บทที่ 1 พิธีศพ (ตอนที่ 20 - จิตรกรหลี่จิงห้าว)
เค่อชุนหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง
"ตอนฉันเด็ก ๆ ก็เพราะตัวสูงกว่าคนอื่น ๆ ในวัยเดียวกัน เลยถูกล้อเป็นยักษ์บื้อตัวใหญ่ทุกวัน ยกเว้นตงตงที่ยอมเล่นกับฉัน ดังนั้นฉันเข้าใจสภาพที่หลี่หมาจื่อเจอตอนเด็ก ๆ แน่นอนว่าเขาต้องลำบากกว่าฉันเป็นร้อยเท่า"
"ถ้าอย่างนั้นเราก็พอจะจินตนาการได้แล้วว่าทำไมหลี่หมาจื่อถึงเป็นทั้งพี่ชายและพ่อของหลี่กว้ายกว้าย" มู่อี้หรานพูด
เค่อชุนมีสีหน้าซับซ้อน "เพราะคนแบบหลี่หมาจื่อไม่สามารถหาภรรยาได้ เลยต้องทำเรื่องใกล้ตัว..."
มู่อี้หรานกลับยังคงมีสีหน้าสงบ "ผลก็คือ ลูกของหลี่หมาจื่อก็กลายเป็นคนพิกลพิการเช่นกัน และยิ่งแย่กว่าที่เขาเป็น ดังนั้นเราจึงจินตนาการได้ว่า ความทุกข์ที่ตกมาถึงตัวเขา ต้องยิ่งทวีความเจ็บปวดมากขึ้นเป็นทวีคูณ"
เค่อชุนมองไปที่เขา "แต่หลี่หมาจื่อกลับกลายเป็นคนที่อยู่ได้นานที่สุดในหมู่บ้านนี้ ทำไมล่ะ?"
"เหตุผลคือ..." มู่อี้หรานแบมือออกมา ในฝ่ามือมีพู่กันอยู่ด้ามหนึ่ง "หลี่หมาจื่อได้กลายเป็นหลี่จิงห้าว"
เค่อชุนมองพู่กันที่เปรอะสีดำแดงจนดูไม่ออกนั้นโดยเงียบไม่พูดอะไร
หลี่หมาจื่อที่เกิดมาเป็นคนพิกลพิการ ตั้งแต่เด็กจนโตต้องเผชิญกับสายตาที่มองเขาเป็นตัวประหลาดและคำพูดลับหลังที่เจ็บปวด การกระทบกระเทือนจิตใจที่น่ากลัวและความกดดันทางจิตใจเช่นนี้ เมื่อเขามีน้องชายที่ยิ่งพิกลพิการกว่าตัวเอง สุดท้ายทำให้ความอดทนที่สะสมมาตลอดนั้นขาดผึง
หลี่หมาจื่อทนไม่ไหว หลังจากหลี่กว้ายกว้ายเกิด เขาจึงตัดสินใจหนีออกจากหมู่บ้านที่น่ากลัวนี้
"การแต่งงานในเครือญาตินั้น ความเสี่ยงที่จะเกิดลูกที่พิกลพิการ ปัญหาทางสติปัญญา และการตายแต่กำเนิดมีอยู่ 4% แต่ในขณะเดียวกัน ความเสี่ยงที่จะเกิดอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์ทางใดทางหนึ่งก็ไม่ใช่น้อย"
มู่อี้หรานหยิบพู่กันขึ้นมาและมองดูที่ปลายด้าม "ตัวอย่างเช่น อดอล์ฟ ฮิตเลอร์, ชาร์ล ดาร์วิน, ไอน์สไตน์ และตัวอย่างที่อยู่ตรงหน้านี้ หลี่หมาจื่อ"
เค่อชุนเหมือนเข้าใจทันที "หลี่หมาจื่อมีพรสวรรค์ในการวาดภาพ"
มู่อี้หรานพยักหน้า "หลังจากหนีออกจากหมู่บ้านหลี่ หลี่หมาจื่อได้พบกับโลกภายนอก ในขณะที่เขาต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด เขาได้เรียนรู้ทักษะการวาดภาพ ส่วนว่าจะมีคนสอนเขาหรือเขาเรียนรู้ด้วยตัวเองนั้น คงไม่อาจทราบได้ แต่แน่นอนว่าเขาพยายามอยู่หลายปีจนกลายเป็นจิตรกรชื่อดัง"
เค่อชุนหันมองไปที่หมู่บ้านที่รกร้าง "ถ้าหลี่หมาจื่อสามารถวาดภาพนี้ได้ ก็แปลว่าเขาเคยกลับมาที่หมู่บ้านหลี่หลังจากมีชื่อเสียง แต่ทำไมเขาถึงทำโลงศพไม้ไซเปรสให้ลูกชายของเขาล่ะ? เขาทำโดยตั้งใจหรือเปล่า?"
"ฉันคิดว่าตั้งใจ" มู่อี้หรานโยนพู่กันในมือทิ้งลงพื้น "จากภาพวาดนี้ทำให้เห็นว่าความเกลียดชังที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ที่หลี่หมาจื่อเคยเผชิญในหมู่บ้านนี้ไม่ได้ลดลงตามกาลเวลาและความสำเร็จของเขา แต่กลับสะสมเป็นภูเขา ทำให้ไม่อาจระบายออกได้จนพึงพอใจ
"ต้นหวายสามต้นในภาพวาดนั้น ที่จริงหมู่บ้านนี้ไม่มีการปลูกไว้ แต่หลี่หมาจื่อใส่มันเข้าไปในภาพวาดเพื่อเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงความแค้น ความอาฆาต และคำสาปที่มีต่อทั้งหมู่บ้าน
"ฉันคิดว่า คนที่หลี่หมาจื่อเกลียดที่สุดก็คงจะเป็นพ่อแม่ของเขา ถ้าพ่อแม่ของเขาไม่แต่งงานในเครือญาติ ก็คงไม่เกิดเขาที่พิกลพิการนี้ขึ้นมา ความเย็นชาและการถูกเหยียดหยามในวัยเด็กได้ทิ้งรอยแผลที่ไม่มีวันลบเลือนเอาไว้ ดังนั้นในภาพวาดเขาใส่ต้นหวายที่แทนคำสาปไว้ที่นอกบ้านของตัวเอง
"และคนที่เขาเกลียดรองลงมาก็คือลูกชายหรือน้องชายของเขาเอง เพราะการมีอยู่ของหลี่กว้ายกว้าย เป็นสัญลักษณ์ว่าหลี่หมาจื่อก็เคยทำเรื่องผิดศีลธรรมและไร้เหตุผลเหมือนกับบรรพบุรุษของเขา ซึ่งสำหรับหลี่หมาจื่อที่ได้รับการศึกษาและแนวคิดสมัยใหม่จากโลกภายนอก มันเป็นความทรงจำที่ไม่น่าจดจำ
"เขาไม่สามารถตัดขาดหรือแยกตัวออกจากตัวตนในอดีตที่โง่เขลาของตัวเองได้ นี่กลายเป็นตราบาปและฝันร้ายตลอดชีวิตของเขา และการมีอยู่ของหลี่กว้ายกว้ายก็ทำให้เขาไม่สามารถลืมอดีตที่น่าสงสารและน่าเวทนาของตัวเองได้ อีกทั้งยังทำให้ความทรงจำที่อัปยศนั้นยืดเยื้อไปเรื่อย ๆ เหมือนกับมีแส้ที่ชุ่มไปด้วยน้ำเกลือตีเขาอยู่ตลอดเวลา ทำให้เขาต้องเจ็บ ต้องอับอาย และต้องเกลียดชังตัวเองตลอดไป
"ฉันคิดว่านี่คือสาเหตุที่ทำให้เขาเกลียดหลี่กว้ายกว้าย เขาอาจจะระบายความโกรธแค้นออกมา หรืออาจจะต้องการลบอดีต เขาจึงสร้างโลงศพไม้ไซเปรสบริสุทธิ์นี้ให้กับหลี่กว้ายกว้าย เขาต้องการให้หลี่กว้ายกว้ายถูกฟ้าผ่าจนมอดไหม้ หายไปโดยไม่เหลือร่องรอย เหมือนกับว่าถ้าเป็นเช่นนั้น อดีตที่ไม่น่าจดจำของหลี่หมาจื่อก็จะสลายหายไปหมด
"ส่วนชาวบ้านที่ตายไปทั้งหมดนี้ ก็เป็นอีกกลุ่มที่หลี่หมาจื่อเกลียดชัง เขาเกลียดหมู่บ้านที่ล้าหลังและโง่เขลาแห่งนี้ เกลียดบรรพบุรุษที่ทิ้งขนบธรรมเนียมที่โง่เง่าไว้ ในความคิดของเขา เขาอาจจะอยากให้หมู่บ้านนี้สูญสิ้นไป ไม่หลงเหลืออีกต่อไป
"ไม่ว่าจะเป็นเพราะความเกลียดชังส่วนตัว หรือเพื่อโจมตีและประณามพิธีกรรมโบราณที่ล้าหลัง หลี่หมาจื่อจึงวาดภาพที่เต็มไปด้วยความแค้นและความอาฆาตนี้ขึ้นมา และวาดตัวเองไว้ในนั้น ในฐานะผู้รอดชีวิตคนสุดท้ายของหมู่บ้าน เขาต้องการเห็นหมู่บ้านนี้สูญสิ้นไปด้วยตาของตัวเอง
"ทั้งหมดนี้เป็นเพียงข้อสันนิษฐานของฉัน แต่ฉันคิดว่าความจริงคงไม่ต่างกันมากนัก"
เค่อชุนฟังมู่อี้หรานพูดอธิบายจนจบ เขาถอนหายใจเบา ๆ "ไม่แปลกใจเลยที่ชายชราคนนั้น...หลี่หมาจื่อ วิ่งไม่ทันฉัน เขาดูไม่เหมือนพวกสิ่งเหล่านั้นที่มีพลังพิเศษ ที่แท้ก็เพราะเขาคือภาพสะท้อนของผู้วาดเอง...แต่ก็ไม่ใช่ เขาไม่ใช่ตัวจิตรกร แต่เป็นภาพที่จิตรกรวาดเอาไว้ในภาพนี้เอง ไม่ใช่คน แต่ก็ไม่ใช่พวกสิ่งประหลาดเหมือนกัน"
มู่อี้หรานพยักหน้า "หลี่หมาจื่อในภาพนี้เป็นเพียงภาพการสะท้อนของจิตใจที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นและอาฆาต ความเกลียดชังและคำสาปที่แท้จริงของเขา ได้ถูกส่งไปยังสิ่งอื่นและสถานการณ์ต่าง ๆ ในภาพนี้แล้ว"
เค่อชุนตาสว่างขึ้นทันที "ถ้าชายชราคนนี้เป็นภาพสะท้อนของหลี่หมาจื่อ นายคิดว่าตราประทับอาจจะอยู่บนตัวชายชราหรือเปล่า?"
มู่อี้หรานส่ายหน้า "ตราประทับในภาพนี้ สำหรับพวกเราที่เข้ามาในภาพ เป็นสิ่งที่มีคุณสมบัติในการช่วยเหลือ มันไม่สามารถมีความสามารถในการทำลายล้างได้ และชายชราคนนี้ไล่ล่านายไปทั่ว"
เค่อชุนจึงถาม "แล้วในบ้านของเขามีตราประทับหรือเปล่า?"
มู่อี้หราน "ไม่มี"
เค่อชุนเกาหัว "ดูเหมือนว่าฟ้ากำลังจะมืดแล้ว คืนนี้ชายชราคนนี้จะมาจัดแจงงานให้พวกเราอีกไหม?"
มู่อี้หรานมีสีหน้าลึกลับ "ถ้าไม่มีงานจัดแจงให้ นั่นแหละที่เป็นเรื่องอันตรายที่สุด"
เค่อชุนคิดถึงเมื่อคืนนี้ แม้ว่าเขาและมู่อี้หรานจะซ่อนตัวได้ดี แต่ก็ไม่สามารถต้านทานเสียงแปลก ๆ ที่ออกมาจากตัวของหลี่กว้ายกว้ายได้ จนเกือบต้องเสียชีวิตไป เขาอดไม่ได้ที่จะเกาแขนตัวเอง
"ยังมีเวลาอยู่อีกหน่อย เรียกคนอื่นมาช่วยกันหาอีกครั้งเถอะ"
ทั้งสองกลับมาที่ใต้ต้นหวาย เห็นเว่ยตงและคนอื่น ๆ รออยู่ที่นั่นแล้ว คุณหมอเห็นทั้งสองกลับมาอย่างปลอดภัยก็ถามว่ามีอะไรพบในบ้านของชายชราหรือไม่
มู่อี้หรานเล่าอย่างย่อ ทุกคนฟังจนอ้าปากค้าง
"บ้าเอ๊ย!"
เว่ยตงใช้เวลานานกว่าจะรู้สึกตัว อ้าปากตะกุกตะกัก "กลับไปฉันต้องถามพ่อแม่ว่าตระกูลเรามีความสัมพันธ์ทางสายเลือดอะไรแบบนี้หรือเปล่า ย้อนกลับไปสิบกว่ารุ่น"
เค่อชุน "...นายหวังว่าจะมีหรือไม่มีกันแน่"
เว่ยตง "ฉันสงสัยว่ามีน่ะสิ ถ้าไม่อย่างนั้น ทำไมฉันถึงเป็นโรคเท้าแบบนี้ได้? มันต้องเป็นอาการพิกลพิการชนิดหนึ่งแน่ ๆ"
เค่อชุน "...เชื่อไหมว่าถ้านายถามจบ พ่อของนายจะจองโลงศพไม้ไซเปรสให้ทันที?"
คุณหมอที่อยู่ข้าง ๆ ถามมู่อี้หราน "ตอนนี้เรื่องของภาพวาดนี้เราก็คลี่คลายหมดแล้ว แต่ฉันยังคิดไม่ออกว่าตราประทับอยู่ที่ไหน นายมีความเห็นอะไรไหม?"
มู่อี้หรานส่ายหน้าช้า ๆ "ฉันคิดไม่ออกแล้ว"
"จะทำยังไงดี..." หม่าจั้นฮัวตาแดงด้วยความกังวล "ฟ้าจะมืดแล้ว พวกนายดูสิ ฟ้ากำลังจะมืดแล้ว..."
จางเม่าหลินก็ร้อนใจ กระชากผ้าที่คาดเอว มองไปที่เว่ยตง แล้วก็มองไปที่เจ้าของร้านแพนเค้ก ก่อนจะพุ่งเข้าไปหาเว่ยตง "สหาย ขอคุยด้วยหน่อย เรามาแลกผ้าคาดกันได้ไหม? ฉันจะให้เงินนาย นายต้องการเท่าไหร่ ฉันให้ทั้งหมด ห้าหมื่น หนึ่งแสน หรือหนึ่งล้าน ฉันก็ให้ ขอแค่แลกกันได้ ดีไหม?"
เว่ยตงทนไม่ไหว พูดขึ้นมา "ไม่มีประโยชน์ ถ้าแลกได้ฉันก็แลกไปนานแล้ว ถ้านายแลก อาจจะต้องเจอการตอบโต้กลับ ไม่เชื่อลองถามลูกพี่มู่กับหมอฉินดูสิ"
จางเม่าหลินสะอื้น "ฉันไม่อยากเจอการลงโทษที่เจ็บปวด ฉันไม่อยากตาย... ฉันไม่อยากตาย..."
"นายไม่อยากตาย แล้วคนอื่นเขาอยากเหรอ?" เว่ยตงพูดด้วยน้ำเสียงไม่ดี "ยอมรับโชคชะตาเถอะ ใครให้โชคชะตานายต้องได้ตัวอักษรนี้ล่ะ"
"ทำไม...ทำไม......" จางเม่าหลินเสียงสั่นคลอน "ทำไมต้องเป็นอักษรนี้ ทำไมอักษรที่ดี ๆ ต้องกลายเป็นเรื่องของภูตผีปีศาจ..."
ไม่มีใครตอบเขา
สถานการณ์ที่ไม่มีเบาะแสและทิศทางทำให้ทุกคนรู้สึกเครียดและหงุดหงิด แม้แต่มู่อี้หรานยังขมวดคิ้ว
เวลาเดินผ่านไปทีละวินาทีๆ ท้องฟ้าค่อย ๆ มืดลง
ทุกคนเงียบลง บางคนพยายามคิดหาเบาะแส บางคนเริ่มสิ้นหวังและรู้สึกหมดหนทาง
เค่อชุนเหม่อมองที่ผ้าคาดของจางเม่าหลินที่ถูกดึงจนเสียรูป เป็นอักษร "ไต้ (歹)" แล้วหันไปมองที่ตัวอักษร "กู (辜)" ของเว่ยตง สุดท้ายก้มลงมองตัวอักษร "ยาง (央)" ที่คาดอยู่ที่เอวของตัวเอง
ทันใดนั้นแสงแห่งความเข้าใจก็แวบเข้ามาในหัว
เขาเดินเข้าหามู่อี้หรานทันที จับแขนเขาและดึงให้หันหน้ามาทางตัวเอง แล้วจ้องตาเขา ถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่นทีละคำ "ผ้าคาดที่เรามีอยู่ เป็นของที่ชายชรามอบให้ใช่ไหม? ชายชราคนนั้นก็คือหลี่หมาจื่อใช่หรือไม่? หลี่หมาจื่อก็คือหลี่จิงห้าวใช่ไหม? หลี่จิงห้าวเข้าใจถึงความหมายดั้งเดิมของอักษรเหล่านี้ใช่ไหม?"
มู่อี้หรานมองตรงเข้าสู่ดวงตาสีดำเป็นประกายของเขา ดวงตานั้นสว่างราวกับดวงดาวที่ส่องแสงท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดครึ้ม
นับเป็นครั้งแรกที่มู่อี้หรานไม่ปัดมือของคนตรงหน้าออก เขาเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ก่อนจะเปิดตากว้างมองเขาและพูดว่า "ความหมายดั้งเดิมของอักษร จิง (京) หมายถึงหอสูงที่สูงตระหง่าน ส่วนอักษร ฮ่าว (浩) หมายถึงแม่น้ำที่กว้างใหญ่และเสียงน้ำที่กราดเกรี้ยว"
"...หอสูง!"
"...แม่น้ำใหญ่!"
หม่าจั้นฮัวและจางเม่าหลินตะโกนออกมาแทบจะพร้อมกัน
"ทางตอนใต้ของหมู่บ้านมีดินลุ่มของแม่น้ำที่แห้งเหือด และข้าง ๆ ดินลุ่มนั้นมีหอสังเกตการณ์ไฟไหม้" คุณหมอฉินพูด "ตอนที่เราค้นหาเบาะแสในหมู่บ้าน เราเคยไปที่นั่นมาแล้ว"
"จะรออะไรอีก ไปเร็ว ฟ้ามืดแล้ว!" เว่ยตงทนไม่ไหว รีบยกเท้าวิ่งไปทางทิศใต้ของหมู่บ้าน
ทุกคนรีบตามไป ตอนนั้นเองพวกเขาถึงรู้ตัวว่าท้องฟ้าก็มืดสนิทไปแล้ว สายลมยามค่ำคืนพัดกราดมาเบื้องหน้า และวนกลับมากระแทกขึ้นอีกครั้ง
เสียงลมแทรกไปด้วยเสียงร้องไห้แหลมสูง เมื่อฟังดี ๆ เหมือนกับมาจากปากของคนหลายร้อยคน เสียงร้องไห้นั้นมีทั้งเสียงชายหญิง เด็กและผู้ใหญ่ และยังมีเสียงที่คุ้นเคยดังอย่างเจ็บปวด ร้องคร่ำครวญออกมาอย่างแหลมคมว่า
"ตาย...พวกแกทุกคนต้องตาย..."
เป็นเสียงของหลิวอวี่เฟย!
ทุกคนเมื่อได้ยินแล้วต่างก็หันกลับไปมอง ทำเอาเจ้าของร้านแพนเค้กและหม่าจั้นฮัวขวัญเสียจนเข่าอ่อนล้มลงกับพื้น
.
(จบตอน)