ตอนที่แล้วตอนที่ 12 เหมันต์
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 14 ความลับของเมืองหยุน

ตอนที่ 13 ร่างวิญญาณ


ตอนที่ 13 ร่างวิญญาณ

แน่นอนว่าคำบรรยายก็ปรากฏขึ้น

[ แฟมิเลียของคุณได้กินแก่นพลังเข้าไป แม้ว่าพลังงานในนั้จะมีไม่มากนัก แต่ก็ยังต้องใช้เวลาพอสมควรในการดูดซับ ]

[ คุณได้ค้นพบหนึ่งในวิธีการใชแก่นพลัง : ให้สิ่งมีชีวิตกลืนกิน ]

[ เพื่อเป็นรางวัล คุณจะได้รับข้อมูลสำคัญบางอย่าง ]

[ สิ่งมีชีวิตสามารถกลืนกินแก่นพลังได้ และหากกินแก่นพลังที่เหมาะสมกับตัวเอง ความบริสุทธิ์ของพลังในตัวมันก็จะเพิ่มสูงขึ้น และยิ่งสูงเท่าไหร่ มันก็ยิ่งมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพลังนั้นมากขึ้นเท่านั้น และจะมีโอกาสได้รับสกิลพิเศษ ]

[ โปรดทราบ : การกลืนแก่นพลังที่ไม่สอดคล้องกับตัวคุณเองจะเป็นอันตรายอย่างยิ่ง ]

[ เมื่อกลืนกินแก่นพลังที่ไม่เหมาะสม จะเป็นการง่ายที่ทำให้สูญเสียสติ บ้าคลั่ง และอาละวาดไปทั่ว ดังนั้น โปรดใช้มันอย่างรอบคอบ ]

[ คุณได้รับข้อมูลสำคัญบางอย่างเกี่ยวกับพลังแล้ว และแฟมิเลียของคุณจะต้องใช้เวลาดูดซับ 10 นาที ]

“10 นาที?”

มันเร็วอย่างน่าประหลาดใจ ดูเหมือนว่าพลังงานที่มีอยู่ในแก่นพลังจะน้อยกว่าในผลไม้สีดำมาก

ในขณะที่ สวี่จื้อกำลังควบคุมโก้วจื่อให้อกล่าเหยื่อ เธอก็ให้ความสนใจกับความเปลี่ยนแปลงในตัวเสี่ยวอี้ เมื่อผ่านไปครบ 10 นาที มันก็ลืมตาตื่น

แต่เมื่อดูจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย ดังนั้นสวี่จื้อจึงต้องตรวสอบผ่านตัวเกกม

ในเวลานี้ สเตตัสของเสี่ยวอี้ก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอพอดี

[ งู ( เสี่ยวอี้ ) ( เลเวล 12 ) ]

[ จิตวิญญาณ : 160 ]

[ ร่างกาย : 640 ]

[ พลัง : คมมีด ]

[ สกิล : พิษ ( เลเวล 5 ) คมเขี้ยว ( เลเวล 3 ) กระหายเลือด ( เลเวล 4 ) เจ้าเล่ห์ ( เลเวล 2 -> เลเวล 3 ) ]

[ สกิลพิเศษ : ไม่มี ]

มีสกิลเดียวที่มีระดับเพิ่มขึ้น แต่จุดสนใจอยู่ที่แถบสกิลพิเศษมากกว่า และเธอก็ได้เห็นคำว่า ‘ไม่มี’ เขียนเอาไว้

สวี่จื้อคิดถึงคำบรรยายก่อนหน้านี้ ยิ่งความสัมพันธ์กับพลังสูงเท่าไร โอกาสได้รับสกิลพิเศษก็จะเพิ่มมากขึ้น

ในความเห็นของเธอ สกิลต่างๆ ถือเป็นตัวช่วยสำคัญ แต่สกิลทั้งหมดที่มีอยู่ในตอนนี้ล้วนแต่เป็นสกิลติดตัวทั้งหมด ทำให้แฟมิเลียของเธอต้องอาศัยร่างกาย และความดุร้ายของตัวเองในการต่อสู้

สำหรับสกิลพิเศษ เธอคาดหวังว่าจะมีสกิลโจมตี หากเป็นบางอย่างที่เหมือนกับเวทมนตร์ก็ยิ่งดี

และทักษะการใช้งานจำเป็นต้องมีความสัมพันธ์ถึงระดับหนึ่งก่อนจึงจะสามารถได้รับ

แม้แต่สกิลกระหายเลือดที่เธอได้รับจากเสี่ยวอี้ ก็เป็นเพียงสกิลติดตัวเหมือนกัน

หากทุกชีวิตต้องปฏิบัติตามกฎข้อนี้ สัตว์ประหลาดจากต่างดาวเหล่านั้นก็ควรจะเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม ในตอนที่สัตว์ประหลาดเหล่านั้นปรากฏตัวขึ้น มันก็สามารถปลดปล่อยพลังบางอย่างออกมาได้อย่างเชี่ยวชาญ

แล้วผู้ปลุกพลังล่ะ พวกเขาต้องปฏิบัติตามกฎข้อนี้หรือเปล่า? นี่เป็นเพียงกฎสำหรับแฟมิเลียของเธอ

สวี่จื้อเก็บความสงสัยไว้ในใจ และวางแผนที่จะหาทางตรวจสอบอีกครั้งเมื่อมีโอกาส

จากนั้น เธอก็สังเกตว่าแต้มวิวัฒนาการของเสี่ยวอี้ได้เพิ่มขึ้น ปัจจุบันคือ 700 / 2,000

จากการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ระดับพลังนั้นมีความสำคัญมากกับสิ่งมีชีวิตทุกตัว ยิ่งระดับสูง สิ่งมีชีวิตนั้นก็จะทรงพลังมากขึ้น และยากจะรับมือ

บางทีเมื่อเสี่ยวอี้ยกระดับอีกสักสองสามครั้ง มันอาจได้รับสกิลโจมตีก็เป็นได้

สวี่จื้อปวดหัวเมื่อคิดถึงแต้มที่ต้องใช้ในการยกระดับ หลังจากได้สัมผัสกับการออโต้ฟาร์ม เธอก็เริ่มรู้สึกไม่พอใจกับความจริงที่ว่าสิบเลเวลแรกนั้น เธอจำเป็นต้องควบคุมทุกอย่างด้วยตัวเอง

สวี่จื้อมองไปที่เสี่ยวอี้ที่นอนอยู่ข้างๆ และทันใดนั้นก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา

หรือจะให้มันคอยช่วยโก้วจื่อในการล่าดี?

ความเร็วในการเก็บเวลของโก้วจื่อนั้นช้ามาก แต่หากเสี่ยวอี้ไปช่วย มันน่าจะช่วยย่นเวลาได้ไม่น้อย

แม้ว่าสิ่งนี้จะทำให้ความเร็วในการพัฒนาของเสี่ยวอี้ช้าลง แต่สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการปลดล็อคความสามารถในการออโต้ฟาร์มของโก้วจื่อ

เมื่อคิดเช่นนี้ สวี่จื้อก็เริ่มลงมือในทันที เธอสั่งให้เสี่ยวอี้ออกล่าในบริเวณเดียวกับโก้วจื่อ อย่างไรก็ตาม เมื่อยังไม่ถึงเลเวล 10 เธอก็ยังต้องควบคุมการออกล่าของโก้วจื่อด้วยมือตัวเองไปก่อน

แต่ผลลัพธ์ก็ถือว่าเลยทีเดียว ความเร็วในการพัฒนาของมันเพิ่มขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด

แต่ในระหว่างช่วงเวลานี้ สวี่จื้อยังไม่ลืมที่จะสังเกตบริเวณโดยรอบ เธอยังคงไม่ประมาท และคอยสอดส่องอยู่ตลอดเวลาเผื่อว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น

โชคดีที่แถวนี้มีแต่สัตว์กลายพันธุ์ ไม่มีสัตว์ประหลาดที่เกิดจากหมอก

โก้วจื่อเคยเจอคนบ้าหลายครั้ง แต่มันไม่เคยเจอสัตว์ประหลาดเลย

เมื่อลองคิดดูแล้ว มันก็แปลกมากจริงๆ?

ก่อนที่หมอกจะรวมตัวกันในเมืองหยุน สัตว์ประหลาดได้โผล่ออกมาจากหมอกที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วโลก พวกมันส่วนใหญ่ไร้เหตุผล ด้วยรูปลักษณ์ที่บิดเบี้ยว และน่ากลัว พวกมันซ่อนตัวอยู่ในเงามืด และโจมตีมนุษย์ และสัตว์ประหลาดแต่ละสายพันธุ์ก็มีความพิเศษไม่เหมือนใคร ทำให้เป็นการยากที่จะรับมือ สร้างความหวาดกลัวให้กับผู้คนจำนวนมาก

ตอนนี้หมอกเกือบ 70% ได้มารวมตัวกันอยู่ในเมืองหยุน ควรจะทำให้มีสัตว์ประหลาดปรากฏตัวมากขึ้น แต่หลายวันที่ผ่านมา เธอก็ไม่พบพวกมันเลยแม้แต่ตัวเดียว

"มีบางอย่างผิดปกติจริงๆ?"

เธอไม่รู้เกี่ยวกับสัตว์ประหลาดมากนัก เธอเคยเห็นพวกมันในข่าวเท่านั้น แต่ตอนนี้เธอต้องสำรวจทุกอย่างด้วยตัวเอง เธอจึงต้องใส่ใจกับปัญหานี้

ในระหว่างทางที่ออกล่า สวี่จื้อก็คอยสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบด้วย นอกเหนือจากการหายตัวไปของสัตว์ประหลาด เธอยังพบว่าสัตว์กลายพันธุ์เหล่านั้นดูเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้น อย่างน้อยก็เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ที่เธอพบ ระดับเฉลี่ยของพวกมันสูงกว่าเดิมถึงสองระดับ

พวกเขากำลังแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน

“แล้วสัตว์กลายพันธุ์มากมายในเมืองนี้มาจากที่ไหนกัน?”

ราวกับว่าสัตว์ทุกชนิดในป่าย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองในชั่วข้ามคืน

เป็นเพราะการปรากฏตัวของหมอก และการจากไปของมนุษย์หรือเปล่า?

แม้จะถึงตอนกลางคืน และโก้วจื่อยกระดับไปถึงเลเวล 10 แล้ว เธอก็ยังไม่พบสัตว์ประหลาดเลยสักตัว

“เร็วกว่าเดิมมากเลยทีเดียว หากให้มันออกล่าเพียงลำพังน่าจะต้องใช้เวลาถึง 2 วัน”

เมื่อมีเสี่ยวอี้อยู่ข้างๆ โก้วจื่อไม่จำเป็นต้องค้นหาสถานที่ปลอดภัยเมื่อยกระดับ และเวลาก็ลดลงมากกว่าครึ่ง

สวี่จื้อเฝ้าดูด้วยความยินดีเมื่อแถบความคืบหน้าในการยกระดับของโก้วจื่อเต็มหลอด และเขาก็ดูสเตตัสของมันด้วยความคาดหวัง

[ หมา ( เลเวล 10 ) ]

[ จิตวิญญาณ : 98 ]

[ ร่างกาย : 740 ]

[ พลัง : คมมีด ]

[ สกิล : แข็งแกร่ง ( เลเวล 6 ) ดมกลิ่น ( เลเวล 4 ) รอบคอบ ( เลเวล 2 ) เฉียบแหลม ( เลเวล 3 ) ]

[ สกิลพิเศษ : ไม่มี ]

[ แต้มวิวัฒนาการ : 0 / 1,000 ]

เมื่อเทียบกับเสี่ยวอี้ในระดับเดียวกัน ค่าจิตวิญญาณค่อนข้างต่ำ แต่ร่างกายของมันนั้นแข็งแกร่งกว่ามาก

หลังจากการยกระดับเสร็จสิ้น คำบรรยายที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

[ แฟมิเลียของคุณมาถึงเลเวล 10 แล้ว และความฉลาดทางจิตวิญญาณของมันได้ถูกเปิดออก ตอนนี้คุณสามารถตั้งชื่อให้มันได้แล้ว ]

สวี่จื้อคิดชื่อไว้ก่อนแล้ว ดังนั้นเขาจึงพิมพ์คำว่า ‘โก้วจื่อ’ ลงไปอย่างรวดเร็ว

แม้ว่าจะเป็นกระบวนการตั้งชื่อที่เธอคุ้นเคย แต่ตอนนี้เมื่อใกล้ถึงเวลาเที่ยงคืน เธอไม่สามารถส่งเสี่ยวอี้ และโก้วจื่อออกล่าได้อีกต่อไป ไม่งั้นอาจต้องเสี่ยงกับอันตรายที่ไม่รู้จักก็เป็นได้

เดิมทีสวี่จื้อคิดว่าแฟมิเลียตนที่สามอาจถูกปลดล็อคหลังจากที่โก้วจื่อมาถึงเลเวล 10 แต่ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น แต่ก็มีบางสิ่งที่เพิ่มเข้ามาใหม่

[ ขอแสดงความยินดีด้วย คุณเลี้ยงดูแฟมิเลียทั้งสองได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว เมื่อพวกมันไปถึงเลเวล 20 จะมีการวิวัฒนาการไปสู่ระดับที่สูงขึ้น เมื่อถึงตอนนั้นคุณจะได้รับแฟมิเลียตนที่สาม ]

[ ในเวลานี้ คุณมีความสามารถในการเอาตัวรอดจากภัยคุกคามบางอย่างแล้ว แต่ก็อย่าเพิ่งชะล่าใจไป คุณยังอ่อนแออยู่ หากคุณต้องการที่จะยืนหยัดอย่างมั่นคง คุณก็ต้องแข็งแกร่งให้มากกว่านี้ ]

[ ปลดล็อคความสามารถใหม่ : ร่างวิญญาณ ]

[ เมื่อใช้แก่นพลัง คุณจะได้รับร่างวิญญาณที่มีสเตตัสแบบสุ่ม และจะถูกสุ่มเกิดที่ไหนสักแห่งในเมือง จิตสำนึกของคุณแทรกอยู่ในร่างวิญญาณ และเดินไปมาในที่ต่างๆ ได้ เมื่อหมดเวลา ร่างวิญญาณจะหายไป ]

[ ยิ่งร่างวิญญาณนั้นควบแน่นด้วยแก่นพลังจำนวนมากเท่าไหร่ พลังที่ได้รับแบบสุ่ม และสเตตัสพื้นฐานก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น และจะอยู่ได้นานขึ้นด้วยเช่นกัน หากร่างวิญญาณสลายเมื่อหมดเวลา ไอเทมทุกสิ่งที่ร่างนั้นครอบครองจะถูกส่งมาเก็บไว้ในคลังเก็บของ ]

[ แต่หากร่างวิญญาณตายก่อนเวลาจะหมดลง คุณจะไม่ได้รัไอเทมชิ้นใดกลับมาเลย ]

เมื่อคำบรรยายปรากฏขึ้น ไอคอนรูปเด็กสาวสีเทาก็ปรากฏขึ้นที่มุมขวาล่างของหน้าจอเกม

สวี่จื้อคลิกที่ไอคอนด้วยความสงสัย และเด็กสาวผมดำก็ปรากฏตัวต่อหน้าเธอ

แม้ว่าจะเป็นภาพพิกเซล แต่ภาพก็ดูดีอย่างน่าประหลาดใจ และตอนนี้ สวี่จื้อได้เห็นบางสิ่งที่คุ้นจากตัวเด็กสาวในเกม

ใบหน้าคล้ายกันตัวเธออย่างยิ่ง แทบจะมองไม่เห็นถึงความแตกต่าง

“น่าจะใช้ร่างนี้แทรกซึมเข้าไปในหมู่ผู้คนได้”

ทางด้านขวามือของเด็กสาว มีไอคอนสีน้ำตาลอ่อนลอยอยู่

สวี่จื้อคลิก และตัวเลือกก็ปรากฏขึ้น

[ โปรดกำหนดจำนวนแก่นพลังที่จะใช้การควบแน่นร่างวิญญาณ ]

[ หมายเหตุ : พลังจะถูกสุ่มจากแก่นพลังที่ถูกใช้ในการควบแน่นเท่านั้น ]

สวี่จื้ออยากจะลองดู เพราะนอกจากแก่นพลังมอธแล้ว เธอยังมีแก่นพลังเหมันต์อีกด้วย

แต่ตอนนี้ใกล้จะถึงเวลาเที่ยงคืนแล้ว แม้ร่างวิญญาณจะถูกสร้างขึ้น เธอก็ไม่แน่ใจว่ามันจะเดินท่องไปในช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดของวันได้หรือไม่ ดังนั้น จะเป็นการดีกว่าที่จะไม่เสี่ยง

"งั้นวันนี้ก็พอแค่นี้ก่อน"

บังเอิญพอดีที่เสี่ยวอี้ และโก้วจื่อจะกลับมาเร็วๆ นี้ และเธอก็ตั้งตารอที่จะได้เห็นว่ามันมีรูปร่างเป็นยังไงกันแน่

“ขอแค่ไม่น่าเกลียดเกินไปก็พอ”

หากโก้วจื่อมีรูปลักษณ์สยดสยอง เธอก็กลัวว่าตัวเองจะฝันร้ายเอาได้

ในไม่ช้า แฟมิเลียทั้งสองบนหน้าจอเกมก็กลับมาถึงหน้าประตูบ้านของเธอ สวี่จื้อจึงเก็บเครื่องเกมไว้ในกระเป๋าแล้วเดินตรงไปที่ประตู

พูดตามตรง เธอได้เตรียมใจไว้แล้ว แต่เธอก็ยังไม่คาดไม่ถึงกับสิ่งที่ต้องเผชิญ

ทันทีที่ประตูเปิดออก เธอก็ได้รับการต้อนรับจากหมาสีเทาตัวใหญ่ที่มีท่าทีกระตือรือร้นอย่างยิ่ง ก่อนที่เธอจะได้เอ่ยปากพูดอะไร มันก็กระดิกหางอย่างบ้าคลั่งแล้ว และแลบลิ้นออกมาเลียหน้าเธอ

สวี่จื้อพยายามผลักร่างของมันที่กดทับอยู่ออกไป แต่เธอก็ไม่อาจสู้แรงไหว ทำให้ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยน้ำลาย

แต่หลังจากนั้นไม่นาน ร่างของมันก็ถอยออกไป

เมื่อสวี่จื้อมอง เธอก็สังเกตเห็นว่าไม่ใช่เพราะโก้วจื่อคิดจะถอยไปด้วยตัวเอง แต่เพราะมันถูกเสี่ยวอี้เอาหางรัด แล้วดึงออกไป

แม้ว่าจะถูกดึงออกไปด้วยกำลัง แต่มันก็พยายามพุ่งตัวมาหาเธอไม่หยุดหย่อน

“ฮ่าๆๆ” สวี่จื้อยิ้มเยาะ มองดูหมากโง่ที่จ้องมองมาด้วยความกระตือรือร้น อารมณ์ความรู้สึกที่มันแสดงออกมาคล้ายกับตอนที่เธอพบเสี่ยวอี้เป็นครั้งแรก

จากนั้น เธอก็เดินเข้าไปในห้องแล้วพูดกับเสี่ยวอี้ “ลากมันเข้ามาแล้วปิดประตูด้วย”

หลังจากที่ทั้งสองเข้ามาแล้ว สวี่จื้อก็ตะโกนบอก “นั่งลง อย่าขยับ!”

หลังจากได้ยินคำสั่ง โก้วจื่อก็นั่งลงบนพื้นอย่างเชื่อฟัง แต่ถึงอย่างนั้น หางของมันก็ยังโบกไปมาเหมือนใบพัด พร้อมกับดวงตาของมันที่ยังคงจ้องมองมาที่สวี่จื้อ

“ห้ามเลียหน้าฉันอีกนะ เข้าใจมั้ย”

สวี่จื้อรู้สึกทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย เธอมองไปที่เสี่ยวอี้แล้วพูดว่า “คอยดู และอย่าปล่อยให้มันขยับ”

จากนั้นเธอก็รีบไปล้างหน้า ขณะล้างหน้า เขาก็รู้สึกสงสัยว่าทำไมทั้งสองจึงกระตือรือร้นถึงขนาดนี้

“หรือแฟมิเลียทุกตนก็เป็นแบบนี้หมด?”

แม้ว่าจะเป็นเรื่องดีสำหรับพวกมันที่ต้องการใกล้ชิดเธอ แต่หากกระตือรือร้นมากเกินไป ก็ลำบากใจอยู่ไม่น้อย

หลังจากล้างหน้าแล้ว สวี่จื้อก็มองดูทั้งสองที่อยู่ในห้องอย่างเงียบๆ คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดอย่างจริงจัง “อยู่ข้างเตียงฉันตอนกลางคืน อย่าวิ่งไปมารอบๆ จะได้ไม่รบกวนการนอนของฉัน!”

เสี่ยวอี้พยักหน้า ส่วนโกวจื่อ มันมองเธออย่างไร้เดียงสาราวกับหมาโง่ที่ไม่เข้าใจภาษามนุษย์ กระดิกหางไปมา และถูอุ้งเท้าลงบนพื้นอย่างกระตือรือร้น

“ช่างเถอะ”

สวี่จื้อรู้สึกเหนื่อยล้าขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล แต่เธอก็ไม่คิดจะพูดอะไรต่อ และล้มตัวลงนอนบนเตียงอย่างรวดเร็ว

เมื่อถึงเวลาตีห้า นาฬิกาปลุกก็ดังเช่นเคย และสวี่จื้อก็ดิ้นรนสักพักก่อนจะลุกขึ้น และหยิบเกมเกมขึ้นมาด้วยใบหน้าที่ง่วงนอน เห็นได้ชัดว่าเป็นวันสิ้นโลก แต่เธอยังต้องตื่นตรงเวลาอยู่เสมอ

จากนั้น เธอก็สั่งให้แฟมิเลียทั้งออกไปค้นหาผลไม้สีดำ เสี่ยวอี้จึงเลื้อยออกจากห้องอย่างช้าๆ พร้อมกับลากโก้วจื่อที่ดูเหมือนจะไม่เต็มใจออกไปด้วย

โชคดีที่คำพูดของเธอยังคงมีผล เมื่อหายลับตาเธอไป โก้วจื่อก็เต็มไปด้วยพลัง และเริ่มวิ่งออกจากตึกอย่างรวดเร็วเพื่อทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จ

ส่วนสวี่จื้อ เธอไม่ได้ตั้งใจที่จะนั่งเฉยๆ เธอเปิดดูร่างวิญญาณอีกครั้ง เลือกที่จะควบแน่นด้วยแก่นพลังเหมันต์

[ จำนวนแก่นพลังที่ใช้ : 1 ]

[ ระยะเวลาการดำรงอยู่ของร่างวิญญาณ : 5 นาที ]

“อยู่ได้แค่ห้านาทีเองเหรอ?”

เมื่อรวมความมั่งคั่งทั้งหมดในมือ ร่างวิญญาณของเธอก็จะอยู่ได้นานแค่สิบนาทีเท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมากเลย

แล้วในห้านาที จะทำอะไรได้บ้าง?

สวี่จื้อรู้สึกสับสนเล็กน้อย แต่อย่างที่เธอคาดไว้ก่อนหน้านี้ หลังจากใช้แก่นพลัง ก็ไม่สามารถยกเลิกได้ และในวินาทีต่อมา คำว่า ‘สุ่มสเตตัส’ ก็ปรากฏขึ้นถัดจากร่างของเด็กสาวในเกม

"เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรก โชคของมือใหม่น่าจะมีผล ขอให้ได้สเตตัสดีๆ ด้วยเถอะ!"

สวี่จื้อกุมมือ และเริ่มอธิษฐานอย่างไร้ประโยชน์

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด