บทที่ 1 พิธีศพ (ตอนที่ 8 - โลงศพ)
"จะเกิดอะไรขึ้น ฉันไม่รู้" มู่อี้หรานมองเขาด้วยสายตาเย็นชา "คนที่ทำอะไรคล้ายๆ แบบนี้คนก่อน โดนผลสะท้อนกลับที่รุนแรงและน่าสยดสยอง"
"ก็ได้ ไม่เผาก็ไม่เผา" เค่อชุนยกมือขึ้นเหมือนยอมแพ้ "แล้วถ้าฉันเอาไปวาดรูปเต่า วาดหนวดแพะบนหน้าพวกมันล่ะ?"
มู่อี้หรานมองเขาด้วยสายตาที่เหมือนมองคนโง่ "ในวัฒนธรรมเกี่ยวกับเทพเจ้าและผีของจีน ไม่ว่าจะเป็นเทพเจ้าหรือผี ล้วนไม่สามารถถูกดูหมิ่นได้"
"แล้วเทพเจ้ากับผีดูหมิ่นมนุษย์ได้อย่างนั้นเหรอ?" เค่อชุนถอนหายใจอย่างหมดหนทาง
หลังจากทุกคนตรวจสอบแล้ว ก็ไม่พบอะไรที่น่าตื่นเต้น พอมองดูท้องฟ้า แม้จะยังคงมืดครึ้ม แต่ก็รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลากลางวันแล้ว ทุกคนจึงปิดประตูห้องหลักแล้วออกมาเดินออกจากลานบ้าน เค่อชุนคิดถึงคำที่ชายชราเมื่อคืนบอกไว้ ว่าตอนแปดโมงเช้าต้องไปรวมตัวที่บ้านเขา จึงเรียกเว่ยตงที่อยู่ในลานบ้านมา
เมื่อออกจากลานบ้านก็เห็นเจ้าของร้านแพนเค้กนั่งล้มพังพาบอยู่กับพื้น สีหน้าซึมเศร้าเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาหรือเหงื่อก็ไม่อาจรู้ได้ เว่ยตงเพิ่งนึกขึ้นได้ถึงคำพูดของหลิวอวี่เฟยเมื่อคืน จึงเดินไปดึงเจ้าของร้านแพนเค้ก
"อย่าทำเรื่องไร้ประโยชน์เลย ที่นี่หนีไม่พ้นหรอก ไม่ว่านายจะวิ่งไปทางไหน สุดท้ายก็กลับมาที่เดิมอยู่ดี มารวมกับพวกเราดีกว่า เผื่อว่าวันนี้เราจะเจอทางกลับไปได้"
เจ้าของร้านแพนเค้กยืนขึ้นด้วยท่าทางหมดอาลัยตายอยาก ราวกับหุ่นเชิด เดินตามกลุ่มไปอย่างไร้ชีวิต
เค่อชุนหันไปถามเว่ยตง "ยังไงก็กลับมาที่เดิมนี่หมายความว่าไง?"
เว่ยตงชี้ไปทางหมอกหนาที่อยู่ไกล
"หลิวอวี่เฟยบอกว่า ไม่ว่าจะวิ่งไปทางไหน สุดท้ายก็กลับมาที่จุดเริ่มต้น เหมือนกับภาพวาดที่อยู่ตรงหน้า คนในภาพวิ่งไปทางซ้าย วิ่งจนออกจากกรอบภาพแล้ว ในเวลาเดียวกันก็ปรากฏขึ้นที่กรอบด้านขวาของภาพ แล้วก็วิ่งกลับมาที่เดิม นายเข้าใจไหม? ยังไงก็วิ่งไม่พ้นกรอบภาพไปได้"
"...ช่างเป็นเรื่องที่สิ้นหวังจริงๆ" เค่อชุนถอนหายใจ
"ในห้องนั้น...นายเห็นอะไรบ้าง?" เว่ยตงถาม
เค่อชุนอธิบายให้ฟังคร่าวๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมองมู่อี้หรานที่เดินอยู่ข้างหน้า จากนั้นจึงเร่งฝีเท้าตามไปเคียงข้างแล้วถามว่า "มู่เกอ บอกฉันหน่อย ตอนนั้นในศาลาตั้งศพนายเห็นอะไรบ้าง?"
มู่อี้หรานหลับตาลง เค่อชุนเห็นสีหน้าที่เย็นชาเหมือนภูเขาน้ำแข็งของเขามีความอ่อนใจแฝงอยู่เล็กน้อย จึงยิ้มมุมปากแล้วยอมรอ ไม่เร่งเร้า เพียงแค่เอียงหัวมองเขาอย่างเงียบๆ
มู่อี้หรานหลุบตาลงมองหน้าเขา คนที่มีผมสั้นยุ่งเหยิงดูเหมือนจะเป็นคนขี้เกียจและไม่ใส่ใจอะไร แต่แววตาคู่นั้นกลับบริสุทธิ์และจริงจัง ส่องแสงชัดเจนระหว่างมอง เพียงแค่มองหน้าเขาก็ไม่สามารถบอกได้เลยว่าคนผู้นี้จะมีความหน้าทนและความติงต๊องขนาดนี้
มู่อี้หรานเม้มปาก แล้วละสายตาออก พูดเบาๆ "ไม้ที่ใช้ทำโลงศพมีปัญหา วัสดุที่ใช้ทำโลงศพ โดยทั่วไปจะใช้ไม้หอม ไม้ปอ ไม้สน หรือไม้ผสมระหว่างสนและไม้ไซเปรส แต่โลงศพในศาลาตั้งศพนี้ ใช้ไม้ไซเปรสล้วน ไม่มีการผสม"
"แล้วไง?" เค่อชุนถามเขา
"ในวัฒนธรรมการฝังศพของบางพื้นที่ในจีน ห้ามใช้ไม้หลิวหรือไม้ไซเปรสบริสุทธิ์ทำโลงศพ" มู่อี้หรานพูดเสียงเบา
"ตามประเพณีเก่า ไม้หลิวไม่ออกเมล็ด ถ้าใช้ทำโลงศพจะทำให้ตระกูลสิ้นสูญ และถ้าใช้ไม้ไซเปรสบริสุทธิ์ทำโลง จะถูกฟ้าผ่า"
"ฟ้าผ่า?" เค่อชุนยกคิ้วขึ้น "ฟ้าผ่าจริงๆ น่ะเหรอ?"
มู่อี้หรานพยักหน้าเบาๆ "ก็อาจจะพูดได้อย่างนั้น การใช้ไม้หลิวบริสุทธิ์และไม้ไซเปรสบริสุทธิ์ทำโลง ถือเป็นข้อห้ามทางการฝังศพ ในพื้นที่ที่มีธรรมเนียมนี้ ปกติจะไม่มีทางทำผิดพลาดแบบนี้ได้"
เค่อชุนหันไปมองบ้านตระกูลหลี่ที่อยู่ห่างไกล "แต่บ้านนี้กลับทำผิดกฎ นั่นหมายความว่า..."
"หมายความว่าทำด้วยเจตนา" มู่อี้หรานมองกลับไปยังบ้านนั้นด้วยสายตาลึกซึ้ง
"รู้ทั้งรู้แต่ก็ยังทำ นั่นอาจจะมีเหตุผลเดียว คือเปลี่ยนข้อห้ามให้เป็นคำสาป"
เค่อชุน: "...คำสาป? น่าสนใจแฮะ ทำไมถึงทำอย่างนี้ล่ะ?"
มู่อี้หรานหลุบตาลง เหมือนกำลังครุ่นคิด "ถึงแม้จะเป็นภาพวาด เนื้อหาก็ต้องสอดคล้องกับตรรกะ และถ้าเป็นภาพวาดที่สมจริง ก็ต้องอิงกับความจริงยิ่งกว่าเดิม พวกเราที่เข้ามาในภาพ ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวละครในภาพ มีคนเฝ้าศพ มีคนตัดฟืน มีคนเฝ้าโกดังเสบียง มีคนเฝ้าห้องเก็บของ มีคนขุดดินและฝังศพ..."
"ดูเหมือนจะขาดอะไรไปอย่างหนึ่ง" เค่อชุนมองไปยังคนที่เดินข้างหน้า
มู่อี้หรานแววตาสว่างขึ้นเล็กน้อย "ขาดตัวละครสำคัญในพิธีศพ"
"ใคร?" เค่อชุนหันไปถามเขา
มู่อี้หรานมองหน้าเขา "ญาติของผู้ตาย"
เค่อชุนรู้สึกเหมือนสายฟ้าฟาดที่กระจ่างความคิด "ใช่แล้ว เมื่อคืนนี้ในลานบ้านนั่น นอกจากพวกเราก็ไม่มีตัวละครอื่นๆ อีก รอเดี๋ยวนะ หรือว่า สามคนที่ตายไปนั่นคือญาติของผู้ตาย?"
"ไม่ใช่" มู่อี้หรานพยักพเยิดไปที่คนกลุ่มข้างหน้า
"การแต่งกายของพวกเราทุกคนเหมือนกันหมด ถ้าเป็นญาติของผู้ตาย ต้องแต่งชุดไว้ทุกข์ หรืออย่างน้อยก็ต้องแตกต่างออกไป จากสถานการณ์เมื่อคืนที่เราโดน 'จัดสรร' ที่บ้านชายชรา พวกเราน่าจะเป็น 'ชาวบ้าน'"
"แล้วทำไมต้องให้ชาวบ้านเฝ้าศพ?" เค่อชุนถาม
"บางหมู่บ้านที่มีประชากรน้อย ถ้ามีบ้านไหนจัดพิธีศพ คนทั้งหมู่บ้านต้องมาช่วยงาน" มู่อี้หรานตอบ
เค่อชุนถามต่อ "หรือว่ามู่เกอของเราจะมาจากชาวนาแท้ๆ ?"
มู่อี้หรานมองเขาเย็นชา "อ่านหนังสือเยอะๆ"
"ฉันเรียนสายกีฬานะ" เค่อชุนตอบหน้าไม่รู้สึกผิด "ว่าแต่ หนังสือจะสอนให้นายรู้จักแยกประเภทไม้ทำโลงได้เหรอ?"
มู่อี้หรานทำท่าไม่อยากตอบ แต่เหมือนกลัวว่าเค่อชุนจะรบกวน ถามเซ้าซี้ จึงยอมตอบอย่างเสียไม่ได้
"ฉันมีเพื่อนที่หลงใหลงานไม้"
คำว่า 'หลงใหล' นี้แฝงไปด้วยความหมายปลีกย่อย มักจะตามมาด้วยความคลั่งไคล้และการส่งเสริมเรื่องที่ชอบ...คาดว่าในวันธรรมดาคงถูกชวนคุยเรื่องไม้บ่อย ๆ
"แล้วทำไมญาติของผู้ตายถึงไม่ปรากฏตัวเลยล่ะ?" เค่อชุนเกาหัวอย่างครุ่นคิด "ผู้ตายถูกสาปโดยโลงไม้ไซเปรส ญาติไม่ออกมาโต้แย้งอะไรเลยเหรอ? แล้วใครเป็นคนทำโลงให้ผู้ตาย?"
