บทที่ 156 อีกครั้งกับเซียมซีระดับสูงสุด!
ตามที่ชู่คุนกล่าวไว้ หลินเจิ้นโชคไม่ดีจริงๆ
จุดที่เขาถูกโจมตีอยู่ใกล้กับบ้านเกิดของเขาในเจียงโจวหากไม่ใช่เพราะเขาได้รับบาดเจ็บก่อนหน้าหลินเจิ้นอาจมีโอกาสหลบหนีกลับไปยังดินแดนบรรพชนของตระกูลหลินในเจียงโจว
แต่กลับกลายเป็นว่าสวี่หยวนเจินดักโจมตีและสังหารเขาเสียก่อนกลางทาง
ศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักเทียนซือทำตามคำพูดจริงๆ
“พวกตระกูลหลินทำร้ายคนของสำนักเทียนซือของข้าไม่ว่าคนของข้าจะเป็นอะไรหรือไม่ข้าก็ต้องตอบโต้ให้เท่าเทียมกันโดยไม่ลดหย่อน”
“พวกเจ้าดักโจมตีคนของข้าข้าก็จะดักโจมตีคนของเจ้า จะเป็นหรือตายก็แล้วแต่ฝีมือของแต่ละฝ่าย”
หากจะกล่าวว่าสวี่หยวนเจินไม่ยุติธรรมนางก็ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ศิษย์ขั้นกลางของตระกูลหลินอย่างเล่ยจวินหรือจางจิ้งเจินหากจะลงมือนางก็จัดการกับศิษย์ขั้นสูงสุดของพวกเขาเท่านั้น!
แต่ถ้าจะบอกว่านางยุติธรรมนางก็ไม่มีทีท่าสง่างามแบบผู้บำเพ็ญเลย ด้วยพลังระดับแปดชั้นฟ้านางใช้วิธีซุ่มโจมตีหลินเจิ้นซึ่งอยู่ในระดับเจ็ดชั้นฟ้า
ผลลัพธ์คือหลินเจิ้นทายาทที่มีความหวังสูงสุดของตระกูลหลินในเจียงโจวเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ
หากเปรียบกับสำนักเทียนซือนั่นเท่ากับการสูญเสียศิษย์พี่ใหญ่หลี่เจิ้งเสวียนของพวกเขา
เล่ยจวินกับชู่คุนมองหน้ากันโดยไม่มีคำพูดใดๆ
"พูดตามตรงข้าคาดว่าศิษย์พี่ใหญ่จะเลือกศิษย์ระดับสูงสุดของตระกูลหลินเป็นเป้าหมาย แต่ไม่คิดว่านางจะจัดการหลินเจิ้นโดยตรง"หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งเล่ยจวินกล่าวด้วยน้ำเสียงลึกซึ้ง
"ศิษย์พี่ใหญ่…มักจะทำให้คนแปลกใจเสมอ"
ชู่คุนเผยรอยยิ้มแหยๆ
"บางที…อาจารย์คงไม่ได้มองเรื่องนี้แบบนั้น"
สำหรับบางคนเหตุการณ์นี้คือเรื่องน่าแปลกใจ สำหรับบางคนมันคือฝันร้าย
แม้ว่าหลินฉือจะเคยพ่ายแพ้ในภูเขาเทียนซงแต่ก็ไม่ร้ายแรงเท่ากับกรณีของหลินเจิ้น
การตายของหลินเจิ้นหมายถึงว่าตระกูลหลินในเจียงโจวไม่ว่าคิดอย่างไรก็ต้องตอบโต้
ความสัมพันธ์ที่เปราะบางในโปหยางต้าเจ๋อไม่อาจดำเนินต่อไปได้
สงครามแนวหน้ากลายเป็นสนามรบแห่งเลือดและไฟในทันที
บรรดาศิษย์ในแนวหน้าเช่นหลี่จื่อหยางและซั่งกวนหนิงต้องเผชิญกับความกดดันอย่างมาก
พวกเขาคงไม่สามารถบ่นหรือกล่าวโทษสวี่หยวนเจินได้
ต้องรับมือกับการโต้กลับของตระกูลหลินก่อน
โชคดีที่สวี่หยวนเจินไม่ได้ทำเพียงฆ่าแล้วปล่อยทิ้ง นางยังคงสู้รบกับศิษย์ขั้นสูงของตระกูลหลินระหว่างเจียงโจวและซิ่นโจว
สถานการณ์ที่เปลี่ยนไป
ในระหว่างที่แนวหน้าดุเดือดอาจารย์หยวนโม่ไป๋ยังคงคุมสถานการณ์ที่แท่นพิธีหมื่นธรรมและหลี่หงอวี่ยังคงปกป้องเสื้อคลุมเทียนซือที่เป็นสมบัติอันล้ำค่า
ตระกูลหลินส่งกำลังมาแก้แค้นอย่างหนัก
แต่ในขณะเดียวกันหลี่ซงผู้อาวุโสใหญ่ก็ออกจากสำนักเพื่อเสริมกำลังที่โปหยางต้าเจ๋อ
สงครามระหว่างสองฝ่ายยังคงดำเนินไปในลักษณะของการต่อสู้ที่วัดความแกร่งของแต่ละฝ่าย
อย่างไรก็ตามเล่ยจวินและชู่คุนยังคงอยู่ที่สำนัก เนื่องจากหน้าที่สำคัญในการช่วยเสริมทรัพยากรทางคาถาให้แนวหน้า
กระทั่งวันหนึ่งข้อความปรากฏขึ้นในจิตของเล่ยจวิน
"วันแห่งสายลมและพายุจะเป็นเวลาที่ฟ้าเปิดและทะเลกว้าง"
จากนั้นเซียมซีสามใบปรากฏขึ้นในจิตสำนึกของเขา
1.เซียมซีระดับสูงสุด หากไปยังภูเขาเซียนหลิวภายในเจ็ดวันจะได้รับโชคชั้นสามปลอดภัยไม่มีภัยใดติดตาม"มหามงคล"
2.เซียมซีระดับกลาง-หากอยู่ที่สำนักเทียนซือจะไม่มีผลดีหรือร้าย"มั่นคง"
3.เซียมซีระดับต่ำปานกลาง-หากไปถ้ำสวรรค์ชิงอวี้จะได้รับโชคชั้นหกแต่มีอันตรายมาก"อัปมงคล"
“หืม…เซียมซีระดับสูงสุดอีกแล้วหรือ?”
เล่ยจวินรู้สึกยินดีในใจ
เมื่ออ่านคำทำนายเซียมซีอย่างละเอียดคำทำนายนั้นชี้ไปที่ภูเขาเซียนหลิวทำให้เล่ยจวินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
สิ่งที่หยวนโม่ไป๋กังวลเขาเองก็นึกถึงเช่นกัน
ย้อนกลับไปตอนเดินทางกลับจากถ้ำสวรรค์ฉีหยวน กลับสำนักในครั้งก่อนกลุ่มคนของตระกูลหลินตั้งใจดักรอเขาอยู่ในหุบเขาริมแม่น้ำชางหลิง แต่ตอนนั้นจางจิ้งเจินผ่านมาพบโดยบังเอิญพอดี
ดังนั้นเมื่อสถานการณ์การต่อสู้ขยายวงกว้างขึ้นและศาลาสมบัติร้องขอให้เล่ยจวินอยู่บนภูเขาเล่ยจวินจึงมุ่งเน้นดูแลด้านเสบียงในพื้นที่แทนที่จะลงจากภูเขาเพื่อเปิดโอกาสให้ตระกูลหลินซุ่มโจมตีเขาอีกครั้ง
แต่ไม่คาดคิดว่าที่ภูเขาเซียนหลิวกลับเปิดเซียมซีระดับสูงสุดขึ้นมาได้!
เมื่ออ่านคำทำนายอย่างละเอียดเล่ยจวินเริ่มครุ่นคิดในใจ
ความระมัดระวังที่เขามีเมื่อก่อนหน้านี้น่าจะเป็นเรื่องถูกต้อง
เพียงแต่ว่ามีบางสิ่งหรือบางผู้ที่ช่วยคลี่คลายอันตรายจนหมดสิ้นจึงบอกใบ้เส้นทางอันไร้ภัยพาลนี้ผ่านเซียมซีระดับสูงสุด
เล่ยจวินเริ่มกระจ่างขึ้นในใจก่อนหันมองไปยังอาจารย์ของเขา
หยวนโม่ไป๋ที่เห็นท่าทางเช่นนี้ของเล่ยจวินก็เผยรอยยิ้มบางเบาขึ้นเล็กน้อย
เล่ยจวินเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ยิ่งมั่นใจในข้อสันนิษฐานของตน
“อาจารย์ท่านหมายถึง...”
หยวนโม่ไป๋เก็บรอยยิ้มกลับมีสีหน้าจริงจังขึ้นเล็กน้อยก่อนกล่าวอย่างช้าๆ
“ความเสี่ยงยังคงมีอยู่บ้างสุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้าเอง หากเจ้าไม่อยากลงจากภูเขาการอยู่ที่นี่ต่ออีกสักพักก็ไม่เป็นปัญหา”
จากนั้นเขาจึงเผยรอยยิ้มอีกครั้ง
“ต่อให้เจ้าอยู่บนภูเขาก็ไม่ได้หมายความว่าขี้เกียจ”
เล่ยจวินก้มหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบว่า
“อาจารย์ศิษย์คิดจะลองลงเขาดู”
หยวนโม่ไป๋พยักหน้า
“ภูเขาเซียนหลิวหรือถ้ำชิงอวี่ก็ได้แล้วแต่เจ้าคิดอย่างไร”
เล่ยจวินตอบกลับ
“ศิษย์อยากลองไปที่ภูเขาเซียนหลิว”
เขายิ้มเล็กน้อย
“ถึงจะไกลไปหน่อยแต่สงบดี”
แม้เหตุผลจะดูผิดธรรมชาติแต่หยวนโม่ไป๋ก็ยิ้มรับเช่นกัน
“เตรียมตัวเถอะแล้วออกเดินทาง”
เล่ยจวินตอบรับคำหันหลังกลับไปยังที่พักของตนเพื่อเตรียมตัว
หลังทำธุระสุดท้ายกับศาลาสมบัติและจัดของใช้จำเป็นเรียบร้อยเล่ยจวินก็ลงจากภูเขาเตรียมออกเดินทาง
ครั้งนี้เจ้าแพนด้ายักษ์คู่ใจไม่ได้เดินทางไปด้วย
เจ้าเกียจคร้านตัวนั้นพักนี้กลับมีความขยันขึ้นเล็กน้อยกำลังฝึกฝนวิชาเต๋า“คัมภีย์แห่งการช่วยเหลือผู้คน”จนถึงจุดสำคัญดังนั้นเล่ยจวินจึงตัดสินใจไม่พามันไปด้วยปล่อยให้อยู่บนภูเขาต่อไปคอยก่อกวนศิษย์น้องชู่คุนแทน
เล่ยจวินเดินทางออกจากภูเขาหลงหู่ มุ่งหน้าไปยังภูเขาเซียนหลิวซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกของภูเขาหลงหู่
ก่อนหน้านี้เมื่อเขาเดินทางไปกลับระหว่างภูเขาเสวียนหยางและภูเขาหลงหู่เขาเคยผ่านภูเขาเซียนหลิวหลายครั้งแต่ได้เพียงมองดูอยู่ไกลๆไม่เคยขึ้นไป
ทว่าตอนนี้ท่ามกลางภูเขาเขียวขจีและน้ำใสการสู้รบกลับปกคลุมทุกสิ่ง
เป็นการสู้รบที่แท้จริง
รอบนอกของภูเขาเซียนหลิวมีลำน้ำวนล้อมรอบ
ในขณะนี้บนผิวน้ำมีเหล่าศิษย์สำนักสายขงจื๊อเรียงรายกันร้องบทกวีพร้อมเพรียง
