บทที่ 4 ร่างกายค่อยๆ กลายเป็นเทพ
บทที่ 4 ร่างกายค่อยๆ กลายเป็นเทพ
เมื่อจ้องมองไปที่ ‘แก่นเทพ’ ที่ย้อมเป็นสีแดงเข้มครึ่งหนึ่ง เขาก็เริ่มครุ่นคิด
“หรือว่าสีนี้แสดงถึงระดับพลังเทพ? ถ้าเป็นแบบนี้ แล้วเราจะพัฒนาระดับพลังของเราได้อย่างไร?”
“หรือเป็นเพราะแรงศรัทธา?”
ซูหยุนคาดเดาว่าคงต้องรอจนกว่าสีแดงเข้มจะปกคลุมแก่นเทพทั้งหมด เขาถึงจะสามารถพัฒนาพลังเทพของเขาให้คงที่โดยไม่รู้สึกแปลก หรือรู้สึกไม่สบายในขณะที่อยู่ในร่างเทพ
และแรงศรัทธาก็เป็นสิ่งที่เขาคาดว่าน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเพิ่มพลัง เพราะพลังเทพในร่างกายของเขาล้วนแล้วแต่เกิดจากแรงศรัทธาที่ถูกส่งผ่านเส้นเหล่านั้น
ถ้าจำนวนผู้ศรัทธาเพิ่มขึ้น เขาเชื่อว่าพลังของเขาน่าจะเพิ่มขึ้นด้วย!
ซูหยุนลองสัมผัสกับความรู้สึกของการลอยตัวอยู่สักพัก จากนั้นก็ค่อยๆ ลอยกลับไปยังร่างกายของเขาด้วยความรู้สึกเสียดายเล็กน้อย
ร่างเทพของเขาค่อยๆ หลอมรวมเข้ากับร่างกาย แสงสีขาวจางหายไปทีละนิด ห้องทั้งหมดกลับคืนสู่สภาพปกติ
ซูหยุนลืมตาแล้วขยับร่างกายเล็กน้อย จากนั้นเขาก็สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ
'ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง?'
ครั้งนี้ เมื่อกลับมาอีกครั้ง เขารับรู้ถึงบางสิ่งที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
เขารู้สึกว่าร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงที่บอกไม่ถูก เหมือนว่ามันได้รับอิทธิพลจากร่างเทพและกำลังค่อยๆ เปลี่ยนไป
พลังงานอันอ่อนโยนถูกส่งจากร่างเทพไปยังเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายของเขา ราวกับเป็นยาบำรุงที่ไร้ผลข้างเคียงซึ่งเสริมสร้างร่างกายอยู่ตลอดเวลา
ซูหยุนรู้สึกว่าร่างกายของเขากำลังถูกพลังแห่งเทพกระจายไปทั่วร่างอย่างช้าๆ ซึ่งกำลังเปลี่ยนให้ร่างกายของเขาเข้าใกล้ร่างเทพเข้าไปเรื่อยๆ และอีกไม่นานร่างมนุษย์ของเขาอาจจะกลายเป็นรูปลักษณ์เดียวกับร่างเทพ
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาก็รีบวิ่งไปที่ห้องน้ำ มองเงาของตัวเองในกระจก
ในกระจก ชายหนุ่มผมดำยาวพอประมาณ ใบหน้าสะอาดสดใส ดูดีแบบเรียบๆ ไม่ใช่ประเภทที่จะทำใครหันมาสนใจเขาได้
เรียกได้ว่า หน้าตาธรรมดาไม่มีอะไรโดดเด่น
'ผิวขาวขึ้นนิดหน่อย แถมดูดีขึ้นนิดนึง?'
ซูหยุนสำรวจใบหน้าของตัวเองซ้ายขวา แล้วก็สังเกตได้ว่าผิวที่เคยค่อนไปทางเหลืองตอนนี้ขาวขึ้นหน่อยๆ รูปหน้าก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปบ้าง
เขารู้ว่านี่ไม่ใช่ภาพลวงตา แต่เป็นผลมาจากพลังเทพ
เขากำลังดูดีขึ้นเรื่อยๆ! ใบหน้า ผิว และทุกส่วนของร่างกายจะค่อยๆ กลายเป็นรูปลักษณ์สมบูรณ์แบบเหมือนกับร่างเทพ
'เทคนิคศัลยกรรมเกาหลีเทียบกับนี่แล้วสู้ไม่ได้เลย!' ซูหยุนอดที่จะบ่นเบาๆ ไม่ได้
ถึงแม้เขาจะยังไม่เห็นรูปลักษณ์ของร่างเทพ แต่ก็รู้ว่ามันต้องหล่อแบบน่าทึ่งระดับสุดยอดแน่นอน
เป็นประเภทที่ทำให้คนเห็นแล้วละสายตาไม่ได้ เดินบนถนนคงเกิดอุบัติเหตุเพราะทำให้ทุกคนต้องหยุดยืนมอง ถ่ายรูปหรือถึงกับกลืนน้ำลาย พูดได้ว่าไม่ว่าจะหญิงหรือชายก็ต้องตะลึง!
พอคิดถึงเรื่องนี้ ซูหยุนก็ขนลุกไปทั้งตัว สายตาเริ่มมีความกังวลปนหวั่นๆ ขึ้นมา
ถ้าวันหนึ่งเขากลายเป็นคนที่มีลักษณะแบบนั้นจริงๆ ก็คงไม่ต้องคิดว่าจะพัฒนาไปอย่างเงียบๆได้เลย
ไม่ต้องคิดถึงว่าคงจะถูกตามเวลาออกจากบ้าน บางทีอาจมีพวกคลั่งที่อยากครอบครองตลอดไป บุกเข้าบ้านเพื่อจบชีวิตไปด้วยกันก็เป็นได้! ฟังดูอาจไม่น่าเชื่อ แต่บนโลกนี้มีคนทุกแบบ และโอกาสนี้ก็มีอยู่จริง
ขนาดดาราในโลกความจริงยังเจอเรื่องแบบนี้ เขาที่หน้าตาเหนือกว่าดาราและไม่มีทางเกิดจากธรรมชาติ จะยิ่งต้องโดนขนาดไหน
‘ยังดีที่การเปลี่ยนแปลงแบบนี้คงใช้เวลาอีกพักใหญ่ ไว้ค่อยหาทางอีกทีแล้วกัน’
ซูหยุนเกาศีรษะ พูดด้วยท่าทีลำบากใจ
‘แต่ตอนนี้ สิ่งที่น่าจะเปลี่ยนไปมากที่สุดก็คงเป็นเรื่องบุคลิกภาพล่ะนะ?’
บุคลิกภาพอาจพูดได้ซับซ้อน แต่มันก็มีอยู่จริง
คนธรรมดาและขุนนาง ต่อให้ใส่เสื้อผ้าเหมือนกัน แต่ความมั่นใจและกริยาท่าทางของทั้งสองคนก็ดูต่างกัน
ซูหยุนพบว่าบุคลิกของเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แม้หน้าตายังไม่เปลี่ยนมากนัก แต่ความรู้สึกที่ส่งให้ผู้อื่นกลับต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
เขายืนจ้องกระจกใสอย่างเหม่อลอย
ในกระจก แม้เขาจะยืนนิ่งอยู่เฉยๆ ก็กลับให้ความรู้สึกเย็นชาและสูงส่ง มีความศักดิ์สิทธิ์และลึกลับอยู่ในแววตา
ภาพรวมแล้วดูคล้ายบาทหลวง แต่ก็ยิ่งใหญ่กว่านั้นไม่รู้กี่ระดับ
บางทีบุคลิกที่ผู้คนจินตนาการถึงบุตรแห่งพระเจ้าอาจใกล้เคียงกับเขาในตอนนี้?
แต่ไม่ใช่เสียทีเดียว บุคลิกของบุตรแห่งพระเจ้าคงอบอุ่นน่าเข้าใกล้ ขณะที่เขาตอนนี้มีความเย็นชาสูงส่งเหมือนไม่ใช่มนุษย์ คล้ายเทพเจ้าเพียงหนึ่งเดียวที่ทำตามใจตัวเอง
ซูหยุนส่ายหน้า ไม่อยากคิดอะไรไปมากกว่านี้ ตอนนี้ยังมีเรื่องสำคัญให้เคลียร์ โดยเฉพาะเจ้าลูกบอลสีดำอันนั้น
เขาสังเกตว่าลูกบอลสีดำยังคงอยู่ในพื้นที่เทพของเขา
เมื่อกลับมานั่งที่เตียงในห้อง ซูหยุนจึงส่งจิตสำนึกของเขาเข้าไปในพื้นที่เทพและมองลูกบอลสีดำพลางครุ่นคิดว่า
"ความลับที่ทำให้ข้ามมิติต้องเป็นเพราะลูกบอลนี้แน่ แต่มันมาจากไหนกันแน่?"
เขาคิดอยู่พักใหญ่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ ซูหยุนจึงต้องวางประเด็นนี้ไว้ก่อน
"ถ้ามันสามารถพาข้ากลับมาได้ ก็ต้องพาข้ากลับไปได้อีกใช่ไหม?"
เขาจ้องมองลูกบอลดำอย่างลังเล และหลังจากครุ่นคิดชั่วครู่ก็ตัดสินใจแน่วแน่
"ต้องลองดู!"
ซูหยุนค่อยๆ ขยับจิตสำนึกเข้าหาลูกบอลสีดำอย่างระมัดระวัง
ทันทีที่สัมผัสถึงมัน
ลูกบอลสีดำก็เกิดความเปลี่ยนแปลงในทันที!
เกิดเป็นวังวนเล็กๆ รอบๆ ลูกบอล และทุกสิ่งรอบตัวถูกดึงเข้าสู่วังวนดำอย่างรวดเร็ว
แต่เมื่อเทียบกับครั้งก่อน ครั้งนี้ซูหยุนรู้สึกว่ามีสายสัมพันธ์บางๆกับลูกบอลดำ เขาดูเหมือนจะสามารถควบคุมมันได้
เขาสั่งในความคิดว่า "หยุด!"
สิ่งต่างๆ ที่ถูกดึงเข้าไปเมื่อครู่ถูกปล่อยออกมา พื้นที่กลับคืนสู่สภาพปกติ ลูกบอลดำหดเหลือขนาดเท่านิ้วโป้งและลอยนิ่งๆ ไม่เคลื่อนไหวอีก
เห็นดังนั้น รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นที่มุมปากของซูหยุน
แม้ว่ามันจะลึกลับมาก แต่เขาก็สามารถควบคุมมันได้บ้าง ซึ่งทำให้เขารู้สึกโล่งใจเล็กน้อย
“ไม่รู้ว่าพวกคนชนเผ่าโบราณจะเป็นยังไงบ้างนะ ตอนนี้แหละดีเลยที่จะลองกลับไปดูสักหน่อย”
พอนึกถึงพวกคนชนเผ่าโบราณที่บูชาเขาเป็นเทพ เขาก็อดรู้สึกเอ็นดูขึ้นมาไม่ได้
เขาลืมตาขึ้น ซูหยุนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา
23:12 น.
เวลาที่ผ่านไปตั้งแต่เขานอนหลับจนถึงการข้ามมิติและกลับมานั้นรวมแล้วก็แค่สามชั่วโมงกว่าเท่านั้น
ไม่รู้ว่าเวลาทั้งสองด้านจะต่างกันหรือเปล่า แต่เรื่องนี้คงต้องรอให้เขาข้ามมิติอีกครั้งถึงจะรู้ได้
หลังจากบันทึกเวลาไว้แล้ว เขาก็นอนลง และนำจิตไปสัมผัสกับลูกบอลดำ
วังวนสีดำเริ่มขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่มันกำลังจะกลืนกินร่างเทพของซูหยุนจนหมด จู่ๆ ก็มีความรู้สึกหนึ่งเกิดขึ้นในใจของเขา
หากเขาต้องการ เขาสามารถนำร่างกายจริงไปด้วยได้หนิ!
คิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ละทิ้งความคิดนั้นไว้ก่อน
เพราะปัจจัยที่ไม่ชัดเจนยังมีอยู่มาก ถึงแม้ในอนาคตอาจต้องทำเช่นนี้ แต่ตอนนี้ยังไม่เหมาะที่จะพาร่างกายจริงข้ามมิติไปด้วย
วังวนสีดำกลืนกินร่างเทพจนหมดสิ้น จากนั้นวังวนสีดำจึงหดตัวลงอย่างรวดเร็วและเลือนหายไป
ในห้องกลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง เหลือเพียงเสียงลมหายใจของชายหนุ่ม
(จบตอนที่ 4)