บทที่ 1 พิธีศพ (ตอนที่ 22) - จบเล่ม 1
“เวรเอ๊ย!”
เว่ยตงขว้างตั๋วลงกับพื้น แล้วเหยียบมันด้วยความโมโหหลายครั้ง
“เราจะฉีกมันหรือเผามันได้ไหม?! ทำได้ไหม?!”
คุณหมอฉินส่ายหน้า “ผลของการทำลายตั๋วนี้คือความตายในโลกความเป็นจริง และมักเป็นการตายที่น่าสยดสยองหรือทรมานอย่างสุดขีด”
เว่ยตงก้มเก็บตั๋วขึ้นมา ยิ้มแห้ง ๆ ที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังและหมดหนทาง
เค่อชุนเก็บตั๋วใส่กระเป๋า แล้วเงยหน้ามองมู่อี้หราน จากนั้นก็พบว่าลูกพี่ของเขาสวมเสื้อสูทหรูหราด้านบน แต่ด้านล่างกลับมีเพียงกางเกงในแบบบ็อกเซอร์ตัวเดียว
เค่อชุน “…”
ก่อนจะออกจากภาพ เขาถอดกางเกงของมู่อี้หราน
ไม่แปลกใจเลยที่เมื่อครู่เขาถึงจ้องเขาด้วยสายตาที่อยากกลืนกินเขา
“แค่ก ๆ” เค่อชุนรีบเดินเข้าไปหา “ลูกพี่ ฉันผิดไปแล้ว นายถอดเสื้อสูทออกแล้วเอามาคลุมด้านล่างไว้ก่อน ฉันจะไปเรียกรถแท็กซี่มาจอดรอที่ประตูหลัง จากนั้นฉันกับตงตงจะพานายขึ้นรถ บ้านนายอยู่ในเมืองนี้หรือเปล่า?”
ลูกพี่มู่อี้ยังคงมองเขาด้วยสายตาที่เย็นชาอย่างเอาเรื่อง
“ไม่ได้อยู่ในเมืองนี้เหรอ? งั้นเอาแบบนี้ นายไปบ้านฉันก่อน บ้านฉันอยู่ใกล้ที่นี่มาก นายจะได้ยืมเสื้อผ้าฉันใส่ชุดหนึ่ง ตกลงไหม?” เค่อชุนพูดพร้อมกับส่งสายตาให้เว่ยตง
เว่ยตงรีบพยักหน้า “ใช่ ๆ ลูกพี่ สภาพนายแบบนี้จะไปโรงแรมก็ไม่ได้ ที่นั่นคนเยอะ ไปบ้านฉันก็ไม่สะดวก พ่อแม่ฉันอยู่ที่นั่น แต่บ้านของเค่อเขาอยู่คนเดียว ไม่มีใครเห็นหรอก ไปที่นั่นอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าได้สะดวก เราอยู่ในภาพวาดนานมาก ทั้งต้องคลานและลุยอะไรต่าง ๆ ตัวเลอะเทอะไปหมด ลูกพี่เป็นคนรักสะอาด จะทนกลับบ้านไปโดยไม่อาบน้ำไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าไหวเหรอ?”
คำพูดนี้ดูเหมือนจะทำให้มู่อี้หรานคล้อยตาม เขาขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เค่อชุนถอนหายใจเบา ๆ แล้วหันไปถามคุณหมอฉิน “แล้วคุณหมอล่ะครับ วางแผนไว้ยังไง จะไปที่บ้านฉันก่อนด้วยไหม?”
คุณหมอฉินยิ้มเบา ๆ แล้วส่ายหน้า “ไม่ล่ะ ฉันอยากกลับบ้านก่อน บ้านฉันก็ไม่ได้อยู่ในเมืองนี้ ตอนนี้ยังมีรอบถ้าซื้อตั๋วทันก่อนค่ำ เอาเป็นว่าไว้เจอกันครั้งหน้า ไม่ช้าก็เร็ว พวกเราจะได้พบกันอีก ดูแลตัวเองด้วยนะ”
พูดจบเขาก็เดินออกจากห้องจัดแสดงด้วยท่าทางเหนื่อยล้า
เจ้าของร้านแพนเค้กและหม่าจั้นฮัวยังคงนั่งทรุดอยู่บนพื้น สภาพเลอะไปด้วยปัสสาวะของตัวเอง
“ฉันว่านะเจ้าของร้าน ในเมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว ก็อย่าคิดอะไรมากเลย” เว่ยตงเดินเข้าไปดึงเจ้าของร้านแพนเค้กขึ้นมา “กลับไปล้างตัวดี ๆ พักผ่อนเถอะ และอย่าทำอะไรที่โง่ ๆ ครั้งนี้เรารอดมาได้ ครั้งหน้าอาจจะยังมีโชคอีก ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการกระทำ รีบกลับบ้านดีกว่า”
เจ้าของร้านแพนเค้กเหมือนหุ่นที่ไร้ชีวิต ถูกบังคับให้ทำตามคำพูดของคนอื่น ๆ เขาลุกขึ้นและออกจากห้องจัดแสดงไปด้วยท่าทางสิ้นหวัง
เหลือหม่าจั้นฮัวที่ไม่มีใครสนใจ เค่อชุนหันไปดึงแขนของมู่อี้หราน แต่ถูกเขาปัดออก มู่อี้หรานถอดเสื้อสูทด้านบนออกมาเพื่อคลุมด้านล่างของตัวเอง
เค่อชุนให้เว่ยตงไปเรียกรถ ทั้งสามคนพากันออกจากพิพิธภัณฑ์ศิลปะทางประตูหลังด้วยท่าทางที่พยายามปกปิดตัวเอง
เมื่อออกมาข้างนอกก็พบว่าฝนกำลังตก เว่ยตงรู้สึกแปลกใจ “ฝนตกตอนที่เราเข้าไปในภาพ แล้วทำไมตอนออกจากภาพก็ยังตกอีก? พี่คนขับ ฝนตกตลอดไม่หยุดเลยเหรอในช่วงนี้?”
คนขับแท็กซี่ดูจะสงสัยยิ่งกว่าเขา “พวกนายเป็นคนต่างถิ่นสินะ? ฝนที่นี่ก็เพิ่งจะตกวันนี้วันแรกนั่นแหละ”
“หา?”
เว่ยตงกำลังจะพูดแย้ง แต่ถูกเค่อชุนจับไหล่ไว้ ทำให้เขารีบเงียบลงทันที
เค่อชุนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง และพบว่าสัญญาณที่หายไปนานกลับมาอีกครั้ง วันที่และเวลาที่ปรากฏบนหน้าจอแสดงชัดเจนว่าเป็นช่วงก่อนที่พวกเขาจะเข้าไปในภาพ
เค่อชุนถามมู่อี้หรานเบา ๆ ว่า “เวลาที่เราอยู่ในภาพ มันไม่สอดคล้องกับเวลาจริง ๆ ใช่ไหม?”
มู่อี้หรานไม่ตอบอะไร
เค่อชุนพยักหน้าเข้าใจ “นั่นหมายความว่า ไม่ว่าเราจะอยู่ในภาพนานแค่ไหน เวลาของโลกความเป็นจริงจะยังคงหยุดอยู่ที่เวลาขณะที่เราจะเข้าไปในภาพ”
พูดเสร็จก็หยิบตั๋วที่อยู่ในกระเป๋าขึ้นมาอีกครั้ง แล้วมองไปที่เวลาที่พิมพ์อยู่บนนั้น
เวลาที่จะเข้าไปในภาพครั้งต่อไปนั้นจะเริ่มในอีก 13 วัน
เค่อชุนอาศัยอยู่ในที่พักใหม่ที่เขาซื้อหลังจากขายบ้านที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้ เป็นอพาร์ทเมนต์ที่ตั้งอยู่ในย่านที่สร้างขึ้นใหม่ใจกลางเมืองเมื่อสองปีที่แล้ว เค่อชุนอาศัยอยู่ชั้นบนสุด บ้านไม่เล็กนัก แต่เฟอร์นิเจอร์ไม่มาก สิ่งที่ใหญ่ที่สุดคือเตียงคู่ในห้องนอน ผ้าปูเตียงสีฟ้าเมทัลลิค ผ้าห่มไม่ได้พับไว้ แต่อยู่ที่ปลายเตียงอย่างไม่เป็นระเบียบ
เค่อชุนหยิบชุดเสื้อผ้าชุดหนึ่งจากตู้บิลท์อิน แล้วยื่นให้มู่อี้หราน “ใส่แก้ขัดไปก่อนแล้วกัน ของฉันมีแต่แนวลำลองกับแนวกีฬา ไม่มีชุดทางการ”
ดีที่มู่อี้หรานไม่ได้แสดงสีหน้าดูถูก เขารับเสื้อผ้าไปอย่างไม่แสดงอารมณ์ และพูดอย่างเย็นชา
“ออกไป”
“จะอาบน้ำก่อนแล้วค่อยเปลี่ยนเสื้อผ้าไหม?” เค่อชุนถามเขา
มู่อี้หรานหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วในที่สุดก็เดินเข้าห้องน้ำไป
ได้ยินเสียง “ปัง!” ของประตูห้องน้ำปิด เค่อชุนเกาหัวแล้วบิดตัวเหยียดขึ้นด้วยความเหนื่อยล้า
เมื่อมองไปรอบ ๆ บ้านที่ว่างเปล่าและเรียบง่าย เค่อชุนยังรู้สึกว่าทุกอย่างยังคงดูไม่ค่อยเป็นความจริงนัก
อันที่จริงแล้ว ตั้งแต่ที่เขากลายมาเป็นเด็กกำพร้า จากเดิมที่เคยเป็นเด็กในครอบครัวธรรมดาที่อบอุ่น เขารู้สึกว่าชีวิตของเขาเหมือนเดินเข้าสู่ความฝันที่ไม่ค่อยสมจริง
ทุกสิ่งในความฝันนี้เหมือนกับบ้านที่เขาอาศัยอยู่ในขณะนี้ ว่างเปล่า เยือกเย็น และเรียบง่ายอย่างน่าเบื่อหน่าย
เค่อชุนยิ้มเล็กน้อย แล้วหันไปเข้าครัว
เมื่อมู่อี้หรานออกมาจากห้องน้ำ ก็พบว่าชุดครึ่งท่อนที่แขวนอยู่ด้านนอกหายไป แม้แต่กางเกงในบ็อกเซอร์ก็ไม่มีเหลือ เขาขมวดคิ้ว และเส้นเลือดที่หน้าผากก็เต้นเป็นจังหวะตุบ ๆ
เขาพยายามควบคุมอารมณ์โกรธของตัวเอง แล้วฝืนใส่เสื้อผ้าที่เค่อชุนให้มา เสื้อยืดสีขาวและกางเกงวอร์มสีเทาอ่อนที่ใส่สบาย ความยาวพอดีตัว เพียงแต่มองกระจกแล้วรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
มู่อี้หรานไม่เคยใส่เสื้อผ้าแนวนี้เลย ภาพในกระจกดูเหมือนเป็นคนอื่นที่ขาดความเข้มงวดและเฉียบคม มีความผ่อนคลายแบบเค่อชุนแฝงอยู่
เขาจัดผมเปียกให้เรียบด้วยนิ้ว แล้วมองตัวเองในกระจกอีกครั้ง
ยังรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง
เป็นเพราะเสื้อยืดสีขาวนี้ทำให้เขาดูเหมือนนักศึกษามหาวิทยาลัยที่ดูสะอาดสดใสหรือเปล่า?
มู่อี้หรานพยายามทำให้สายตาของตัวเองดูจริงจังมากขึ้น
ไม่ ยังไม่ถูก
เขาขมวดคิ้วแล้วจ้องไปที่ตัวเองในกระจก
ผ่านไปสักพัก เขาก็พบสาเหตุ
บนเสื้อยืดสีขาวในกระจก มีตัวอักษรภาษาอังกฤษสีดำพิมพ์ด้วยตัวอักษรปะทะสายตา
"HTɔidAmAI"
(* ลองกลัวตัวอักษรดู *)
เส้นเลือดเล็กที่หน้าผากเกิดเสียง “เปรี๊ยะ” เหมือนจะแตกออก
มู่อี้หรานใบหน้ามีความเย็นชาอย่างรุนแรง เดินออกจากห้องน้ำ สายตากวาดมองไปรอบห้องนั่งเล่นที่ว่างเปล่า เห็นเพียงเก้าอี้แบบนั่งสบายที่ทิ้งตัวเหมือนเจ้าของของมันอยู่บนพื้นไม้สีขาวเท่านั้น
เสียงจากในครัวดังขึ้น มู่อี้หรานเดินเข้าไป มองผ่านประตูกระจกกรอบไททาเนียมสีดำ เห็นเค่อชุนที่มือหนึ่งล้วงกระเป๋า มือหนึ่งคนอะไรบางอย่างในหม้อ
คนคนนี้ยังทำอาหารเป็นด้วยหรือ?
เค่อชุนดูเหมือนจะรู้ตัว เขาหันมามองมู่อี้หรานและยิ้มเล็กน้อย เมื่อเห็นอีกฝ่ายในสภาพที่สวมชุดดูสดใส แต่หน้าตากลับเย็นชาเหมือนน้ำแข็ง เค่อชุนอดไม่ได้ที่จะคิดว่าเข้ากันดีอย่างน่ารัก
เมื่อเห็นสายตาไม่พอใจจากมู่อี้หราน เค่อชุนรีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังทันที เขาวิ่งเข้ามาเปิดประตูและยิ้มแบบไม่มีพิษภัย
“หิวหรือยัง? ฉันทำข้าวผัดแกงกะหรี่อยู่เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว นายพักก่อนนะ น้ำที่ตู้กดเพิ่งเปลี่ยนเมื่อวาน ดื่มได้สบายใจ”
มู่อี้หรานยังคงแสดงสีหน้าเย็นชาใส่เขา เค่อชุนคิดไปคิดมาแล้วพูดเสริม “ถ้าไม่ชอบดื่มน้ำเปล่า ใต้ตู้กดมีกาแฟสำเร็จรูปกับชานมอยู่ ในตู้เย็นมีโคล่ากับชาเขียว หรือถ้าไม่พอ เดี๋ยวฉันลงไปซื้อเครื่องดื่มบำรุงร่างกายให้?”
เส้นเลือดที่หน้าผากมู่อี้หรานกระตุกขึ้นมาอีกครั้ง
เค่อชุนอ่านสีหน้าออก จึงรีบเอื้อมมือไปปิดประตูกระจก “ในครัวมีควันเยอะ นายไปนั่งพักที่ห้องนั่งเล่นก่อนดีกว่า”
“เสื้อผ้าฉัน” มู่อี้หรานพูดผ่านฟันอย่างเย็นชา
“โอ้ เสื้อที่นายเปลี่ยนออก ฉันเก็บใส่ถุงไว้แล้ว เดี๋ยวเอาไปซักที่ร้านให้ มันอยู่ในภาพวาดหลายวันแล้ว ซักหน่อยจะได้เอาสิ่งไม่ดีออกไป” เค่อชุนพูดพลางปิดประตูและเดินกลับไปที่เตาเพื่อผัดข้าวต่อ
มู่อี้หรานไม่อยากเสียเวลาพูดกับเขาอีก จึงเดินเข้าห้องนอนของเค่อชุนแทน
เขาเปิดตู้บิลท์อินสีขาว เห็นเสื้อผ้าหลากสีแขวนอยู่ เปิดดูสักพักก็พบว่าทุกตัวเป็นเสื้อผ้าแนวลำลองทั้งหมด เสื้อยืด เสื้อกันหนาว และกางเกงวอร์มเต็มตู้
มู่อี้หรานเลือกเสื้อยืดสีขาวที่มีแค่โลโก้แบรนด์ติดอยู่ตรงอก และเปลี่ยนมาใส่แทนตัวเดิม จากนั้นแขวนเสื้อที่ถอดออกกลับเข้าตู้ ขณะกำลังจะปิดตู้ เขาเหลือบเห็นรูปภาพหลายใบแปะอยู่บนผนังด้านในของตู้ในลักษณะที่ค่อนข้างไม่เป็นระเบียบ
เขามองไปเห็นว่ารูปส่วนใหญ่มีเค่อชุนอยู่ในนั้น มีเค่อชุนในวัยรุ่นที่ดูสดใสและร่าเริง มีเค่อชุนในวัยเด็กที่ดูน่ารักและสดใส และยังมีเค่อชุนในวัยทารกที่ดูไร้เดียงสา
คนอื่น ๆ ในรูป บางคนคือพ่อแม่และครอบครัวของเค่อชุน บางคนเป็นเพื่อนของเขา หรือแม้แต่แมวและสุนัขของเขา ทุกภาพล้วนเต็มไปด้วยความเป็นชีวิตชีวาและความสุขที่ไม่ต้องกังวลอะไร ซึ่งแตกต่างจากบ้านที่เขาอยู่ในตอนนี้อย่างสิ้นเชิง
มู่อี้หรานมองรูปพ่อแม่ของเค่อชุนนานกว่ารูปอื่นเล็กน้อย
ใบหน้าของเค่อชุนเป็นการผสมผสานของจุดเด่นทั้งหมดของพ่อและแม่เขา คิ้ว ตาดูสดใส โครงหน้าเด่นชัด ในวัยเด็กเขาน่ารัก วัยรุ่นก็ดูดี และเมื่อเติบโตก็หล่อเหลา
เหมือนจะสอดคล้องกับการประเมินนี้ มู่อี้หรานเห็นข้อความบนรูปที่เค่อชุนยืนยิ้มกว้างพร้อมเหรียญรางวัล มีลายมือเขียนด้วยปากกาไว้ว่า “ฉันนี่แหละ หนุ่มหล่อที่ได้เหรียญทอง — เค่อชุนเขียน”
“…” มู่อี้หรานหลับตาแน่นเพราะรู้สึกแสบตาให้กับข้อความนั้น
ก่อนที่จะปิดตู้ เขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงที่จะเห็นอีกรูปหนึ่งของเค่อชุนในท่าฝึกท่าขี่ม้า พร้อมกับมีข้อความเขียนว่า “โลกนี้ช่างน่าอัศจรรย์ สร้างคนหล่อคนนี้ขึ้นมา — เค่อชุนเขียน”
เค่อชุนสุดหล่อออกมาจากครัวพร้อมกับข้าวผัดแกงกะหรี่สองจาน เขาเห็นมู่อี้หรานยืนมองออกไปนอกหน้าต่างกระจกเต็มบาน
ท้องฟ้าเมืองนี้เต็มไปด้วยเมฆหนาสวยงาม แสงสีทองส่องผ่านเมฆเป็นชั้น ๆ ฝนยังคงตก แต่ที่ไกล ๆ ก็เริ่มมีสายรุ้ง อาคารสูงสีขาวและเทาในสายตาแสดงความเรียบง่ายสดชื่นในบรรยากาศฝนพรำ
“วิวดีใช่ไหมล่ะ” เค่อชุนยื่นเท้าออกไปดึงโต๊ะเตี้ยที่ถูกบังอยู่ข้างหลังเก้าอี้นั่งสบาย ขยับมาเพื่อวางจานข้าว
“ฉันเลือกอยู่ชั้นสูงเพราะอยากมองไกล ๆ ตอนแรกน่ะ”
เขาดึงชาเขียวสองขวดออกมาจากใต้แขนแล้ววางลงบนโต๊ะ "....มากินข้าวเถอะ"
มู่อี้หรานหันหน้ามามองเขา
เค่อชุนกลัวว่าเขาจะยังดื้อดึง เลยชี้ไปที่ข้าวผัด “ทุกเม็ดคือความลำบากนะ นายไม่กิน ฉันก็ต้องทิ้งทั้งหมด”
มู่อี้หรานเดินเข้ามาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ พอสะโพกแตะกับเบาะเก้าอี้นั่ง เขาก็จมลงไปจนกลายเป็นท่านอนทันที เหมือนกำลังนอนสบาย ๆ แบบคนที่หมดแรง
มู่อี้หราน “…”
เมื่อเห็นลูกพี่ของเขาเริ่มแสดงสีหน้าบึ้งตึงขึ้นมาอีกครั้ง เค่อชุนรีบยิ้มประจบ “ก็ที่นี่ไม่ค่อยมีแขกมาเลย เพื่อน ๆ ฉันมาทีไรก็เหมือนจะป่วยเป็นอัมพาตขั้นสูงทันที เข้ามาก็อยากจะนอนแม่แต่ในห้องน้ำ ฉันก็เลยไม่ได้ซื้อโซฟาแบบจริงจัง นายทนเอาหน่อยนะ ปกติแล้วฉันนั่งกับพื้นเลยด้วยซ้ำ”
มู่อี้หรานอดทนอยู่หลายครั้ง กว่าจะนั่งได้ถนัดบนโซฟา เขาเงียบขรึมและหยิบช้อนขึ้นมาจากชาม
กุ้งแชบ๊วย เนื้อปลาไข่ เคยแห้ง พริกเขียว พริกแดง ทั้งหมดนี้คลุกเคล้ากับน้ำแกงกะหรี่หอมกะทิสีทอง เข้ากันดีกับข้าวสวย สีสันและกลิ่นหอมเย้ายวน
“เป็นไงบ้าง อร่อยไหม?” เค่อชุนนั่งฝั่งตรงข้าม ยิ้มตาหยีถามเขา
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง มู่อี้หรานก็ตอบเบา ๆ แค่ว่า
“อืม”
.
(จบบทที่ 1)
.
.
.
- จบเล่ม 1 -