ตอนที่ 14 ความลับของเมืองหยุน
ตอนที่ 14 ความลับของเมืองหยุน
[ การสุ่มสเตตัสเสร็จสมบูรณ์ ]
[ ร่างวิญญาณ ]
[ จิตวิญญาณ : 30 ]
[ ร่างกาย : 100 ]
[ สกิล : สงบ ( เลเวล 1 ) ]
[ เริ่มทำการสุ่มจุดเกิด ]
[โปรดทราบ : หลังจากการสุ่มจุดเกิดเสร็จสิ้น ร่างวิญญาณของคุณจะได้รับสถานะอมตะ 2 วินาที ในระหว่างช่วงเวลานี้ มันจะไม่ได้รับความเสียหายใดๆ ]
“สเตตัสที่ได้ค่อนข้างกลางๆ”
แต่ก็พอเข้าใจได้ เพราะเธอควบแน่นด้วยแก่นพลังก้อนเดียวเท่านั้น
สำหรับสถานะอมตะ สวี่จื้อก็เข้าใจคร่าวๆ ว่ามันมีไว้เพื่อให้เธอได้มีเวลาเตรียมรับมือ
[ การเลือกจุดเกิดเสร็จสิ้นแล้ว เริ่มทำการเทเลพอร์ต ]
ทันทีที่คำบรรยายปรากฏขึ้น ดวงตาของสวี่จื้อก็มืดลง ไม่มีอาการวิงเวียนศีรษะหรือปรากฏการณ์แปลกๆ เลย ในวินาทีต่อมา ตัวอักษรสีขาวก็ปรากฏขึ้นในความมืด
[ การเทเลพอร์ตเสร็จสิ้น ทันทีที่คุณลืมตา สถานะอมตะเริ่มนับถอยหลัง ]
“รู้สึกเหมือนจริงเลย”
สวี่จื้อสงสัยมาโดยตลอดว่าเกมจะนำจิตสำนึกของเธอเข้าสู่ร่างวิญญาณได้อย่างไร ตามคำบรรยาย เธอเดาว่าอาจเป็นการสร้างร่างใหม่ที่สามารถรองรับจิตสำนึกของเธอได้ และสิ่งที่เกิดขึ้นก็ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้นจริงๆ
หากเป็นแบบนี้ ประโยชน์ในการใช้งานร่างวิญญาณก็จะเพิ่มขึ้นมาก
เธอไม่ต้องกลัวตายเมื่ออยู่ในร่างวิญญาณ เธอสามารถใช้ร่างทำสิ่งที่เธอเคยกังวลในโลกความเป็นจริงได้ แม้จะมีราคาที่ต้องจ่าย แต่ก็รับได้ มันจะช่วยลดความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสรอดให้เธอได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
หลังจากเตรียมใจแล้ว สวี่จื้อก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ในตอนแรกเธอเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ โดยไม่รู้ตัว แต่หลังจากได้เห็นสภาพแวดล้อมรอบตัวอย่างชัดเจน เธอก็หยุดนิ่งอยู่กับที่
จิตใจของสวี่จื้อว่างเปล่าเป็นเวลาสองวินาทีเต็ม สิ่งที่เธอได้เห็นน่าตกใจมากขนเธอคิดอะไรไม่ออก
หลังผ่านไปสองวินาที แสงสีแดงก็วาบขึ้นต่อหน้าต่อหน้าสวี่จื้อ จากนั้นร่างวิญญาณของเธอก็ถูกทำลายอย่างรวดเร็วจนเธอไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดใดๆ และจิตสำนึกของเธอก็ย้อนกลับมาสู่ร่างเดิม
เมื่อกลับมารู้สึกตัว เหงื่อเย็นก็อาบไปทั่วแผ่นหลังของเธอในทันที
เธอเพิ่งเห็นอะไร?
ก่อนอื่น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสถานที่ๆ เธอถูกสุ่มเกิดนั้นอยู่ในใจกลางเมืองอย่างแน่นอน เพราะสิ่งแรกที่สวี่จื้อเห็นเมื่อลืมตาก็คือป้ายรถเมล์ที่บ่งบอกให้รู้ว่าที่นี่อยู่หน้าสวนสาธารณะใจกลางเมืองหยุน
อย่างไรก็ตาม ในวินาทีถัดมาวิสัยทัศน์ของสวี่จื้อเต็มไปด้วยสิ่งต่างๆ ที่ทำให้สมองของเธอหยุดทำงาน
สิ่งนั้นคือ…
สัตว์ประหลาดที่อัดกันแน่นอยู่บนอาคารต่างๆ และถนนทุกสาย ด้วยรูปลักษณ์ที่ผิดรูป และน่ากลัว เมื่อมองด้วยตาเปล่า มันก็ทำให้ผู้คนฝันร้าย และไม่มีทางลบออกจากความทรงจำไปได้
เมื่อสวี่จื้อลืมตาขึ้น เธอก็ได้สบตากับสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง ในดวงตาของมันที่มองมาที่เธอเต็มไปด้วยความเย็นชา และความกระหายเลือด
แม้ว่าในตอนนั้นจะเงียบสงัด แต่เมื่อสวี่จื้อคิดดูดีๆ เธอรู้สึกเหมือนจะได้ยินเสียงพึมพำของสัตว์ประหลาดจำนวนนับไม่ถ้วน
พวกมันกำลังพูดว่า ดูสิ ลูกแกะหลงทาง
สัตว์ประหลาดทุกตัวพร้อมที่จะโจมตีเธอ ดังนั้นเมื่อผ่านไป 2 วินาที ร่างวิญญาณของเธอก็ถูกทำลาย
ณ ตอนนั้น เธอรู้สึกขอบคุณร่างวิญญาณที่บอบบาง ทำให้ความตายเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และเธอไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดใดๆ
ในเวลานั้น เธอไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจว่าจะได้เห็นภาพที่น่าสยดสยองถึงขนาดนั้น ส่งผลให้สมองของสวี่จื้อว่างเปล่าไปชั่วขณะ แต่นอกเหนือจากความกลัว และมีความสงสัยแฝงอยู่ด้วย
ทำไมสัตว์ประหลาดเหล่านั้นจึงมารวมตัวกันใจกลางเมือง?
อาจมีสาเหตุหลายอย่าง อย่างเช่น พวกมันถูกดึงดูดด้วยบางสิ่ง หรือมีหรือสัตว์ประหลาดที่ทรงพลังคอยควบคุม และสั่งการพวกมันอยู่
แต่ตอนนี้เธอก็ได้รู้แล้วว่าทำไมก่อนหน้านี้ เธอจึงไม่เคยพบกับสัตว์ประหลาดเลยสักตัว เพราะพวกมันไปรวมตัวกันอยู่ที่ใจกลางเมืองนี่เอง
แต่สิ่งที่ตามมาคือ ความวิตกกังวล และความรู้สึกเร่งด่วนที่เพิ่มมากขึ้น
เพราะสวี่จื้อไม่รู้ว่าพวกมันจะอยู่ที่ใจกลางเมืองไปอีกนานแค่ไหน
หากหลังจากนี้พวกมันกระจายตัวไปทั่วเมือง ความปลอดภัยก็จะลดต่ำลงถึงขีดสุด และความเสี่ยงจะเพิ่มทะลุปรอท
อีกอย่างที่สำคัญ เมื่อสัตว์ประหลาดรวมตัวกันเป็นกลุ่ม ความอันตรายของพวกมันก็จะสูงขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
ตราบใดที่พวกมันต้องการ ก็จะไม่มีใครในเมืองนี้ที่จะหยุดยั้งพวกมันได้
เมื่อสวี่จื้อเหลือบมอง มีสัตว์ประหลาดอย่างน้อยหลายร้อยตัว และคงมีอยูมากมายที่ถูกหมอกบดบังเอาไว้
แม้ว่าเธอจะไม่เข้าใจว่าทำไมพวกมันถึงมารวมตัวกัน ณ ใจกลางเมือง แต่เธอก็มั่นใจว่าเมืองนี้ต้องมีความลับบางอย่าง
ความตึงเครียด และความวิตกกังวลที่มากเกินไปทำให้สวี่จื้อแทบหายใจไม่ออก เธอจึงต้องหลับตาลง และสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อปรับอารมณ์ของตัวเอง
โชคดีที่เมื่อเธอชินความรู้สึกที่ถูกความตายไล่หลัง เธอจึงใช้เวลาไม่นานในการจัดระเบียบความคิด และลืมตาขึ้นอีกครั้ง
“ดูเหมือนว่าฉันจะต้องเร่งมือ จะมัวทำตัวเอ้อระเหยไม่ได้แล้ว”
เธอยังคงแข็งแกร่งขึ้นไม่เร็วพอ!
สิ่งที่สวี่จื้อคิดได้ในตอนนี้ก็คือการเอารอดตัว อย่างน้อยเธอก็ต้องเอาตัวรอดจากการถูกปิดล้อม และปราบปรามของสัตว์ประหลาดเหล่านั้นได้
แต่เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายนั้นอยู่ไกลมาก ยิ่งเธอรู้มากเท่าไร แรงกดดันก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
แต่สวี่จื้อก็ตัดสินใจอย่างหนักแน่น
เธอหยิบแก่นพลังมอธออกมาแล้วโยนมันเข้าไปในปากโดยไม่ลังเล
เธอรู้ว่าแก่นพลังแค่ก้อนเดียวอาจจะช่วยอะไรไม่ได้มากนัก แต่มันก็แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่น
ทันทีที่เธอกินมันลงไป แก่นพลังที่เหมือนกับผลึกแข็งก็กลายเป็นของเหลวไหลลงคอของเธอ จากนั้นดวงตาของสวี่จื้อก็พร่ามัว และภาพหลอนที่เหมือนความฝันก็ครอบงำความคิดของเธอ
ดูเหมือนเธอจะได้เห็นผีเสื้อสีเทาจำนวนนับไม่ถ้วนที่ถูกขังรวมกัน และมันค่อยๆ ถูกปล่อยออกมาทีละตัวในยามค่ำคืน มีเทียนแท่งหนึ่งลุกโชนอยู่บนท้องฟ้า ราวกับได้แทนที่ดวงอาทิตย์ เมื่อมองไปรอบๆ ท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยขี้เถ้าที่ร่วงหล่นลงมา
มีซากศพของผีเสื้อจำนวนมากปกคลุมพื้น และเส้นสีดำบนปีกสีเทาของพวกมันก็เหมือนกับดวงตาที่จ้องมองอย่างเงียบงัน มองไปที่แสงเทียนบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าโหยหา
ดวงตาของสวี่จื้อจ้องมองไปที่เทียนที่ลุกโชน และเขาก็อดไม่ได้ที่จะอยากเข้าใกล้มันมากขึ้น มากขึ้น แม้ว่ามันจะแผ่ความร้อนออกมาอย่างไร้ปราณีก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ในวินาทีต่อมา ภาพตรงหน้าของสวี่จื้อก็เริ่มบิดเบี้ยว และเธอก็รู้สึกเวียนหัวอย่างรุนแรง ซึ่งทำให้เธอสลัดภาพหลอนออกไปได้
เสื้อผ้าบนหลังของสวี่จื้อเต็มไปด้วยเหงื่อ เต็มไปด้วยความรู้สึกกลัว เธอกลัวว่าหากตื่นขึ้นไม่ทันไม่ทันเวลา และบินโฉบเข้าไปหาแสงเทียน เธอจะไม่อยากลับมาได้จริงๆ
สวี่จื้อพยายามหาว่าร่างกายของตัวเองมีอะไรเปลี่ยนไปหรือไม่ แต่น่าเสียดาย หลังจากลองตรวจสอบดูสักพัก เธอก็ไม่เห็นความแตกต่างใดๆ ดังนั้นเธอจึงหยิบเครื่องเกมขึ้นมาเพื่อดูว่าจะได้รับแนะนำอะไรหรือไม่
แน่นอนว่ามันย่อมจะไม่เพิกเฉยต่อทุกการกระทำของเธอ
[ ภาพที่คุณเห็นผ่านร่างวิญญาณทำให้คุณหวาดกลัว และมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง คุณจึงเลือกที่จะกินแก่นพลังเข้าไป ทางเลือกนั้นถูกหรือผิดยากจะบอกได้ ]
[ พลังในร่างของคุณบริสุทธิ์ขึ้น และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดมากขึ้น แต่ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้คุณได้รับสกิลพิเศษบางอย่าง บางทีคุณอาจต้องการแก่นพลังก้อนอื่นๆ เป็นตัวช่วย ]
[ แต่ของเตือนไว้ก่อนว่าการกินแก่นพลังแบบนั้นมีความเสี่ยงอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคุณที่เหมาะกับพลังมอธ ]
[ โปรดควบคุมสติของตัวเองให้ดี อย่าปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งไปใน ‘ความหลงใหล’ ]
“หลงใหล?”
ดูเหมือนว่าความรู้สึกของเธอเมื่อกี้ซึ่งเกือบจะเหมือนกับผีเสื้อกลางคืนที่บินเข้าหาเปลวไฟด้วยความหลงใหล
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนเพียงแก่นพลังเพียงก้อนเดียวจะยังไม่พอ
แล้วเธอจะไปหาแก่นพลังมอธจากที่ไหนได้อีก?
สวี่จื้อหันกลับมามองดูเวลา เธอคิดว่าเวลาผ่านไปไม่นานนัก ท้ายที่สุดแล้ว ร่างวิญญาณก็ถูกทำลายในพริบตา และตอนที่เธอประสาทหลอน เธอก็รู้สึกเหมือนกับว่าไม่นานนัก แต่เมื่อมองดูเวลาจริงๆ มันก็ผ่านไปนานกว่าชั่วโมงแล้ว
หลังจากนี้อีกไม่นานก็ถึงเวลาที่แฟมิเลียทั้งสองควรจะกลับมา
อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ยังไม่มีเบาะแสเกี่ยวกับการหาผลไม้สีดำ ดูเหมือนว่าโชคของเธอในวันนี้จะไม่ค่อยดีนัก
สวี่จื้อวางเครื่องเกมในมือลง และลุกขึ้นเพื่อไปอาบน้ำ แม้ว่าเธอจะยังมีเรี่ยวแรงไม่มากนัก แต่เมื่อโก้วจื่อมาถึงเลเวล 10 ร่างกายของเธอก็แข็งแกร่งกว่าเดิมไม่น้อย แม้จะอ่อนแอกว่าคนธรรมดาทั่วไป แต่เธอก็ไม่ต้องพึ่งยาอีกต่อไปแล้ว
หลังจากอาบน้ำ และเอาผ้าใส่ในเครื่องซักผ้าแล้ว เธอก็กลับไปที่ห้องนอน
เมื่อนอนอยู่บนเตียง เธอก็ถอนหายใจ “แม้จะเป็นวันสิ้นโลก ฉันก็ยังต้องตื่นเช้า และทำงานบ้านด้วยตัวเองเหมือนเคย”
เมื่อเธอแข็งแกร่งขึ้น เธอจะหาลูกน้องที่สามารถช่วยเธอซักผ้า และทำงานบ้านอื่นๆ ได้
หลังจากแต่งตัว เวลาก็เกือบจะหมดลงแล้ว สวี่จื้อหยิบเครื่องเกมขึ้นมาดู แน่นอนว่าแฟมิเลียทั้งสองไม่ได้อะไรกลับมาเลย
“ดูเหมือนคราวก่อนจะโชคดีมากจริงๆ”
หลังจากที่สวี่จื้อสั่งให้แฟมิเลียทั้งสองออกไปล่า ส่วนตัวเธอก็ใช้ชีวิตเหมือนเคย โดยการอ่านหนังสือฆ่าเวลา
สวี่จื้อรู้ดีว่าด้วยร่างกายของตัวเองในตอนนี้ น่าจะยังออกกำลังกายไม่ไหว เพราะเคยเดินสักพักเธอก็หอบแล้ว เธอจึงไม่คิดจะไปเสี่ยงกับการเพิ่มภาระให้ร่างกายที่ยังอ่อนแออยู่
นั่นทำให้สิ่งที่เธอพอจะทำได้เพื่อฆ่าเวลาก็คือ การอ่านหนังสือเพื่อเพิ่มพูนความรู้ให้ตัวเอง แม้จะยังไม่ได้ใช้ในตอนนี้ แต่ก็คงจะมีประโยชน์อย่างแน่นอน
นอกจาก สั่งให้แฟมิเลียทั้งสองออกล่าแล้ว เธอยังขอให้พวกเขาให้ความสนใจกับห้องสมุดที่ตั้งอยู่ใกล้เคียง และมองหาเส้นทางปลอดภัยเอาไว้ล่วงหน้า
“เฮ้อ ถ้ายังมีอินเทอร์เน็ตอยู่ ก็คงจะดีมาก”
เครือข่ายอินเทอร์เน็ตในเมืองหยุนถูกตัดการเชื่อมต่อ ไม่เช่นนั้นเธอจะไม่ต้องไปที่ห้องสมุด และสามารถค้นหาสิ่งที่อยากรู้ผ่านโทรศัพท์ และแท็บเล็ตได้
เมื่อการล่ารอบแรกสิ้นสุดลง สวี่จื้อก็เงยหน้าขึ้นจากหนังสือ และเตรียมตรวจดูผลการล่า
เมื่ออ่านหนังสือมาถึงเจ็ดชั่วโมง เธอก็รู้สึกเหนื่อย แต่ก็มีความตื่นเต้นเล็กน้อยในดวงตาของเธอ เพราะเธอพบว่าพลังกายของตัวเองเหมือนดูจะเพ่มขึ้นมาก รวมถึงความสามารถในการจดจำ และทำความเข้าใจด้วย
แค่มองดู เธอก็เข้าใจ และจดจำได้อย่างมั่นคง
บางทีพลังมอธอาจไม่ได้ปรับปรุงร่างกายของเธอมากนัก แต่น่าจะมีประโยชน์ต่อตัวเธอในเรื่องเหล่านี้
"หากได้กินแก่นพลังมากกว่านี้ ฉันจะสามารถมีความทรงจำแบบภาพถ่ายได้หรือเปล่า"
สวี่จื้อคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วมองไปที่หน้าจอเกม
แต้มวิวัฒนาการที่ได้รับจากแฟมิเลียทั้งสองนั้นเพียงพอสำหรับพวกมันที่จะยกระดับแล้ว แต่ที่สำคัญกว่านั้นในช่องไอเทมพิเศษ มีแก่นพลังสามก้อนอยู่ในนั้น
สวี่จื้อมองดู และเห็นว่ามีแก่นพลังคมมีด 2 ก้อน และแก่นพลังมอธ 1 ก้อน
"เยี่ยม"
เธอไม่ได้ต้องการแก่นพลังชนิดอื่นๆ อย่างเร่งด่วนเพื่อเพิ่ม ความรู้’ แต่เธอขาดแก่นพลังที่ใช้ในการเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเอง
เธอวางแผนที่จะมอบแก่นพลังคมมีดทั้งสองก้อนให้กับเสี่ยวอี้ โดยหวังว่ามันจะแข็งแกร่งขึ้นเพื่อที่จะได้เป็นกำลังรบหลัก
อีกอย่าง เธอต้องการให้เสี่ยวอี้ไปถึงเลเวล 20 โดยเร็วที่สุดเพื่อปลดล็อคแฟมิเลียตนที่สาม
หลังให้ทั้งสองหาที่ซ่อนแล้วยกระดับเสร็จสิ้นแล้ว เธอก็สั่งให้เสี่ยวอี้กินแก่นพลังทั้งสองก้อน
ส่วนโก้วจื่อ เธอได้สั่งให้มันออกล่าอีกครั้ง
หลังจากถึงเลเวล 11 โก้วจื่อก็แข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย ค่าจิตวิญญาณของมันพุ่งไปถึง 120 ส่วนร่างกายก็อยู่ที่ 860 แล้ว
หลังจากที่เสี่ยวอี้ดูดซับพลังในแก่นพลังทั้งสองจนหมด เลเวลของมันก็เพิ่มขึ้น รวมถึงสกิลต่างๆ ที่ยกระดับขึ้นด้วย
[ งู ( เสี่ยวอี้ ) ( เลเวล 14 ) ]
[ จิตวิญญาณ : 200 ]
[ ร่างกาย : 800 ]
[ พลัง : คมมีด ]
[ สกิล : พิษ ( เลเวล 5 -> เลเวล 6 ) คมเขี้ยว ( เลเวล 3 -> เลเวล 4 ) กระหายเลือด ( เลเวล 4 ) เจ้าเล่ห์ ( เลเวล 3 ) ]
[ สกิลพิเศษ : ไม่มี ]
[ แต้มวิวัฒนาการ : 200 / 3,000 ]
สกิลพิษ และคมเขี้ยวเพิ่มขึ้นหนึ่งระดับ แต่ก็ยังล้มเหลวในการปลุกสกิลพิเศษ
“คงต้องรอดูอีกครั้งในคราวหน้า”
หลังจากสั่งให้เสี่ยวอี้ออกไปล่าต่อ สวี่จื้อก็มองไปที่แก่นพลังมอธที่เธอนำออกมาจากเกม
แต่คราวนี้ เธอได้รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น และได้เตรียมใจเอาไว้แล้ว เธอจะพยายามรักษาสติของตัวเองเอาไว้ให้ได้
ทำให้ภาพลวงตาที่เหมือนความฝัน มีการเปลี่ยนแปลงออกไปเล็กน้อย