจของคณะกรรมการได้เป็นอย่างดี

เป็นการเลือกที่แหวกแนวไม่น้อย

การแสดงบทภาพยนตร์ก่อนใครเพื่อนในบรรดาผู้เข้ารับการคัดเลือก ทำให้เขากลายเป็นที่จับตามอง

ยิ่งไปกว่านั้น

‘เลือกฉากสำคัญมาแสดงด้วย’

ฉากสำคัญในบทภาพยนตร์เรื่อง ‘ปิเอโรต์’ ที่ทอม แบรนโดเลือกนั้น ตราตรึงใจผู้ชมอย่างไม่ต้องสงสัย การแสดงอันยาวนานกว่าสิบนาทีของเขาดำเนินไปโดยปราศจากการขัดจังหวะใด ๆ บรรดาผู้บริหารจาก ‘โคลัมเบียสตูดิโอ’ ที่นั่งชมอยู่ต่างมีสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความพึงพอใจ ขณะที่นักแสดงฮอลลีวูดคนอื่น ๆ แอบแสดงสีหน้าวิตกกังวลออกมาอย่างปิดไม่มิด

คณะกรรมการก้มหน้าจดบันทึกบางอย่างลงบนกระดาษ สายตาจับจ้องไปที่การแสดงบนจอมอนิเตอร์อย่างไม่คลาดสายตา

และแล้ว การแสดงของทอม แบรนโดก็เดินทางมาถึงบทสรุป

“ผมขอจบการแสดงเพียงเท่านี้ครับ”

เขากลับสู่ตัวเองอย่างรวดเร็ว ปลดเปลื้องคราบของ “เฮนรี่่่่่ กอร์ดอน” ออกไปได้อย่างสิ้นเชิง หากจะเปรียบเทียบกัน วูจินจะทำได้รวดเร็วกว่าเล็กน้อย แต่ความรู้สึกที่ได้รับกลับคล้ายคลึงกันอย่างน่าประหลาด สมกับประสบการณ์การแสดงที่สั่งสมมานานกว่ายี่สิบปี หลังจากพูดคุยกับคณะกรรมการอยู่ครู่หนึ่ง ทอม แบรนโดก็เดินลงจากเวที บทสนทนาเมื่อครู่นั้นหาใช่การประเมินผลการแสดงไม่ ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ตัดสินว่าใครแสดงเก่งกว่ากัน หากแต่เป็นการตัดสินว่าใครกันแน่ที่เหมาะสมกับบทบาทของ “เฮนรี่่่่่ กอร์ดอน” มากกว่า

อย่างไรก็ตาม การออดิชั่นครั้งนี้กลับดูมีระดับขึ้นมาทันทีหลังจากการแสดงของนักแสดงคนแรกจบลง

“ต่อไป แจ็ค เกเบิล”

ชื่อของนักแสดงฮอลลีวูดระดับท็อปคนที่สองถูกเอ่ยขึ้น แจ็ค เกเบิล ร่างกายดูบอบบางแต่กลับมีกรามที่ได้รูป ใบหน้าของเขาชวนให้นึกถึงบรรยากาศบางอย่างที่ยากจะอธิบาย เขาคือนักแสดงระดับแนวหน้าของฮอลลีวูดอีกคนหนึ่ง

แจ็ค เกเบิลก้าวขึ้นเวทีด้วยท่าทางผ่อนคลาย

เขาถ่ายทอดบทบาทราวกับคนสติเลอะเลือน

“อึก! ฮึ ๆ ๆ เอ่อ... อึก!”

“นี่มันโรงพยาบาลบ้าหรือไง?”

แจ็ค เกเบิลคลานไปกับพื้นเวที ร้องตะโกนก้องกังวานราวกับคนเสียสติอย่างสมจริงสมจัง มีชีวิตชีวา ยิ่งไปกว่านั้น ท่าทางไร้สติของเขายังดูน่าสะพรึงกลัวอย่างประหลาด

“ปล่อย! ปล่อยฉันนะ!”

เฮนรี่่่่่ กอร์ดอนในคราบของแจ็ค เกเบิลดูสิ้นหวังอย่างที่สุด ตั้งแต่หลังโก่ง ไหล่ตก น้ำเสียง แววตา รวมถึงรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเฮนรี่่่่่ กอร์ดอนในบทภาพยนตร์ แจ็ค เกเบิลสามารถถ่ายทอดออกมาได้อย่างน่าอัศจรรย์

ฝีมือการแสดงของเขาเรียกได้ว่าระดับปรมาจารย์

แม้จะแตกต่างจากทอม แบรนโดที่เพิ่งแสดงจบไป แต่ก็ทรงพลังไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ผู้กำกับอันกาบกมองสลับไปมาระหว่างภาพในจอมอนิเตอร์กับแจ็ค เกเบิลบนเวทีพลางครุ่นคิด 'อ๋อ ที่แท้เขากำลังรังสรรค์อนาคตของเฮนรี่่่่่ กอร์ดอนที่ไม่ได้ถูกระบุไว้ในบทออกมาให้เห็น'

เขาใช้การแสดงแบบฟรีสไตล์ ถ่ายทอดจุดจบของเฮนรี่่่่่ กอร์ดอนที่เขาจินตนาการขึ้นเอง จะว่าอย่างไรดี ทั้งทอม แบรนโดเมื่อครู่และแจ็ค เกเบิลในตอนนี้ ต่างก็เหนือความคาดหมาย ผู้กำกับอันกาบกเริ่มสับสน 'เตรียมใจไว้แล้ว แต่พอเจอระดับยอดฝีมือแบบนี้ก็ปวดหัวไม่น้อย'

ต้องเลือกว่าใครเหมาะสมที่สุดท่ามกลางอสูรร้ายแห่งการแสดงเหล่านี้ ในการแสดงของแจ็ค เกเบิลครั้งนี้ บรรดาผู้บริหารทั้งแปดคนจากโคลัมเบียสตูดิโอพยักหน้าพอใจ ทีมงานหลักกว่ายี่สิบคนของปิเอโรต์ต่างพากันอุทานเบา ๆ ด้วยความทึ่ง ส่วนสีหน้าของนักแสดงคนอื่น ๆ นั้นดูคลุมเครือ บางทีคงไม่มีใครอยากเห็นคู่แข่งของตนเองเก่งกาจเกินไปนักหรอก

แต่มีอยู่หนึ่งคนที่

“······”

นักแสดงเพียงหนึ่งเดียวในห้องโถงอันกว้างใหญ่ที่ไร้ซึ่งความเปลี่ยนแปลงทางสีหน้า คือคังวูจิน

ตั้งแต่เริ่มต้นการออดิชั่นจนถึงบัดนี้ ใบหน้าของวูจินเรียบเฉยราวกับแผ่นศิลา ไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย ดวงตาคมกริบจับจ้องการแสดงของนักแสดงคนอื่น ๆ ด้วยสีหน้าที่นิ่งสงบ ราวกับกำลังวิเคราะห์ทุกการเคลื่อนไหวอย่างถี่ถ้วน

ทันใดนั้น เสียงประกาศดังขึ้น

“พอแล้วค่ะ”

การแสดงของแจ็ค เกเบิลสิ้นสุดลง เขาสนทนากับคณะกรรมการอย่างย่อ ๆ ก่อนจะเดินลงจากเวที รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าของแจ็ค เกเบิล ราวกับพึงพอใจในผลงานของตนเอง

ต่อมา

“ต่อไป-”

PDหญิงคนหนึ่งในคณะกรรมการหยิบโปรไฟล์ของนักแสดงคนถัดไปขึ้นมาพลางมองไปยังผู้ชมที่นั่งรอคอยอย่างใจจดใจ

“คังวูจิน”

ชื่อของคังวูจินถูกเอ่ยขึ้นเป็นลำดับที่สาม สายตาของเหล่านักแสดงฮอลลีวูดต่างก็เบนมาจับจ้อง คริส ฮาร์ทเน็ตและนักแสดงอีกหลายคนหันมามองวูจินที่นั่งอยู่ ไม่ว่าจะเป็นทีมงานของนักแสดงฮอลลีวูด ทีมงานกว่าสิบชีวิตของ ‘ปิเอโรต์’ ผู้บริหารของ ‘โคลัมเบียสตูดิโอ’ ที่นั่งแถวหน้า รวมถึงคณะกรรมการบนเวที ทุกสายตากว่าห้าสิบคู่ในห้องโถงต่างจับจ้องไปที่คังวูจินราวกับต้องมนตร์สะกด

เพราะเขาเป็นที่จับตามองอย่างมาก และเป็นบุคคลที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ฝีมือมากที่สุดในบรรดานักแสดงทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเป็นนักแสดงที่จุดประกายความอยากรู้อยากเห็นได้มากที่สุดอีกด้วย

ชเวซองกุนผู้มีผมหางม้าถอนหายใจยาวเหยียด

“ฮู่...ฉันจะเป็นบ้าแล้ว วูจินไปแสดงให้ดีล่ะ”

เขาท่าทางราวกับหัวใจจะวาย ตรงกันข้ามกับคังวูจินที่ยังคงสงบนิ่งราวกับน้ำในบึงลึก

“ผมไปก่อนนะครับ”

ท่าทีที่สงบเกินไปของเขาดูเหมือนจะเย้ยหยัน คังวูจินในชุดแจ็คเก็ตและกางเกงสีแดง เสื้อกั๊กสีเหลือง และรองเท้าสีน้ำตาลที่ดูเก่า ๆ ลุกขึ้นอย่างใจเย็น

-กึก

การออดิชั่นนักแสดงนำของฮอลลีวูด นี่คือก้าวแรกของคังวูจิน แต่ทว่าในวินาทีที่เขาก้าวเดินออกไป กลับไร้ซึ่งความประหม่า เสียงฝีเท้าหนักแน่นมั่นคงดังก้องไปทั่วฮอลล์ ขณะที่วูจินมุ่งหน้าสู่เวที สายตากว่าห้าสิบคู่จับจ้องมาที่เขา แต่ละสายตาล้วนแตกต่างกันไป ทั้งเคลือบแคลง สงสัย คาดหวัง อยากรู้อยากเห็น หรือแม้แต่เมินเฉย

ชเวซองกุนรวบผมหางม้าแน่นอีกครั้ง เขากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก

‘โอ๊ย ตายแล้ว หัวใจจะวาย วูจินคงทำได้ดีแหละ แต่ทำไมฉันต้องตื่นเต้นขนาดนี้ด้วยนะ’

เขาไม่ได้บอกใบ้อะไรเกี่ยวกับการออดิชั่นให้วูจินเลย แต่เช่นเคย ชเวซองกุนวางใจทุกอย่างไว้กับชายหนุ่มคนนี้

คังวูจินก้าวขึ้นเวทีที่เต็มไปด้วยกล้องหลายตัวด้วยสีหน้าเรียบเฉย

ภาพของวูจินปรากฏขึ้นบนจอมอนิเตอร์ที่โต๊ะกรรมการ ผู้กำกับอันกาบกถอนหายใจอย่างประหม่า พยายามไม่ให้ใครเห็น

‘รอบนี้เจ้าหนุ่มคนนี้จะแสดงอะไรออกมาอีกล่ะ’

ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น PDใหญ่ที่นั่งข้าง ๆ ผู้กำกับอันกาบกก็คิดเช่นกัน

‘มาดูกันว่านักแสดงเกาหลีที่ทำให้ฮอลลีวูดสะเทือนได้ขนาดนี้ จะเตรียมการแสดงอะไรมาบ้าง’

ทั้งผู้ดูแลฝ่ายคัดตัวนักแสดง ผู้บริหารสองคน นักแสดงในที่นั่งผู้ชม และทีมงานอีกหลายสิบชีวิต ทุกคนต่างก็คิดในใจคล้าย ๆ กับผู้กำกับอันกาบก

‘เอาล่ะ โชว์ฝีมือมาเลย’

แต่ลึก ๆ แล้ว พวกเขาคิดว่าคงไม่ง่ายนัก เพราะการแสดงของนักแสดงฮอลลีวูดสองคนก่อนหน้านั้นยอดเยี่ยมมาก ทันทีที่คังวูจินขึ้นเวทีและภาพของเขาปรากฏบนจอมอนิเตอร์ PDใหญ่ก็กำลังจะเอ่ยปาก

แต่ทว่า

“เอ๊ะ?”

คำพูดของเธอขาดหายไป เหตุผลนั้นแสนเรียบง่าย

-กึก

สิ่งที่คาดไม่ถึงปรากฏขึ้นบนเวที วูจินไม่ได้ยืนกลางแสงไฟที่จับจ้องดังเช่นนักแสดงฮอลลีวูดคนอื่น ๆ เขากลับก้าวผ่านจุดศูนย์กลางนั้น มุ่งตรงไปยังโซฟาเดี่ยวในมุมที่แสนจะเงียบสงบ ทิ้งตัวลงนั่งอย่างไม่ใยดี

ไม่มีการบอกกล่าวใด ๆ ล่วงหน้า 'นี่มันเล่นนอกบทชัด ๆ'

ทีมงานต่างชาติที่ควบคุมกล้องต่างก็หันเลนส์ตามอย่างรวดเร็ว ภาพของวูจินที่นั่งอย่างสบายอารมณ์บนโซฟาเดี่ยวถูกบันทึกไว้ ทุกมุมกล้องต่างจับจ้องมาที่เขาเพียงผู้เดียว จากเดิมที่นักแสดงต้องยืนในตำแหน่งที่กำหนด กลับกลายเป็นว่ากล้องทุกตัวต้องไล่ตามวูจิน ราวกับว่าการออดิชั่นครั้งนี้กลายเป็นรายการทอล์คโชว์ส่วนตัวของเขาไปเสียแล้ว

ทันใดนั้น อันกาบกก็ขมวดคิ้วน้อย ๆ

'······นี่มันตั้งใจหรือไม่นะ?'

ในทางตรงกันข้าม ทั้งผู้อำนวยการสร้าง นักแสดงฮอลลีวูด และชาวต่างชาติกว่า 50 ชีวิต ต่างมองด้วยความฉงน บางคนถึงกับกะพริบตาปริบ ๆ ด้วยความงุนงง

ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง

“อ่า-”

วูจินไขว่ห้าง ดึงดูดทุกสายตาในห้องโถงราวกับเป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาล

“เหนื่อยเหลือเกิน ที่ต้องเสแสร้งแกล้งทำ”

เขาเอ่ยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือ

“ต่อไปนี้ ผมจะเป็นตัวของตัวเอง ไม่รู้ว่ากี่ปีแล้วนะ ที่ไม่ได้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมาให้ใครเห็น”

ทุกคำพูด ทุกท่าทาง ไม่อาจเรียกว่าการแสดงได้เลยแม้แต่น้อย

“ที่จริงแล้ว ผมใช้ชีวิตอยู่ภายใต้หน้ากากมาโดยตลอด หลายปีแล้วล่ะ ผมซ่อนตัวตนที่แท้จริงเอาไว้ และคนอื่น ๆ ก็เข้าใจผมผิดไปหมด”

แม้แต่ภาพลักษณ์ที่เขาสร้างขึ้นมาก็พลันสลายหายไปในชั่วพริบตา

“พวกคุณทุกคนที่นี่ก็ส่วนหนึ่ง แล้วพวกคุณตัวแทนที่ติดสอยห้อยตามผมมาทางด้านหลังนั่นอีก ร่วมมือพากันเล่นละครฉากใหญ่พร้อมกับผมเสียหมดเลยรึไง?” เสียงของเขาดังขึ้น พร้อมกับความรู้สึกโล่งอกที่ระบายออกมาได้ในที่สุด

“ตอนนี้ผมสารภาพก็ได้ เรื่องราวมันบานปลายจนเกินควบคุมโดยไม่รู้ตัว จนผมมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไงยังไม่รู้สึกตัวเลย?”

เขาหยุดคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะอุทานออกมาอย่างประหลาดใจ “เอ๊ะ? ทำไมทุกคนทำหน้าแบบนั้นล่ะ? เหมือนไม่เชื่อที่ผมพูดเลยแฮะ” เขายิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะเฉลยออกมา “ที่ผ่านมามันก็แค่การแสดง ตัวตนที่แท้จริงของผมก็เป็นอย่างที่เห็นนี่แหละ”

เหล่าผู้ทรงอิทธิพลในห้องโถงต่างตะลึงงันราวกับถูกสาป

-จบ-

ติดตามผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:ยักษาแปร ผู้แปลลงแค่ในMy-NovelและThai-novelเท่านั้น หากอ่านที่อื่นรบกวนมาสนับสนุนทีนะครับผม หรือจะมากดไลก์แฟนเพจก็ได้ กระซิกกระซิก ;-;_

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด