ตอนที่แล้วบทที่ 1 พิธีศพ (ตอนที่ 15 - ใครสมควรตาย?)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 1 พิธีศพ (ตอนที่ 17 - การวิเคราะห์ของเค่อชุน)

บทที่ 1 พิธีศพ (ตอนที่ 16 - ความหมายของตัวอักษรที่คาดไม่ถึง)


“นายหมายความว่ายังไง?!” หลิวอวี่เฟยพุ่งเข้ามาหวังจะชกหมัด

เค่อชุนสูงกว่า แขนยาวกว่า ยังไม่ทันที่หมัดของหลิวอวี่เฟยจะถึงหน้า เขาก็ยกมือขึ้นจับหน้าของหลิวอวี่เฟยไว้ได้ก่อน แล้วดันออกข้างอย่างไม่แยแส หลิวอวี่เฟยทั้งตัวพร้อมหน้าถูกผลักเซไปทันที

“ตงตง ถึงตานายแล้ว” เค่อชุนพูด

“ฉันอยากจะพูดเหมือนเค่อชุน” เว่ยตงกล่าว “ฉันก็แค่คนธรรมดา ไม่มีความสามารถหรือข้อดีอะไร สิ่งเดียวที่ฉันรับประกันได้คือฉันจะไม่กัดคนอื่น”

“ตงตงของเรายังเป็นนักออกแบบกราฟิก” เค่อชุนเสริมให้เขา “มีความรู้ด้านศิลปะ มีมุมมองและวิจารณญาณเฉพาะตัวเกี่ยวกับผลงานศิลปะ การศึกษาโลกในภาพวาดนี่ก็นับว่าเข้าทางเขาอยู่บ้าง”

เว่ยตงคิดในใจ ว่ามันเข้าทางตรงไหนกัน

หมอหันไปถามเจ้าของร้านแพนเค้ก “นายล่ะ มีอะไรจะพูดไหม?”

เจ้าของร้านแพนเค้กเบิกตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดสีแดง “ฉันไม่อยากตาย ฉันไม่อยากตายจริงๆ ขอร้องพวกนาย อย่าเลือกฉันเลย ฉันไม่อยากตาย...ฉันไม่อยากตาย...”

เมื่อเห็นว่าเขาพูดวนไปวนมาอยู่แค่นั้น หมอจึงไม่ถามต่อ สุดท้ายหันไปทางมู่อี้หราน

“ถึงตานายแล้ว”

มู่อี้หรานพูดสั้นๆ “ฉันมีเบาะแส”

“...”

แค่สี่คำ สั้นและกระชับ ตรงประเด็น

ถ้าหากว่าคำพูดของเค่อชุนเปรียบเสมือนการโจมตีที่ทำให้คู่ต่อสู้ล้มลงทีละคน คำพูดของมู่อี้หรานนี้ก็คือการน็อกเอาท์ทุกคนในที่นี้ทันที

เขามีเบาะแส!

ใครจะตายก็ได้ แต่เขาตายไม่ได้

มันง่ายแบบนั้นเลย

หมอก้มหน้าลง “เอาล่ะ ทุกคนพูดเสร็จแล้ว ตอนนี้...ลงคะแนนเถอะ เวลาเหลือไม่มากแล้ว”

สีหน้าของทุกคนดูหนักอึ้งและซับซ้อน

การเป็นเพชฌฆาตไม่ใช่เรื่องง่าย

แต่การเผชิญหน้ากับความตายยิ่งเลวร้ายกว่านั้น

“ฉันจะไปเอากระดาษกับปากกา” หมอลุกขึ้นไปหาชายชรา กลับมาพร้อมกับกระดาษสีเหลืองและดินสอถ่านหลายแท่ง

เขาฉีกกระดาษออกเป็นแปดส่วนและแจกให้กับทุกคน แล้วกล่าวว่า “ทุกคนบอกชื่อตัวเองหน่อย ถ้าไม่อยากบอกชื่อจริง ก็ใช้ชื่อสมมุติก็ได้”

“เค่อชุน” เค่อชุนเป็นคนแรกที่พูดขึ้น “เค่อที่มาจากคำว่าคอร์กี้ ซุนที่หมายถึงค้นหา”

“เว่ยตง” เว่ยตงตามมา “เว่ยที่มาจากเว่ยชิง ชิงที่หมายถึงสีเขียว”

ทุกคน “...”

เว่ยตงนึกขึ้นได้ “เอ่อ...ตงที่แปลว่าทิศตะวันออก”

เค่อชุนมองเขา รู้ดีว่าเขายังตื่นเต้นและกังวลอยู่

มู่อี้หรานพูดต่อ “มู่อี้หราน มู่ที่มาจากทุ่งหญ้า อี้ที่หมายถึงความสุข หรานที่หมายถึงสงบ”

จากนั้นเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวและเจ้าของกิจการส่วนตัว ต่างก็แนะนำตัว หนึ่งชื่อ หม่าจั้นฮัว อีกหนึ่งชื่อ จางเม่าหลิน

เจ้าของร้านแพนเค้กกลับไม่ยอมบอกชื่อตัวเอง เอาแต่ร้องขอ “อย่าเลือกฉันเลย ขอร้องล่ะ ฉันขอร้องพวกนาย อย่าเลือกฉัน...”

“งั้นเรียกเขาว่า A ละกัน” หมอถอนหายใจเบาๆ แล้วมองไปที่หลิวอวี่เฟย

“มองฉันทำไม! ยังไงฉันก็ตายไม่ได้ พวกนายจะเขียนก็เขียนคนอื่นไป มีบางคนที่อยู่ไปก็ไร้ประโยชน์ต่อชาติ ต่อประชาชน จะตายไปก็ไม่เสียดาย!” หลิวอวี่เฟยตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด

“งั้นเรียกเขาว่า SB * แล้วกัน” เค่อชุนถอนหายใจเบาๆ

(* SB ย่อมาจากคำว่า "傻逼 (shǎbī)" ใช้เรียกคนว่า "โง่" หรือ "งี่เง่า")

เว่ยตง “เหมาะสมมาก”

หมอเป็นคนสุดท้ายที่พูดขึ้น “ฉันแซ่ฉิน ชื่อ ฉินซื่อ ฉินที่มาจากจักรพรรดิฉิน ซื่อที่หมายถึงให้”

หลังกล่าวจบ บรรยากาศในห้องก็กลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง

แปดชื่อ แปดชีวิต ไม่มีทางหลีกเลี่ยง ไม่มีทางถอย ทุกอย่างวางอยู่ต่อหน้าทุกคนแล้ว

จางเม่าหลิน เจ้าของกิจการส่วนตัวหยิบมือถือขึ้นมาดู ก่อนจะมองทุกคนด้วยความหวาดกลัว

“เหลืออีกห้านาทีก็จะเก้าโมงแล้ว...ต้องโหวตแล้ว...”

ใบหน้าของทุกคนบิดเบี้ยวขึ้นในทันที

ลูกธนูขึ้นสาย ไม่มีเวลาให้ลังเลอีกต่อไป

หมอพยายามควบคุมสีหน้าของตัวเองให้สงบ แต่ก็ก้มหน้าลง

“เขียนเถอะ อะไรที่ต้องมามันก็ต้องมา”

ห้านาทีที่ยาวนานแต่ก็รวดเร็ว ในระหว่างนี้ นอกจากเค่อชุนและเว่ยตงที่ประกาศสละสิทธิ์ไปแล้ว คนอื่นๆ ค่อยๆ หยิบปากกาขึ้นมา

ระหว่างการเขียนชื่อลงไป บ้างก็ไร้สีหน้า บ้างก็เจ็บปวดรวดร้าว บ้างก็แสดงความรุนแรงอำมหิต บ้างก็ร้องไห้โฮออกมา

เมื่อเวลาเข้าสู่เก้าโมงตรง คนทั้งหมดได้วางกระดาษที่มีชื่อของแต่ละคนคว่ำหน้าลงบนโต๊ะ แล้วค่อยๆ ดันไปยังกลางโต๊ะ

แม้ว่าจะยังไม่เปิดเผยชื่อออกมา แต่โลกในภาพวาดนี้ก็ย่อมรู้ดีว่าใครคือคนที่ได้รับคะแนนโหวตมากที่สุด

ทุกคนนั่งนิ่ง มองกระดาษที่คว่ำหน้าอยู่ รอเวลาที่จะถูกตัดสิน

เวลาผ่านไปทีละวินาที พ่อเลี้ยงเดี่ยวหม่าจั้นฮัวและจางเม่าหลิน เจ้าของกิจการส่วนตัว อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมาพร้อมกับเจ้าของร้านแพนเค้ก

หมอและมู่อี้หรานยังคงเงียบสงบและไร้สีหน้า

เว่ยตงมองไปที่มุมหนึ่งของโต๊ะอย่างเหม่อลอย ส่วนเค่อชุนก็หลับตาพิงพนักเก้าอี้ไม่ขยับเขยื้อน

หลิวอวี่เฟยสั่นทั้งตัว กำหมัดแน่น เม็ดเหงื่อใหญ่ๆ ไหลซึมจากหน้าผาก

จนกระทั่งไม่รู้ว่าผ่านไปกี่วินาที สายบางๆ ในหัวของเขาก็ขาดผึง เขากระโดดขึ้นยืนกะทันหัน ร้องออกมาด้วยเสียงแหลมร้าวราน

“ฉันไม่อยากตาย...ฉันอยากกลับไป...มันเป็นเรื่องโกหก...ทั้งหมดนี่มันไม่จริง...ฉันกำลังฝันร้าย...ให้ฉันตื่นเถอะ...ฉันไม่อยากนอนอีกแล้ว...ให้ฉันตื่นเถอะ...”

เขาดูคล้ายคนบ้า หลิวอวี่เฟยพุ่งออกจากประตูไปเหมือนกับต้องการหนีจากโลกที่แสนประหลาดนี้ ทุกคนลุกขึ้นยืนและรีบตามไปที่ประตู แต่ก็ทันได้เห็นหลิวอวี่เฟยสะดุดล้มไปชนรั้วไผ่ที่ลาน

รั้วไผ่แหลมที่เต็มไปด้วยเสี้ยน ได้แทงทะลุตรงกลางตัวหลิวอวี่เฟยพร้อมกับเลือดที่กระเซ็นออกมา

หลิวอวี่เฟยกรีดร้องออกมาอย่างสุดโหย สะบัดแขนขาดิ้นรนอยู่บนรั้วเหมือนตั๊กแตนที่ถูกไม้แหลมแทงทะลุกลางตัว

เลือดข้นสีแดงไหลลงมาตามรั้วไผ่ เสียงกรีดร้องของหลิวอวี่เฟยค่อยๆ แผ่วเบาลง แขนขาค่อยๆ หยุดการเคลื่อนไหว

จนกระทั่งเหลือเพียงแค่ร่างที่ไร้ชีวิตห้อยอยู่บนรั้วไผ่ ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ อีก

หม่าจั้นฮัวและจางเม่าหลินทรุดตัวลงกับพื้นทันที ร้องไห้ออกมาอย่างไม่สามารถควบคุม ไม่รู้ว่าพวกเขากลัวกับความตายของหลิวอวี่เฟยหรือดีใจที่ตัวเองรอดจากเส้นความตายมาได้

เจ้าของร้านแพนเค้กถึงกับตกใจจนปัสสาวะราดอีกครั้ง

หมอมองศพของหลิวอวี่เฟย ส่ายหัวอย่างซับซ้อน คิดจะพูดอะไรบางอย่างเพื่อบรรเทาบรรยากาศที่หนักอึ้งและยากจะอธิบาย แต่ก็เห็นมู่อี้หรานเดินตรงไปที่ศพของหลิวอวี่เฟยทันที จึงพูดขึ้นว่า “ช่วยไม่ได้แล้ว เขาตายแล้ว”

มู่อี้หรานไม่ได้สนใจ เดินตรงไปที่ศพของหลิวอวี่เฟยและกำลังจะก้มลงดูใกล้ๆ ก็ได้ยินเสียงจากข้างหลัง

“อยากศึกษาวิธีการตายของเขาเหรอ?”

มู่อี้หรานหันไปมอง เห็นเค่อชุนที่ไม่รู้ว่าตามมาเมื่อไหร่ กำลังมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย

คนอื่นไม่ได้ตามมา มู่อี้หรานหันกลับไปตรวจสอบศพของหลิวอวี่เฟย พบว่ารั้วไผ่แหลมที่แทงทะลุตรงกลางตัวของหลิวอวี่เฟยนั้นเปื้อนด้วยเลือดข้นหนืดที่ไหลลงมา และแทงทะลุผ่านเอวของเขาจนเกือบจะแยกร่างออกเป็นสองส่วน

“ตัดเอว” มู่อี้หรานพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา สองคำที่ฟังดูโหดร้ายยิ่งนัก

แต่เค่อชุนกลับสังเกตได้ว่า นอกจากความเย็นชาแล้ว น้ำเสียงของมู่อี้หรานยังมีความเข้าใจบางอย่างแฝงอยู่

เมื่อกลับมาที่บ้าน ชายชราได้จัดอาหารเช้าไว้แล้ว เหมือนกับไม่รู้เรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้น ยังคงพูดคำเดิมกับเมื่อเช้าอย่างไร้อารมณ์

“เมื่อคืนทุกคนลำบากกันมากแล้ว กินอาหารเช้าก่อนเถอะ กลางวันไม่มีอะไรต้องทำ ทุกคนสามารถพักผ่อนได้ พอค่ำลงให้มาที่นี่อีกครั้ง ฉันจะจัดแจงงานให้ทำคืนนี้”

พูดจบก็หันหลังกลับเข้าห้องไป

หม่าจั้นฮัวและจางเม่าหลินยังคงนั่งทรุดอยู่กับพื้นร้องไห้ ส่วนเจ้าของร้านแพนเค้กเหมือนน้ำตานองตัวนิ่มไปบนเก้าอี้ ปัสสาวะที่ไหลออกมาจนเจิ่งนองที่พื้น หมอยืนพิงกรอบประตูจมอยู่ในความคิด ส่วนเว่ยตงแอบอยู่ในมุมที่ไม่เห็นศพในลานบ้าน

มู่อี้หรานนั่งลงที่โต๊ะ พอยกมือขึ้น เค่อชุนก็ส่งขนมปังให้เขาทันทีด้วยความเคารพ และตัวเองก็คว้าขนมปังมาไว้ในมือพร้อมกัน แล้วเรียกเว่ยตง “มาทานข้าว”

“บ้าเอ๊ย! นายยังมีท้องมากินในเวลาแบบนี้ได้อีกเหรอ?” เว่ยตงตกตะลึง

“ตอนนี้ยิ่งต้องกินให้มาก” เค่อชุนชี้ไปที่เก้าอี้ให้เขามานั่ง “ไม่ได้ยินที่ผู้เฒ่าบอกเหรอ คืนนี้จะต้องทำงานอีก เมื่อคืนรอดมาก็แค่ฟลุก คืนนี้จะรอดไหมก็ยังไม่รู้เลย ต่อให้ฟลุกอีกครั้ง ทุกคนรอดกันหมด พรุ่งนี้เช้าก็ต้องลงคะแนนอีกหรือไง? มานั่งแล้วรีบกินเข้าไป! กินอิ่มแล้วถึงจะมีแรงหาตราประทับออกมาให้เจอ”

เว่ยตงคิดว่ามีเหตุผล จึงจำใจมานั่งและบังคับตัวเองให้กลืนขนมปังลงไปพร้อมกับดื่มน้ำข้าวต้ม

หมอได้ยินดังนั้นก็เดินเข้ามานั่งลง กินอาหารจนเต็มท้อง วางชามและตะเกียบลง แล้วเงยหน้ามองมู่อี้หราน

“เสี่ยวมู่ ตอนนี้นายจะบอกเบาะแสที่นายได้มาให้พวกเรารู้บ้างได้หรือยัง”

หม่าจั้นฮัวและจางเม่าหลินได้ยินดังนั้นก็รีบพยายามยืนขึ้นมา นั่งลงล้อมโต๊ะและมองมู่อี้หรานด้วยความหวัง

เค่อชุนคิดว่าถ้ามู่อี้หรานไม่พูดอะไรออกมาบ้าง คนสองคนนี้คงจะกลืนเขาลงไปทั้งตัว

ดูเหมือนมู่อี้หรานเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังอะไรอีกต่อไป เขาก้มลงแกะผ้าที่มัดรอบเอวที่มีตัวอักษร “ยาง (央)” และวางลงบนโต๊ะ

“กฎที่ใช้กำหนดวิธีการตายของพวกเรา ก็คือผ้าผืนนี้”

หมอขมวดคิ้วเล็กน้อย “แม้ว่าฉันจะรู้ว่าผ้าผืนนี้ต้องมีความลับบางอย่างอยู่ มันยังเป็นหลักฐานที่ใช้ในการแบ่งกลุ่มของเรา แต่ที่นายบอกว่ามันกำหนดวิธีการตายของเรา มีคำอธิบายไหม?”

มู่อี้หรานชี้ไปที่อักษรบนผ้าดิบ “คืนแรก คนสามคนที่ตายในห้องวิญญาณ ตัวอักษรบนผ้าคือคำว่า ‘หมิง (民)’ พวกเขาทั้งสามคนไม่มีดวงตาเลย สองคนที่ตายในสุสาน ผ้าดิบของพวกเขามีอักษรว่า ‘เฉวีย (且)’ ทั้งสองคนถูกหั่นแบ่งเป็นชิ้นเนื้อเท่าๆ กันแล้วถูกอีการุมทึ้ง ส่วนหลิวอวี่เฟยที่เพิ่งตายไป ตัวอักษรบนผ้าของเขาคือคำว่า ‘กู (辜)’ วิธีการตายของเขาเหมือนกับถูกตัดเอว”

หมอขมวดคิ้วด้วยความสงสัยเล็กน้อย “ฉันยังไม่เห็นความเกี่ยวข้องระหว่างวิธีการตายกับตัวอักษรเหล่านี้”

มู่อี้หรานกล่าว “จำได้ไหมว่าคุณเคยพูดถึงว่า บรรพบุรุษของชาวบ้านนี้เป็นจงจู้ และฉันก็เคยบอกว่า การสาปแช่งเช่นนี้แพร่หลายมากในสมัยชุนชิวและจ้านกั๋ว ที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือ 'จดหมายคำสาปแห่งรัฐฉู่'

“'จดหมายคำสาปแห่งรัฐฉู่' เป็นข้อความที่ถูกสลักไว้บนหินในสมัยจ้านกั๋วในรัฐฉิน รูปแบบตัวอักษรเป็นตัวเล็กจ้วน ซึ่งเป็นตัวอักษรที่พัฒนามาจากอักษรจินเหวิน และอักษรจินเหวินก็สืบทอดมาจากอักษรกระดูกสัตว์

“สิ่งของสมัยโบราณ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้หรือตัวอักษร ล้วนแต่มีสีสันเกี่ยวข้องกับผีสางอย่างมาก คนโบราณให้ความเคารพและเกรงกลัวตัวอักษรมากกว่าคนสมัยใหม่ ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นพลังของเทพเจ้า หรือพลังของคำสาป ล้วนถูกฝากไว้ในตัวอักษร

“คำว่า ‘หมิง (民)’ หรือพลเรือน ส่วนใหญ่คนมักเข้าใจในความหมายปัจจุบันว่าหมายถึงประชาชนหรือผู้คน แต่เมื่อแรกสร้างคำนี้ขึ้นมา ‘หมิง (民)’ มีความหมายดั้งเดิมที่น่ากลัว

“ในอักษรกระดูกสัตว์ ตัวอักษร ‘หมิง (民)’ ประกอบด้วยสัญลักษณ์ที่มีลักษณะเหมือนดวงตาที่มีรูม่านตา และด้านล่างมีเครื่องหมายคล้ายกากบาทแหลม ความหมายดั้งเดิมคือการใช้ของมีคมแทงทะลุดวงตาของประชาชนเพื่อทำให้กลายเป็นทาสที่ต้องฟังคำสั่ง

“ความหมายนี้ยิ่งชัดเจนขึ้นเมื่ออักษรกระดูกสัตว์พัฒนาเป็นอักษรจินเหวิน ซึ่งในตัวอักษรจินเหวินนั้น ตัวอักษร ‘หมิน (民)’ ถึงขั้นลบรูม่านตาออกไป และกากบาทก็เปลี่ยนเป็นรูปทรงแหลมที่แทงทะลุเข้าตาโดยตรง

“ต่อมาคือคำว่า ‘เฉวีย (且)’ ในอักษรกระดูกสัตว์ คำนี้ประกอบด้วย ‘ซยี (夕)’ ที่มีการเปลี่ยนรูปและเครื่องหมาย ‘ตังอี๋ (=)’ ซึ่ง ‘ซยี (夕)’ หมายถึงชิ้นเนื้อ ส่วน ‘ตังอี๋ (=)’ หมายถึงการแบ่งเท่าๆ กัน เมื่อรวมกันเป็นคำว่า ‘เฉวีย (且)’ หมายถึงการแบ่งเนื้อเท่าๆ กันเพื่อบริโภค

“ในยุคดั้งเดิม การแบ่งเนื้อเป็นพิธีกรรมสำคัญในการบูชาบรรพบุรุษและเทพเจ้า ดังนั้น คำว่า ‘เฉวีย (且)’ มีความหมายดั้งเดิมว่าแบ่งเนื้อให้เท่าๆ กัน

“สุดท้ายคือคำว่า ‘กู (辜)’ ประกอบด้วยตัวอักษร ‘กู่ (古)’ และ ‘ชยิน (辛)’ ตัวอักษร ‘กู่ (古)’ แทนขวานใหญ่ ส่วน ‘ชยิน (辛)’ แทนผู้ที่ได้รับโทษประหาร ความหมายดั้งเดิมของ ‘กู (辜)’ คือการใช้ขวานใหญ่ประหารโดยการตัดศีรษะหรือตัดเอว

“หลังจากคืนแรกที่เห็นสภาพการตายของคนห้าคนนั้น ฉันก็เริ่มสงสัยเกี่ยวกับตัวอักษรเหล่านี้ แต่ตัวอย่างยังไม่เพียงพอจึงไม่กล้าฟันธง แต่พอเห็นสภาพการตายของหลิวอวี่เฟยในครั้งนี้ ก็สามารถยืนยันสมมติฐานของฉันได้

“ตัวอักษรที่ถูกเขียนบนผ้าดิบเหล่านี้ ถูกใส่พลังแฝงดั้งเดิมที่มีความรุนแรงเข้าไป ประกอบกับคำสาปที่บรรพบุรุษของหมู่บ้านนี้เคยทำในฐานะจงจู้ ก็กลายเป็นอุปกรณ์สาปแช่งที่สามารถกำหนดวิธีการตายของพวกเราได้”

.

(จบตอน)

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด