บทที่ 8 ดื่มเลือดและฉีกขน
บทที่ 8 ดื่มเลือดและฉีกขน
ซูหยุนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่มืดครึ้ม แล้วเขาก็ไม่พูดอะไรอีก จากนั้นก็ลอยกลับเข้าไปในศิลาศักดิ์สิทธิ์
เมื่อเห็นศิลาศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีแสงสว่างแล้ว ชาวเผ่าโบราณกลับไม่รู้สึกตื่นตระหนก แต่กลับรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย
ความกดดันจากเทพนั้นมากเกินไป
หลังจากรอพักหนึ่ง ชาวเผ่าโบราณจึงลุกขึ้นยืนกันทุกคน
หัวหน้าเผ่าเดินไปข้างเหมา ยื่นมือไปช่วยเขาขึ้น
เขาตบที่ไหล่ของเหมา และกล่าวด้วยความชื่นชมว่า ‘เหมา นายโชคดีจริง ๆ!’
เหมาเกิดความเขินอายและยิ้มออกมาอย่างเก้อเขิน
‘ไปกันเถอะ เรากลับกัน นายต้องระวังตัวหน่อยในช่วงสองสามวันนี้ ระวังอย่าให้ตายก่อนที่เทพจะประทานของศักดิ์สิทธิ์มา’
หัวหน้าเผ่าประคองเขาเดินกลับไปยังที่พัก
ชาวเผ่าโบราณคนอื่น ๆ ก็ตามมาพร้อมกับเสียงพูดคุยที่ไม่ขาดสาย
...
เมื่อกลับมาถึงพื้นที่ศิลาศักดิ์สิทธิ์ ซูหยุนแอบดูการกระทำของชาวชนเผ่าโบราณด้วยความสงสัย
ปุโรหิตเฒ่าทำความเคารพและยกศิลาศักดิ์สิทธิ์ลงจากแท่นบูชา
ในท้องฟ้าที่มืดครึ้ม ไม่นานนัก พวกเขาก็เดินไปถึงถ้ำขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้ ๆ
เมื่อมองไปยังปากถ้ำที่กว้างประมาณสี่เมตรและมืดมิด ซูหยุนรู้สึกกระตุกที่มุมปากเล็กน้อย
‘พวกเขาอยู่ที่นี่งั้นเหรอ? แล้วฉันจะต้องอยู่ที่นี่ด้วยใช่มั้ย?’
เขาไม่รู้จะพูดอะไรดี โชคดีที่เขามีพื้นที่ของตัวเอง ไม่อย่างนั้น...
รีสอร์ตธรรมชาติหรูหรา มีพื้นที่กว้างขวาง ล้อมรอบด้วยพืชสีเขียวสูงใหญ่ อากาศบริสุทธิ์ ให้คุณได้สัมผัสเสน่ห์ของการกลับคืนสู่ธรรมชาติ เพียงแค่ 99...
เมื่อกลับมาถึงถ้ำ หมอเฒ่าถอนหายใจด้วยความโล่งอก เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่มืดสนิท ความรู้สึกกังวลเล็กน้อยแว่บขึ้นในใจอย่างไม่ตั้งใจ
เมื่อได้ลูบศิลาศักดิ์สิทธิ์ในอ้อมอก เขาจึงรู้สึกผ่อนคลายลง
‘คืนนี้ให้คนเฝ้ายามอยู่ที่ปากถ้ำ ส่วนคนอื่น ๆ เข้าไปข้างในให้หมด!’
หัวหน้าเผ่าพูดด้วยสีหน้าจริงจังกับคนกว่าสามร้อยคน
‘เข้าใจแล้ว หัวหน้า’"
ทุกคนตอบรับพร้อมเพรียงกัน
ชายสิบคนที่แข็งแรงก้าวออกมาจากกลุ่ม ส่วนคนอื่น ๆ ทยอยเดินเข้าไปในถ้ำ
‘มืดขนาดนี้ พวกเขายังมองเห็นได้อีก’
ซูหยุนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เมื่อเขาจ้องไปที่ดวงตาของชาวชนเผ่าโบราณซึ่งสะท้อนแสงริบหรี่ ใบหน้าของเขาก็มีท่าทีครุ่นคิด
ชายสิบคนเดินไปยังมุมถ้ำ ค้นหาและหยิบหอกหินสิบเล่มที่ผูกด้วยเชือกฟาง จากนั้นแต่ละคนก็เลือกตำแหน่งที่ปากถ้ำ ดูเชี่ยวชาญในการเคลื่อนไหว
ปุโรหิตเฒ่าที่ถือศิลาศักดิ์สิทธิ์ค่อย ๆ เดินเข้าไปในถ้ำ
ด้านในถ้ำไม่เพียงกว้าง แต่ยังลึกน่าทึ่ง ยิ่งเดินลึกเข้าไปยิ่งกว้างขึ้น
จนกระทั่งมาถึงพื้นที่คล้ายลานกว้าง คนทั้งหมดจึงหยุดเดิน
ที่ใจกลางลานนั้น มีแท่นบูชาอีกแห่งตั้งอยู่
ปุโรหิตเฒ่าเดินไปที่แท่นบูชาอย่างเคารพนอบน้อม และวางศิลาศักดิ์สิทธิ์ไว้บนแท่น
ส่วนคนอื่น ๆ ต่างก็กลับไปยังพื้นที่ของตน
ระหว่างนี้เพราะจำนวนคนมาก จึงทำให้เกิดความแออัดเล็กน้อย
ชาวเผ่าโบราณที่ผมยุ่งเหยิงและตัวเปื้อนคราบดำอัดกันแน่น ซูหยุนไม่จำเป็นต้องได้กลิ่นก็รู้ว่าบรรยากาศในถ้ำนี้ไม่น่ารื่นรมย์เท่าไร
เขารู้สึกโล่งใจที่ตัวเองไม่ได้มาในร่างจริง
หัวหน้าเผ่าเดินมาข้าง ๆ เหมา วางก้อนเนื้อที่ไม่ทราบว่ามาจากสัตว์ชนิดใดและถ้วยหินเล็ก ๆ ไว้ตรงหน้า
เขากล่าวด้วยเสียงทุ้มแหบว่า ‘เอ้า กินหน่อย กินเยอะ ๆ ถึงจะอยู่รอด’
เหมากล่าวขอบคุณ ยื่นมือไปรับเนื้อก้อนนั้นและถ้วยเล็ก ๆ
เนื้อสีแดงเข้มที่มีขนสีน้ำตาลติดอยู่ถูกเขายกขึ้นมากัดโดยไม่ลังเล
เมื่อกัดลงไป เลือดบางส่วนไหลออกมาย้อมริมฝีปากหนาเป็นสีแดง
เมื่อกลืนเนื้อที่มีขนติดลงไป เหมาก็หยิบถ้วยหินที่ทำอย่างหยาบ ๆ ขึ้นมา ของเหลวในถ้วยนั้นสะท้อนแสงแดงจาง ๆ
เขากลืนน้ำลาย อึก ๆ กล้ามเนื้อที่คอขยับ ของเหลวถูกเขาดื่มจนหมด
ของเหลวสีแดงไหลจากมุมปากของเขาลงมาถึงคาง
‘พักผ่อนให้เต็มที่เถอะ’ หัวหน้าเผ่ารับถ้วยกลับมาและกล่าวเตือน ก่อนจะจากไป
ซูหยุนจ้องมองอาหารของคนเผ่าโบราณเหล่านี้อย่างนิ่งงัน รู้สึกคลื่นไส้เล็กน้อย
เขานึกถึงคำพูดหนึ่งขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ
‘ยังไม่มีไฟใช้ กินพืชและสัตว์สด ๆ ดื่มเลือด เคี้ยวขน ยังไม่มีเส้นใยทอ จึงสวมหนังและขนนก’
‘คนพวกนี้ยังไม่มีไฟใช้’ ซูหยุนพึมพำกับตัวเองและครุ่นคิด
เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าคนเผ่าโบราณเหล่านี้จะล้าหลังกว่าที่คาดไว้เสียอีก
‘บางทีฉันอาจสอนพวกเขาเรื่องการใช้ไม้เสียดไฟเพื่อเร่งให้พวกเขาพัฒนาขึ้นได้บ้าง?’
ซูหยุนตัดสินใจในใจว่าจะสอนพวกเขาเรื่องการจุดไฟด้วยการเสียดไม้ให้พรุ่งนี้!
วิถีชีวิตของคนพวกนี้ช่างทำให้เขาทนดูไม่ได้
ในเมื่อเขาตัดสินใจจะเป็นเทพแห่งแสงสว่างของชนเผ่านี้ คนเหล่านี้ก็ถือว่าเป็นประชาชนของเขาแล้ว การช่วยพวกเขาปรับปรุงชีวิตและเสริมสร้างความแข็งแกร่งก็ย่อมเป็นประโยชน์ต่อเขาเช่นกัน
เมื่อคิดเสร็จ เขาก็ปิดตาลงและเข้าสู่ภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น
ไม่นานนัก ซูหยุนก็ถูกเสียงแปลก ๆ ปลุกขึ้นมา
‘เสียงอะไรกัน…’
ซูหยุนหันมองไปยังทิศทางที่เกิดเสียงอย่างแปลกใจ แล้วเสียงเขาก็ขาดหาย
‘บ้าเอ้ย…’
คำอุทานหลุดออกมาโดยไม่ตั้งใจ เขารู้สึกว่าดวงตาเทพ 24 กะรัตของเขากำลังถูกทำลายด้วยสิ่งที่ไม่อาจบรรยายได้!
‘พวกเจ้าก็รู้ว่าเทพของพวกเจ้าอยู่ตรงนี้นะ แต่ยังกล้าทำแบบนี้…’
ซูหยุนยิ้มกระตุก ปิดตาลงอย่างรวดเร็ว และพึมพำว่า ‘อย่ามองสิ่งที่ไม่ควรมอง อย่าฟังสิ่งที่ไม่ควรฟัง มะลิ มะลิ ฮง… ลินปิงโต้เจ่อเจี๋ยเจิ้นเลี่ยเฉียนสิง…’
พึมพำคาถาต่าง ๆ ในปาก เขาถึงค่อย ๆ ปิดกั้นเสียงเหล่านั้นออกไปได้
...
ยามค่ำคืนมืดสนิท
กลุ่มเมฆบดบังแสงจันทร์ ทำให้ความมืดปกคลุมทั่วทั้งพื้นดิน
เวลานับตั้งแต่กลับเข้ามาในถ้ำ ผ่านมาแล้วกว่า 4 ชั่วโมง
คนเฝ้าระวังสิบคนต่างอดทนกลั้นหาว ฝืนใจให้ตื่นตัว ขณะจับตามองนอกปากถ้ำด้วยความระแวดระวัง
'หลี่ คิดว่าคืนนี้เจ้าสัตว์ร้ายนั่นจะมาอีกไหม?'
ฉี ชายร่างกำยำวัย 27-28ปี ซึ่งมีใบหน้าซื่อ ๆ เอ่ยถามคนข้าง ๆ
'ไม่รู้สิ'
หลี่ส่ายหน้าอย่างซื่อ ๆ
เมื่อได้ยินการสนทนานี้ ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งที่ยืนอยู่ก็หัวเราะออกมา
"ผมเดาว่ามันคงไม่กล้ากลับมาแล้ว!"
"โอ้ ทำไมหรอ?" ฉีถามอย่างสงสัย
"นายโง่จริง ๆ" ซื่อโถวแลบลิ้นออกมา หยอกฉีเล็กน้อย ก่อนอธิบายว่า "ในเขตที่มีศิลาศักดิ์สิทธิ์อยู่ มักจะไม่มีสัตว์ร้ายกล้าเข้ามา ยกเว้นบางครั้งที่มีข้อยกเว้น ซึ่งมันก็เกิดขึ้นเมื่อก่อนเท่านั้น"
"ตอนนี้ท่านเทพได้ปรากฏตัวแล้ว เจ้าสัตว์ร้ายจะต้องเกรงกลัวท่านเทพแน่ มันจะกล้ามาได้ยังไง?"
ซื่อโถวพูดพร้อมกับยิ้มเยาะมองฉี ใบหน้าเต็มไปด้วยความภูมิใจ "ถ้ามันไม่มา ก็ถือว่าดีไป แต่ถ้ามันกล้าโผล่มา เราจะได้เห็นว่าท่านเทพจะจัดการมันยังไง!"
"โอ้" ฉีรับคำอย่างเข้าใจ
คนอื่น ๆ อีกเจ็ดคนฟังการสนทนาแล้วแสดงความสนใจ รีบเข้ามาร่วมวงสนทนา คุยกันอย่างสนุกสนาน
"แปะ!"
ทันใดนั้น ก็มีเสียงแปลก ๆ ดังขึ้น
"มีบางอย่างผิดปกติ!" หลี่ซึ่งเป็นคนที่ตอบสนองคนแรก
ทุกคนใจหายวาบ มือกำหอกหินแน่น จ้องมองไปนอกปากถ้ำอย่างไม่ละสายตา
"แปะ...แปะ..."
สัตว์ตัวเล็กขนปุกปุยตัวหนึ่งกระโดดออกมาจากที่ไกล ๆ แล้วปรากฏตัวอยู่หน้าปากถ้ำ
พอทุกคนเห็น ก็อดถอนหายใจโล่งอกไม่ได้
(จบตอนที่ 8)