บทที่ 386: ครอบงำ (15)
【แปลโดยฝีมือ...ยักษาแปร...มาติดตามได้ที่แฟนเพจหรือเพื่อติดตามเอาข่าวสารได้นะ】
【แค่ คอมเมนต์ ก็เหมือนการให้กำลังใจแล้วนะครับ รบกวน comment กันหน่อยน๊า ;-;】
【Thai-novelจะทำการลงไวกว่าที่อื่นทุกที่ เป็นจำนวน 5 ตอน แต่เรื่องราคาแพงกว่าที่อื่นนิดหน่อย】
บทที่ 386: ครอบงำ (15)
ทัศนียภาพที่ปิเอโรต์หรือเฮนรี่ กอร์ดอน หรือคังวูจินมองเห็นแปรเปลี่ยนไป จากภายในรถบัสโทรม ๆ ที่ปิเอโรต์กำลังอาละวาดอย่างบ้าคลั่ง กลายเป็นภาพความพลุกพล่านของนิวยอร์กยามกลางวัน ฉากอดีตของเขาปรากฏขึ้น วูจินกำลังเดินอยู่บนทางเท้า แต่ก้าวเดินอย่างเชื่องช้าไร้เรี่ยวแรง
แทบจะเรียกว่าลากขาเดินเลยทีเดียว
ร่องรอยแห่งความบ้าคลั่งที่เขาแสดงออกในรถบัสอันทรุดโทรมเลือนหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น ทั้งกิริยาและสีหน้าของเฮนรี่ กอร์ดอนในตอนนี้ หรือจะเรียกว่าวูจินก็ได้ ดูอ่อนล้าราวกับผ้าขี้ริ้วเปียกน้ำ ร่างกายหนักอึ้งราวกับแบกโลกไว้ทั้งใบ จิตใจหม่นหมองราวกับจมอยู่ในห้วงโคลนตม พลังงานในกายมลายหายไปจนหมดสิ้น
“เฮ้อ...”
คังวูจินถอนหายใจแผ่วเบา ขณะก้าวเดินไปตามถนน ผู้คนมากหน้าหลายตาที่เดินผ่านไปมาต่างมองเขาด้วยสายตาแปลกประหลาด ทุกคนล้วนสวมใส่ชุดสูทเนี้ยบหรูหรือเสื้อผ้าที่สะอาดสะอ้าน คังวูจินรับรู้ถึงสายตาเหล่านั้น แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจนัก
เสียงประตูเลื่อนเปิดอัตโนมัติ
วูจินหยุดยืนอยู่หน้าร้านมาร์ทแห่งหนึ่ง เขามองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกใส เสื้อฮู้ดซิปขาดวิ่น กางเกงยีนส์ซีดจาง รองเท้าพื้นสึกจนแทบมองไม่เห็นรูปทรง ผมยาวรุงรังปกคลุมใบหน้าซีดเซียว หลังกับไหล่ค้อมลงเล็กน้อย ร่างกายผอมแห้งไร้เรี่ยวแรง
นี่คือสภาพของเขาในเวลานี้
ไม่นานนัก ประตูร้านมาร์ทก็เปิดออก ชายร่างท้วมเจ้าของร้านเดินออกมา ศีรษะล้านเลี่ยนแต่มีหนวดเคราเฟิ้มปกคลุมใบหน้า ทันทีที่เห็นวูจินยืนนิ่งอยู่หน้าร้าน แววตาของเขาก็ฉายแววเคลือบแคลงสงสัย ก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น
“อะไร?”
วูจินสะดุ้งเล็กน้อย ไหล่ที่ค้อมอยู่แล้วยิ่งห่อลงไปอีก
“เอ่อ... เปล่าครับ ผม...”
“ช่างเถอะ ไปไหนก็ไป”
“เข้าใจผิด-”
“ไสหัวไปได้แล้ว!”
เสียงตะโกนกราดเกรี้ยวของเจ้าของร้านร่างอ้วนดังลั่น ทำให้ผู้คนที่เดินผ่านไปมาหันมามองเป็นตาเดียว วูจินลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะรีบสาวเท้าออกไป เมื่อหันกลับไปมอง ก็เห็นเจ้าของร้านอ้วนยังคงจ้องมองคังวูจินอยู่ไม่วางตา
'ถูกดูแคลนอีกแล้ว'
ความรู้สึกแย่แล่นริ้วผ่านหัวใจ คังวูจินพยายามเมินเฉยต่อความรู้สึกนั้นขณะเดินต่อไป เพราะมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจนชินชา
“ไม่เป็นไรหรอก แค่ฉันลืมมันไปก็พอ”
ทันใดนั้น ความรู้สึกที่แท้จริงของวูจินก็ก่อตัวขึ้นในใจ ทุกสิ่งรอบตัวดูเลือนราง ไร้ความหมาย ทั้งโลกที่เขามองเห็น สรรพสิ่งที่ดำรงอยู่ในโลกใบนี้ รวมถึงชายร่างอ้วนที่อยู่ข้างหลังนั่นด้วย
'ไร้ค่า'
คังวูจินก้าวเท้าเดินอย่างเชื่องช้า ความรู้สึก จุดแข็ง จุดอ่อน และความในใจของเขา ไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบเลยสักอย่าง ณ วินาทีนั้น วูจินรู้สึกถึงความสูญเสียอย่างประหลาด มันไม่ร้อน ไม่หนาว ไม่ใช่โศกนาฏกรรม ไม่ใช่เรื่องตลก มันเป็นเพียงความว่างเปล่าและไร้ค่า
วูจินเดินเข้าไปในตรอกแคบ
ร้านพิซซ่าเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าคือที่ทำงานของเขา วูจินยืนมองร้านพิซซ่าด้วยหลังที่โค้งงออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วผลักประตูเข้าไป
ในขณะเดียวกัน
“นี่แก!!”
เสียงตวาดดังมาจากในครัวของร้านพิซซ่า ชายร่างใหญ่ที่สวมผ้ากันเปื้อนเปรอะเปื้อนแป้งตะคอกใส่ทันทีที่เห็นวูจิน เขาคือเจ้าของร้านพิซซ่า
“ฉันได้รับโทรศัพท์จากลูกค้า!! บอกว่าแกมาสายตั้ง 7 นาที?? ทำงานแบบนี้ได้ยังไง!!”
“ขอ... ขอโทษครับ!”
วูจินรีบขอโทษด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ แต่เจ้าของร้านพิซซ่าดูเหมือนจะไม่ยอมให้อภัยง่าย ๆ เขายืนหอบหายใจอยู่ตรงหน้าคังวูจิน
“แล้วค่าพิซซ่าล่ะ?”
“ยัง... ยังไม่ได้รับครับ”
“บ้าเอ๊ย”
“เอ่อ...คือ...ลูกค้าที่สั่งบอกที่อยู่ผิดครับ”
“อะไรนะ? จะโทษลูกค้ารึไง? นี่คิดว่าทำดีแล้วงั้นสิ?”
“ไม่ครับ ขอโทษครับ”
เจ้าของร้านพิซซ่าจ้องวูจินตาเขียวปัด ดวงตาแข็งกร้าวราวกับพยัคฆ์ที่จ้องเหยื่อ กัดฟันกรอดจนขมับกระตุก
“ไอ้เด็กเวร! นึกสงสารเลยให้ทำงาน สงสัยฉันคงเสียสติไปแล้ว พอแล้ว! ออกไป!”
“ครับ?” วูจินถามเสียงแผ่วเบา
“ออกไป!” เสียงตวาดดังก้องร้าน
“อยู่ ๆ จะไล่ผมแบบนี้มัน…!” วูจินโพล่งออกไปอย่างลืมตัว
“ไสหัวไป!!”
คำพูดหยาบคายราวกับคมมีดพุ่งแทงเข้ากลางอกวูจิน เขาอดกลั้นความเจ็บปวดไว้ แม้ไหล่จะตกทรุดราวกับแบกโลกทั้งใบเอาไว้ แต่ก็ยังคงพยายามรวบรวมกำลังทั้งหมดที่มี อ้อนวอนเจ้าของร้านเสียงสั่นเครือ
“ขอ...ขอ...ขอโทษครับ! ผมจะตั้งใจทำงาน จะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก!”
“จะไปดี ๆ หรือจะรอให้กระดูกแหลกก่อนแล้วค่อยไป?” เจ้าของร้านขู่เสียงเย็นเยียบ
“······”
ประกายแห่งความหวังริบหรี่ดับวูบลง ร้านพิซซ่าแห่งนี้คือที่พึ่งสุดท้ายของวูจิน เขาก้มหน้า ร่างกายหดเล็กราวกับแมวน้อยที่หวาดกลัว ก่อนจะเอ่ยปากอย่างยากลำบาก
“...งั้นขอเงินที่ผมทำงานมา...”
-เพี๊ยะ!
ธนบัตรยับยู่ยี่และเหรียญไม่กี่เหรียญถูกปาใส่หน้าวูจินอย่างไม่ใยดี แน่นอนว่าจำนวนเงินนั้นน้อยนิดกว่าที่ควรจะได้รับ
“หักค่าเสียหายที่แกทำไว้ กับเงินที่ไม่ได้วันนี้ไปแล้ว! ไสหัวไปซะ!”
วูจินมองเงินที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น เสียงกระซิบจากส่วนลึกของหัวใจบอกให้เขาอย่าเก็บมัน ศักดิ์ศรีที่น้อยนิดดิ่งลงสู่หุบเหวแห่งความอัปยศ แต่ความหิวโหยและความจริงที่โหดร้ายก็กระแทกเข้าใส่หน้าเขาอย่างจังว่าศักดิ์ศรีหรือความภาคภูมิใจมันซื้อข้าวกินไม่ได้ ในที่สุด เขาก็ยอมแพ้ต่อความจำเป็น มือสั่นเทายื่นลงไปเก็บเงินที่ตกหล่น ความรู้สึกขุ่นเคืองปะทุขึ้นในอกในวินาทีแรก แต่เมื่อหยิบธนบัตรขึ้นมาได้ ความว่างเปล่าก็เข้ามาแทนที่ทุกสิ่ง
‘ใช่แล้ว แบบนี้แหละถูกต้อง’
วูจินกัดฟันอดทน เขายอมรับการถูกกดขี่ที่แสนเงียบงันนี้เหมือนเช่นทุกครั้ง หลังจากเก็บเงินได้ครบ วูจินก็เดินออกจากร้านพิซซ่า เสียงถ่มน้ำลายลงพื้นดัง "ถุ้ย!" ตามหลังมาจากเจ้าของร้าน แต่เขาแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน
คังวูจินเดินต่อไป
ไม่กี่ก้าว เขาก็เห็นร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีทีวีหลายเครื่องแขวนโชว์อยู่ บนหน้าจอ ผู้หญิงในชุดสูทคนหนึ่งกำลังพูดอยู่
-[ “ควบคุมอารมณ์ของคุณ การระเบิดอารมณ์อย่างไร้เหตุผลเป็นอาการป่วย คุณต้องได้รับการรักษา เพราะความโกรธเป็นบ่อเกิดของปัญหาต่าง ๆ” ]
ผู้หญิงในชุดสูทดูสง่างามราวกับผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา คำพูดของเธอดังก้องในหูวูจินราวกับกำลังพูดกับ ‘เฮนรี่ กอร์ดอน’ โดยตรง วูจินที่เต็มไปด้วยความรู้สึกสูญเสียเดินพลางพึมพำกับตัวเอง
“ใช่ ถ้าฉันโกรธ ฉันคงไม่ได้เงิน”
ทันใดนั้น สายฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมา ผู้คนบนถนนที่ไม่มีร่มต่างวิ่งหาที่กำบัง แต่วูจิน
“······”
เพียงแค่สวมฮู้ดเสื้อที่ขาดวิ่นขึ้นมาคลุมศีรษะ ขณะที่เขายืนอยู่ตรงทางม้าลาย รถบัสคันหนึ่งก็แล่นมาจอดสนิท เด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่งมองออกมาจากหน้าต่าง เธอยิ้มอย่างสดใส วูจินพยายามฝืนยิ้มตอบ แต่ก็อยู่ได้ไม่นาน เพราะแม่ของเด็กใช้มือปิดตาเธอไว้ รอยยิ้มบนใบหน้าของวูจินก็จางหายไปในทันที
เพราะเขาคุ้นชินกับอคติที่มากเกินไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า
คำต่าง ๆ พรั่งพรูเข้ามาในหัวของเขา อดทน ทนไหว ไม่สนใจ ปล่อยผ่าน หลับตา ข่มความโกรธเอาไว้
“ต้อง······หางานทำ”
น้องสาวที่ป่วยทางจิตกำลังรอเขาอยู่ที่บ้าน เขาไม่มีเวลาพักผ่อน ความรู้สึกอึดอัดก่อตัวขึ้นในอก
สายฝนเริ่มตกหนักขึ้น เสียงฝนกระทบพื้นดัง
-ซ่า!
คังวูจินหยิบหนังสือพิมพ์จากถังขยะตรงหน้าขึ้นมา เขาชะงักไปขณะกำลังจะใช้มันบังศีรษะ เพราะพาดหัวข่าวหน้าหนึ่งที่ปรากฏแก่สายตา
『โจรปล้นธนาคารที่หายตัวไปอย่างลึกลับ ถูกพบในสภาพหมดสติอยู่หน้าสถานีตำรวจ! ฮีโร่ปริศนาคือใคร? 』
‘ฮีโร่ปริศนา’ ช่วงนี้ข่าวทำนองนี้ช่างแพร่สะพัดเสียจริง วูจินพ่นลมหายใจอย่างระอา ก่อนจะโยนหนังสือพิมพ์กลับลงถังขยะอย่างไม่ใยดี
ฮีโร่...ฟังดูช่างสูงส่ง แต่ฮีโร่คงอยู่ได้ก็ต่อเมื่อมีวายร้ายคอยเป็นคู่ปรับไม่ใช่เหรอ?
ลองคิดดูสิ วันนี้เขาพบเจอกับวายร้ายมากี่คนแล้ว? แต่กลับไม่สามารถจัดการใครได้เลยแม้แต่คนเดียว เหตุใดกันนะ? วูจินเดินทางกลับถึงบ้าน ห้องแคบ ๆ กับห้องน้ำเล็ก ๆ คือทั้งหมดที่เขามี น้องสาวตัวน้อยกำลังหลับใหลอยู่ในห้วงนิทราบนเตียงโทรม ๆ วูจินห่มผ้าให้เธออย่างแผ่วเบา ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำ เขามองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจก
“······”
รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้า แต่ภายในอกกลับร้อนรุ่มราวกับมีเปลวเพลิงกำลังลุกโชน ความโกรธแล่นริ้วขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มนั้น ตรงกันข้ามกับความรู้สึกที่กำลังเดือดดาลอยู่ภายใน ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดเลยสักนิด แล้วทำไม? ทำไมต้องเป็นฉัน? ความอ่อนโยนที่เขาแสดงออกต่อโลกภายนอกตลอดทั้งวัน ก็เป็นเพียงแค่เกราะกำบังหัวใจที่บอบช้ำเท่านั้น
วูจินกำหมัดแน่น
ความโกรธเกือบจะปะทุออกมา เขาเกือบจะระเบิดอารมณ์ทุบกระจกด้วยหมัด แต่ก็ยังสะกดกลั้นเอาไว้ได้ แทนที่เขาจะทำเช่นนั้น
-ปั๊ก!
เขากลับขว้างก้อนสบู่ลงพื้น มันเกินขีดจำกัดที่เขาจะทนได้แล้ว
หลายวันต่อมา
วิสัยทัศน์ของคังวูจินเปลี่ยนไปอีกครั้ง บัดนี้เขากำลังถือป้ายโฆษณาของซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ กระโดดโลดเต้นอยู่หน้าทางเข้าลานจอดรถ เขาได้งานใหม่แล้ว
แต่รูปลักษณ์และการแต่งกายของเขานั้นช่างพิลึกพิลั่น
ผมสีแดงจาง ๆ ใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีขาว ดวงตาทั้งสองข้างถูกวาดเป็นรูปสี่เหลี่ยมแหลมทาสีแดง ริมฝีปากหนาถูกแต่งแต้มให้คล้ายรอยยิ้มกว้าง เสื้อผ้าก็เป็นชุดตัวตลกสีสันฉูดฉาด
ส่วนป้ายโฆษณาก็กำลังถูกเขย่าไหวโดยปิเอโรต์ หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ ‘ตัวตลก’
ขณะที่เขากำลังเขย่าอยู่นั้น เสียงชายคุ้นหูก็ดังแว่วมาจากด้านหลัง
“เฮ้ เฮนรี่”
ปิเอโรต์ หรือ เฮนรี่ กอร์ดอน หรือ คังวูจิน หันกลับไป ชายร่างใหญ่ยืนหัวเราะหึ ๆ เขาคือเจ้าของร้านพิซซ่าที่วูจินเพิ่งลาออกไป
“ฮ่า ๆ ต้องแบบนี้สิ เฮ้ เฮนรี่ แม้แต่หลังยังงออีกต่างหาก ท่าทางแบบนี้มันเหมาะกับแกดีจริง ๆ”
“······”
“หรือว่าเพราะผอมแห้งไม่มีแรง? เต้นสิ เต้น เป็นปิเอโรต์ต้องสร้างความประทับใจให้ลูกค้าหน่อยสิ”
ดูถูก เหยียดหยาม รังเกียจ อคติ หรือบางทีอาจจะมากกว่านั้น ความรู้สึกเหล่านั้นราวกับกลิ่นเหม็นที่โชยมาปะทะจมูกคังวูจิน เขาโกรธ แต่จะทำอะไรได้ ในที่สุด วูจินได้แต่ยืนนิ่งราวกับหุ่น เจ้าของร้านพิซซ่าหัวเราะหึ ๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินเลี่ยงหายไปทางซูเปอร์มาร์เก็ต
ปิเอโรต์วางป้ายโฆษณาลงแล้วมองตามหลังเขาไป
“······”
สีหน้าของเขาดูแปลกประหลาดจนน่าขนลุก
และในคืนที่ฝนกระหน่ำลงมาอย่างบ้าคลั่ง
ภายในร้านพิซซ่า เจ้าของร้านร่างใหญ่นั่งดูทีวีพลางจิบเบียร์เย็น ๆ อยู่เพียงลำพัง ดูเหมือนว่าเขาจะปิดร้านเรียบร้อยแล้ว
เปรี๊ยง!
เสียงฟ้าร้องดังสนั่นก้องไปพร้อมกับเสียงฝน ในวินาทีนั้นเอง ประตูร้านพิซซ่าก็เปิดออกช้า ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด ชายสวมหน้ากากที่เปียกโชกไปด้วยน้ำฝน หรือก็คือปิเอโรต์ กำลังยืนอยู่ตรงนั้น ทันทีที่เห็น เจ้าของร้านก็จำปิเอโรต์ได้ในทันที เขาลุกขึ้นยืนแล้วตะโกน
“เฮนรี่?! แกมาทำอะไรที่นี่!”
ในขณะเดียวกัน ฟ้าก็ผ่าลงมาเปรี้ยงปร้าง
เปรี๊ยง!
เสียงปืนดังขึ้นกลบเสียงฟ้าร้อง
ปัง! ปัง!
‘ปิเอโรต์’ หรือคังวูจินยืนนิ่ง มือข้างหนึ่งกำปืนแน่น ร่างไร้วิญญาณของเจ้าของร้านพิซซ่ากองอยู่กับพื้น เลือดสีแดงฉานไหลซึมเป็นวงกว้าง ในชั่วขณะนั้น
“······อ่า”
ความเสียใจแล่นริ้วผ่านหัวใจคังวูจิน พร้อม ๆ กับความโกรธที่ปะทุขึ้นอย่างรุนแรง แปลกที่ไหล่ที่เคยห่อเหี่ยวกลับเหยียดตรง เช่นเดียวกับเอวของเขาที่แข็งกร้าวขึ้น
ทันใดนั้น แสงสว่างวาบขึ้น
แสงจากฟ้าผ่าที่แปลบปลาบด้านนอก สาดส่องใบหน้าของ ‘ปิเอโรต์’ ที่เคยมืดมิดให้ชัดเจนขึ้น ถึงแม้จะเป็นใบหน้าของตัวตลก แต่กลับมีสีแดงของเลือดไหลอาบลงมาบริเวณดวงตา เพราะสายฝนที่โปรยปรายลงมา
ราวกับใบหน้าที่กำลังร่ำไห้ด้วยน้ำตาสีเลือด
คังวูจินหัวเราะออกมา
“หึ ๆ ! ฮ่า ๆ ! ฮ่า ๆ ๆ !”
ไม่ใช่การฝืนหัวเราะแม้แต่น้อย แล้วสายตาของวูจินก็เหลือบไปเห็นบางสิ่ง เป็นหนึ่งในของมากมายที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นหลังจากเจ้าของร้านพิซซ่าล้มลง มันคือการ์ดใบหนึ่งเปื้อนเลือด คังวูจินก้มลงหยิบมันขึ้นมา
“อืม-”
บนการ์ดปรากฏรูปตัวตลกหรือ ‘ปิเอโรต์’
-เป็นการ์ด ‘โจ๊กเกอร์’
เวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าใดแล้วนะ?
คังวูจินที่ใช้ชีวิตอยู่ในโลกของ ‘เฮนรี่ กอร์ดอน’ ภายในเรื่อง ‘ปิเอโรต์’ กลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงภายในรถตู้ หิมะยังคงโปรยปรายอยู่ภายนอก ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย นับตั้งแต่เขาเข้าสู่มิติว่างเปล่า
อย่างไรก็ตาม
‘ฮู่- รู้สึกเมื่อย ๆ นิดหน่อยรึเปล่านะ?’
วูจินที่เพิ่งผ่านชีวิตอันโลดโผนมา ได้สัมผัสประสบการณ์และลงมือกระทำสิ่งต่าง ๆ หรือควรจะเรียกว่าผ่าน ‘ช่วงกำเนิด’ ในฐานะวายร้าย? ถ้าไม่ใช่การสวมบทบาท บางทีตอนนี้เขาคงกำลังหัวเราะจนปากฉีกไปแล้วก็ได้
เพราะตอนนี้ ในจิตใจของเขายังคงหลงเหลือกลิ่นอายของ ‘ปิเอโรต์’ อยู่
ทว่าวูจินกลับสงบนิ่งราวกับผู้เชี่ยวชาญ ปัดเป่าความบ้าคลั่งที่เพิ่งปะทุออกไปจนมลายสิ้น แล้วจึงก้มมองบทภาพยนตร์เรื่อง ‘ปิเอโรต์’ ที่วางอยู่บนตักพลางรักษาสีหน้าเรียบเฉยเอาไว้
‘จะว่ายังไงดีนะ… ตัวบทภาพยนตร์ก็น่าสนใจอยู่แล้ว แต่การได้อ่าน (สัมผัสประสบกาณณ์) จริง ๆ นี่มันต่างกันราวฟ้ากับเหวเลย’
เพราะตัวบทภาพยนตร์นั้นอัดแน่นไปด้วยอารมณ์หลากหลาย ทั้งบทพูดและคำบรรยายต่างก็เต็มไปด้วย ‘Subtext’ ซึ่ง ‘Subtext’ ก็เปรียบเสมือนกับระเบิดเวลาที่นักเขียนหรือนักเขียนบทซ่อนเอาไว้ มันคือความรู้สึกนัยยะที่ซุกซ่อนความหมายที่แท้จริงของบทพูดหรือคำบรรยายเอาไว้นั่นเอง
ตัวละครเอกอย่าง ‘เฮนรี่ กอร์ดอน’ เองก็แปลกประหลาดพิลึก
ในช่วงแรก เขาเป็นคนอ่อนแอ ขี้ขลาด และเป็นตัวอย่างของผู้ด้อยโอกาส แต่ความโกรธและโทสะที่ก่อตัวขึ้นภายในนั้นกลับรุนแรงกว่าผู้ใด ทว่า ‘เฮนรี่ กอร์ดอน’ ในช่วงหลังที่เต็มไปด้วยความบ้าคลั่งและความสุขสำราญนั้นกลับไร้ซึ่งโทสะและความโกรธโดยสิ้นเชิง
วูจินที่ได้อ่าน (สัมผัสประสบการณ์) ‘เฮนรี่ กอร์ดอน’ มาหลายครั้งครุ่นคิด
‘“อิสระในการเลือกบท” หรือ “สังเคราะห์บทบาท” … “พลังอสูร” ก็น่าจะใช้กับตัวละครนี้ได้เหมือนกันนะ’
เขาเริ่มคิดที่จะปลดปล่อยตัวร้ายใน ‘ปิเอโรต์’ ออกมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง
‘หรือจะลองใช้ความสามารถอื่น ๆ ผสานด้วยก็ได้ อืม…ชักน่าสนุกดีนี่’
แน่นอนว่าจะต้องออกไปสู่โลกภายนอกในรูปแบบที่อัปเกรดแล้วเท่านั้น
อีกด้านหนึ่ง ณ ลอสแอนเจลิส
เกาหลียามเช้าเพิ่งเริ่มต้น แต่ที่แอลเอ บ่ายคล้อยกำลังโรยตัวลง เสียงจอแจของฮอลลีวูดดังกระหึ่มกว่าเกาหลีหลายเท่า ภายในห้องประชุมขนาดกลางของ ‘โคลัมเบียสตูดิโอ’ ซึ่งกำลังโด่งดังกับภาพยนตร์เรื่อง ‘ปิเอโรต์’ ผู้กำกับอันกาบกและล่ามนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเหล่าผู้บริหารของ ‘โคลัมเบียสตูดิโอ’ ทั้งหมด 4 คน ซึ่งทางผู้กำกับอันกาบกถูกเรียกตัวมากะทันหันจากกองถ่ายที่อยู่ไม่ไกล
ด้วยเหตุนี้เอง ความคิดหนึ่งจึงแล่นเข้ามาในหัว 'มีเรื่องอะไรกันนะ ทำไมทุกคนถึงมีสีหน้าเคร่งเครียดแบบนั้น'
เขากวาดสายตามองสำรวจสีหน้าของผู้บริหาร ‘โคลัมเบียสตูดิโอ’ ฝั่งตรงข้าม แต่ละคนล้วนเกี่ยวข้องกับภาพยนตร์ ‘ปิเอโรต์’ รวมถึงชายหัวล้านด้วย ทุกคนมีสีหน้าเคร่งขรึมราวกับกำลังอยู่ในสถานการณ์สำคัญ
และแล้ว ชายหัวล้าน หนึ่งในผู้บริหารที่กำลังสนทนากันอยู่ก็เอ่ยขึ้น “ผู้กำกับครับ”
ขณะกล่าว เขาก็ส่งแฟ้มใสให้กับผู้กำกับอันกาบก
“มีเรื่องสำคัญที่คุณต้องรู้”
ผู้กำกับอันกาบกแห่ง ‘ปิเอโรต์’ รับแฟ้มใสมาเงียบ ๆ ดวงตาจับจ้องไปที่แฟ้มนั้นอย่างใคร่รู้ ในขณะเดียวกัน ชายหัวล้านก็พูดต่อ
“‘ปิเอโรต์’ จะมีการเปลี่ยนแปลงชื่อเรื่องก่อนเข้าฉายครับ”
“···เปลี่ยนชื่อเรื่อง?” อันกาบกทวนคำด้วยความประหลาดใจ
“ใช่ครับ คล้ายเดิมแต่มีความแตกต่างเล็กน้อย คุณคงจะเห็นแล้วว่ามันจะเปลี่ยนเป็น ‘ปิเอโรต์: กำเนิดวายร้าย’”
ชายหัวล้านพึมพำชื่อใหม่ ‘ปิเอโรต์: กำเนิดวายร้าย’ ราวกับกำลังทวนความทรงจำและตอกย้ำถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้
“และภาพยนตร์ ‘ปิเอโรต์: กำเนิดวายร้าย’ คือจุดเริ่มต้นของโปรเจกต์ใหญ่ที่พวกเราเตรียมการกันอย่างลับ ๆ มาเป็นเวลานาน มันคือซีรีส์ภาพยนตร์ฮีโร่ที่เชื่อมโยงกัน กล่าวโดยสรุปคือ มันเป็นจักรวาลภาพยนตร์ของทางเรา ซึ่ง ‘ปิเอโรต์: กำเนิดวายร้าย’ ตัวเอก ‘เฮนรี่ กอร์ดอน’ นั้น...”
เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแต่แฝงไว้ด้วยความหนักแน่นมั่นคง
“จะเป็นวายร้ายคนแรกที่จะเปิดจักรวาลภาพยนตร์ของเราสู่สายตาชาวโลกครับ”
-จบ-
ติดตามผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:ยักษาแปร ผู้แปลลงแค่ในMy-NovelและThai-novelเท่านั้น หากอ่านที่อื่นรบกวนมาสนับสนุนทีนะครับผม หรือจะมากดไลก์แฟนเพจก็ได้ กระซิกกระซิก ;-;_