“ปลาและมังกรพ่นเพลิงลอยออกมาจากเกลียวคลื่นบังเกิดความหวาดกลัวนับครั้งไม่ถ้วน”
ทันใดนั้นเปลวเพลิงนับไม่ถ้วนก็ลุกขึ้นจากผิวน้ำประหนึ่งมังกรเพลิงนับพันนับหมื่นพุ่งขึ้นจากทุกทิศทุกทางมุ่งสู่ภูเขาเซียนหลิว
นี่คือพลังของสายการร้องสวดแห่งขงจื๊อ
บนภูเขาเซียนหลิวศิษย์สำนักเทียนซือแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม
กลุ่มหนึ่งยกยันต์ขึ้นพร้อมกันใช้แสงจากยันต์ป้องกันการโจมตีของศัตรู
อีกกลุ่มหนึ่งพุ่งลงจากภูเขาเข้าใกล้ศัตรูที่ริมแม่น้ำชางหลิงเพื่อต่อสู้กับศิษย์ตระกูลหลิน
ทว่าเหล่าศิษย์ตระกูลหลินไม่ได้มีเพียงสายการร้องสวดพวกเขายังมีผู้ฝึกฝนคัมภีร์ขงจื๊อด้วย
ในเวลานี้ดาบพลังงานแผ่ออกมาแน่นขนัดป้องกันไม่ให้ศิษย์สำนักเทียนซือเข้าใกล้
ทั้งสองกลุ่มที่อยู่ห่างไกลและใกล้ชิดกันประสานงานกันอย่างดีกดดันการตอบโต้ของศิษย์สำนักเทียนซือ
เล่ยจวินมองเห็นภาพจากระยะไกลขมวดคิ้วเล็กน้อย
ตระกูลใหญ่ห้าสกุลเจ็ดวงศ์ ผู้ฝึกฝนสายขงจื๊อถึงแม้แต่ละบ้านจะมีการเน้นหนักที่แตกต่างกันแต่ไม่มีใครที่ยึดติดเพียงสิ่งเดียว
ดังนั้นเมื่อเปิดศึกขนาดใหญ่กับโลกภายนอกพวกเขามักมีศิษย์จากหลายสายคอยสนับสนุนกัน
ในแง่นี้ศิษย์สายเต๋าที่ฝึกวิชาเต๋าสายยันต์เพียงอย่างเดียวของสำนักเทียนซือเมื่อสู้แบบตัวต่อตัวอาจไม่เป็นรอง แต่เมื่อเป็นกลุ่มใหญ่ย่อมลำบากกว่า
ยังดีที่สายยันต์มีความสามารถรอบด้านปรับตัวเก่ง
ศิษย์สำนักเทียนซือที่ฝึกวิชาประจำตัวต่างกันก็สามารถเสริมจุดเด่นของกันและกันในการต่อสู้ได้เช่นกัน
แต่สายการร้องสวดและการยิงธนูแห่งขงจื๊อมีระยะโจมตีที่ไกลกว่าทำให้สถานการณ์ดูเหมือนศิษย์สำนักเทียนซือจะเสียเปรียบเล็กน้อย
เล่ยจวินมีนิสัยหนึ่ง
แม้ระหว่างเดินทางเขามักใช้ยันต์ขี่ลมที่เรียกว่า“ลมยามค่ำคืน”ติดตัวเสมอ
เพื่อเพิ่มความเร็วและปิดบังตัวตน
แม้จะสิ้นเปลืองพลังและยันต์แต่ในสถานการณ์เช่นนี้กลับมีประโยชน์มาก
เมื่อเห็นภูเขาเซียนหลิวเกิดเพลิงไหม้เขาก็หายตัวไปในป่าเขาทันที
เมื่อปรากฏตัวอีกครั้งก็อยู่ใกล้ริมแม่น้ำ
ศิษย์สำนักเทียนซือที่กำลังสู้รบอยู่ด้านล่างต่างยุ่งอยู่
กับการต่อสู้จึงไม่มีใครสนใจสถานการณ์ไกลออกไป
ส่วนศิษย์ที่เฝ้าบนภูเขาก็เกิดความวุ่นวายเล็กน้อย
บางคนเสนอให้ลงไปช่วยด้านล่างทำลายแนวศัตรูของตระกูลหลิน
บางคนเสนอให้อยู่รักษาตำหนักเต๋าบนภูเขาเพื่อป้องกันศัตรูลอบโจมตีจากด้านหลัง
ระหว่างที่กำลังถกเถียงกันอยู่นั้นพวกเขามองลงไปเบื้องล่างแล้วเริ่มสงสัยในสายตาตัวเอง
เพราะพวกเขาเห็นเหล่าศิษย์สายการร้องสวดของตระกูลหลินที่เรียงรายอยู่บนผิวน้ำเริ่มลดจำนวนลง
แถวที่ดูเป็นระเบียบก็เริ่มหายไปจากปลายแถวทีละคน
ทุกอย่างเกิดขึ้นโดยไม่มีวี่แววล่วงหน้า
หัวหน้าของกลุ่มศิษย์ตระกูลหลินเริ่มรู้ตัวว่ามีบางอย่างผิดปกติแต่ช้าเกินไปเพราะศิษย์ในแถวถูกกระแสน้ำพัดหายไปแล้วหลายคน
แม้จะเป็นเวลากลางวันแต่เงาร่างสูงใหญ่ปรากฏขึ้นราวกับปีศาจ
ในมือของเขายกกระบองขนาดใหญ่ขึ้นสูง...
“ปัง!”
เล่ยจวินเห็นสถานการณ์ตรงหน้าแล้วไม่คิดเก็บงำร่องรอยอีกต่อไปเขาลงมืออย่างเด็ดขาดใช้กระบองในมือฟาดหัวศิษย์ตระกูลหลินอีกคนจนแตกกระจาย
ร่างของอีกฝ่ายจมลงไปในน้ำเผยให้เห็นรูปร่างสูงใหญ่สง่างามของเล่ยจวินที่ยืนเด่นอยู่เบื้องหลัง
จากนั้นเหตุการณ์ก็ง่ายขึ้น
เล่ยจวินและศิษย์สำนักเทียนซือที่เหลือโจมตีขนาบทั้งหน้าและหลัง
ศิษย์ตระกูลหลินที่เสียขบวนจนตั้งหลักไม่ได้ก็ไม่อาจต้านทานต่อไปได้อีกไม่นานก็แตกพ่ายและถูกสังหารจำนวนมาก
เลือดไหลรินย้อมแม่น้ำให้เป็นสีแดงแต่กระแสน้ำพัดพาไปไม่นานก็กลับมาใสสะอาดดังเดิม
เล่ยจวินไม่ได้ไล่ล่าศัตรูที่หลบหนีไปมากนักในครั้งนี้
เมื่อเขามาถึงภูเขาเซียนหลิวข่าวคราวย่อมไม่อาจปิดซ่อนเป็นความลับได้โดยสิ้นเชิง
ด้วยความที่พื้นที่โดยรอบยังไม่คุ้นเคยนักเล่ยจวินจึงเลือกที่จะตั้งหลักก่อนโดยไม่เสี่ยงไล่ตามศัตรูอย่างผลีผลาม
เขารวบรวมศิษย์สำนักเทียนซือที่อยู่ในเหตุการณ์แล้วพากลับไปยังตำหนักเต๋าบนภูเขา
ผู้อาวุโศผู้คอยดูแลตำหนักก่อนหน้านี้ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนต้องถูกส่งกลับไปยังภูเขาหลงหู่เพื่อรักษาตัวทำให้ภูเขาเซียนหลิวในขณะนั้นไม่มีผู้นำ
การมาถึงของเล่ยจวินจึงเป็นการมารับหน้าที่รักษาการตำแหน่งผู้อาวุโสประจำตำหนัก
ด้วยพลังระดับห้าชั้นฟ้าของเขาจึงเหมาะสมกับตำแหน่งนี้
แม้จะมีศิษย์เทียนซือที่อายุมากกว่าหรือเข้าสำนักมาก่อน แต่ทุกคนล้วนยอมรับในฐานะ“ศิษย์พี่เล่น”และเข้ามาทักทายด้วยความเคารพ
เล่ยจวินเองก็ไม่ได้เกรงใจ เขาเมื่อรับหน้าที่แล้วก็ไม่ลังเลที่จะออกคำสั่ง
สิ่งแรกที่ทุกคนทำคือการเก็บกวาดสนามรบรักษาผู้บาดเจ็บและซ่อมแซมค่ายกลป้องกันตำหนักเต๋า
ในช่วงค่ำของวันนั้นศิษย์ตระกูลหลินเข้ามาโจมตีอีกสองครั้ง แต่ก็ถูกตีกลับไปจนไม่สามารถสร้างผลกระทบใดๆได้
ทว่า...
เช้าวันที่สามหลังจากเล่ยจวินมาถึง
ท้องฟ้ากลับกลายเป็นสีแดงเพลิง
ความร้อนแรงนั้นแผ่ขยายไปทั่วทั้งแดงจนชวนให้ใจสั่น
ราวกับว่าเลือดจะหยดลงจากท้องฟ้า
“ดวงตะวันหยาดหยดโลหิตลงผืนดินลมพัดเปลวเพลิงหมายเผาผลาญผู้คน”เสียงท่องบทกวีดังขึ้นราวกับดังก้องไปทั่วทุกทิศ
เปลวเพลิงทั่วฟ้าถูกพัดกระหน่ำด้วยสายลมครอบคลุมทั้งภูเขาเซียนหลิวในชั่วพริบตา
นี่คือพลังของจอมปราชญ์สายการร้องสวดแห่งขงจื๊อระดับเจ็ดชั้นฟ้า!
ด้วยพลังอันมหาศาลราวกับดวงตะวันหยาดหยดโลหิตลงสู่ท้องฟ้าไฟลุกโชนไปทั่วหล้า
เล่ยจวินเงยหน้ามองฟ้าจากในตำหนักภูเขาเซียนหลิว
เขาคิดไม่ผิดตระกูลหลินจากเจียงโจว มุ่งเป้าหมายมาเพื่อกำจัดเขาโดยเฉพาะ
แม้กระทั่งส่งผู้มีพลังระดับหกชั้นฟ้ามาแต่ยังไม่พอใจ
ครั้งนี้ถึงกับส่งผู้อาวุโสของตระกูลระดับเจ็ดชั้นฟ้าออกมา
การลงมือครั้งนี้ชัดเจนว่าต้องการเล็งสังหารเล่ยจวินให้ได้
ทั้งเพื่อแก้แค้นแทนหลินเจิ้นที่ถูกฆ่าและเพื่อกำจัดศิษย์สำนักเทียนซือผู้มีศักยภาพสูง
ทว่าเปลวเพลิงกลับไม่อาจร่วงลงถึงตำหนักภูเขาเซียนหลิวได้
เพราะมีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นในอาภรณ์สีม่วง
ผู้บำเพ็ญผู้มาใหม่ยืนสง่างามราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิที่พัดพาเปลวเพลิงไป
“หยวนโม่ไป๋?!”ผู้อาวุโสตระกูลหลินตะโกนต่ำ
“เจ้ากล้าละทิ้งแท่นพิธีหมื่นธรรมเพื่อออกมาหรือ?”
“เราต่างรู้เบื้องลึกเบื้องหลังกันดี หากไม่มีสิ่งใดที่เกินความคาดหมายจะให้ข้าสร้างความประหลาดใจแก่ท่านได้อย่างไร?”หยวนโม่ไป๋เอ่ย
“แท่นพิธีหมื่นธรรมไม่มีปัญหาใด ท่านอย่ากังวลเวลาของข้ามากนักเลย”หยวนโม่ไป๋ตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน
(จบบท)