มู่อี้หรานตอบเบาๆ "ถ้าหาคำตอบของคำถามเหล่านี้ได้ นายอาจจะออกไปจากที่นี่ได้"
ขณะที่พูดก็เดินมาถึงบ้านของชายชราเมื่อคืน พอเข้ามาในบ้านก็เห็นว่ามีข้าวต้มและหมั่นโถววางอยู่บนโต๊ะ ชายชรามองทุกคนด้วยดวงตาที่เหือดแห้ง "เมื่อคืนทุกคนเหนื่อยกันมาแล้ว กินอาหารเช้าก่อน วันนี้ตอนกลางวันไม่มีงานอะไร ให้พักผ่อนกันไปก่อน พอค่ำลงมาก็มาที่นี่อีกครั้ง ฉันจะแจกแจงงานสำหรับคืนนี้ให้ทุกคน"
พูดจบ ชายชราก็หมุนตัวกลับเข้าไปในห้อง เค่อชุนกำลังคิดว่าอาหารบนโต๊ะจะมีพิษหรือเปล่า แต่เห็นคนสองสามคนเดินไปนั่งแล้วเริ่มกินกันแล้ว เค่อชุนมองมู่อี้หราน เห็นสีหน้าเขาดูเคร่งเครียด แต่ก็เดินไปที่โต๊ะ ตักข้าวต้มให้ตัวเองถ้วยหนึ่ง
"ไม่มีอะไรแน่นะ?" เค่อชุนนั่งลงข้างๆ มู่อี้หราน มองเขาตักข้าวต้มเข้าปากด้วยท่าทางที่สง่างาม หลิวอวี่เฟยที่อยู่ข้างๆ หยอกล้อด้วยเสียงเย็นชา
"กินเถอะ ถ้าอาหารมีพิษ ก็ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องลึกลับมากมายเพื่อทรมานพวกเรา แค่ขังไว้ในบ้านหนึ่งเดือนก็ไม่มีใครรอดได้แล้ว"
เค่อชุนยังคงมองมู่อี้หราน "แล้วทำไมสีหน้าของนายถึงเป็นแบบนั้นล่ะ? ไม่ชอบกินเหรอ?"
มู่อี้หรานมองเขาด้วยสายตาเย็นชา "ถ้านายอยากตายเร็ว ฉันจะช่วย"
เค่อชุนคิดถึงเมื่อคืนที่ตัวเองโดนบีบให้อยู่บนพื้นโดยที่ไม่มีแรงต่อต้านแม้แต่นิดเดียว เขายื่นมือไปหยิบหมั่นโถวสองลูก แล้วยื่นให้อีกลูกกับมู่อี้หราน แต่มู่อี้หรานไม่สนใจ เขาจึงยื่นให้เว่ยตงที่อยู่ข้างๆ
หลิวอวี่เฟยที่อยู่ข้างๆ กวนข้าวต้มที่ข้นอยู่ในถ้วยไปมาอย่างโมโห แล้วพูดกับเค่อชุนต่อ "ที่เขาหน้าซีด ฉันคิดว่าเป็นเพราะคนสองคนที่ไปขุดหลุมฝังศพตายทั้งคู่"
เค่อชุนชะงักไป สอดสายตานับจำนวนคนในห้อง พบว่าคนที่ไปขุดหลุมฝังศพสองคนหายไปจริง ๆ
"นายรู้ได้ไงว่าพวกเขาตายแล้ว?"
"เพราะชายชราไม่ได้รอให้สองคนนั้นกลับมาแล้วถึงให้พวกเรากินข้าว" หลิวอวี่เฟยชี้ไปที่ห้องด้านใน
"ถ้าสองคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ ชายชราต้องรอให้ทุกคนมาพร้อมก่อนแล้วค่อยพูดคำพูดเมื่อครู่นั้น"
"เชี่ยเอ๊ย!" เว่ยตงสบถเบา ๆ ข้าง ๆ "แค่คืนเดียวตายไปตั้งห้าคน ถ้าประสิทธิภาพแบบนี้ หลังจากวันนี้ไปจะเหลือพวกเรากี่คนกัน?"
ไม่มีใครตอบคำถามของเขา ทุกคนเพียงแค่กินอาหารเงียบ ๆ บ้างหน้าตายไร้ความรู้สึก บ้างก็ดูเหมือนครุ่นคิด บ้างก็เหมือนจิตใจลอยไปไกล มื้อนี้รสชาติอาหารก็ไม่สามารถบรรยายได้ ข้าวต้มเย็นชืด หมั่นโถวแข็ง ๆ ผักดองไม่กี่ต้นมีขนขาว ๆ ห้อยอยู่ ไส้หมั่นโถวก็ไม่รู้ว่าทำมาจากอะไร รสชาติเหมือนหญ้า แถมยังมีกลิ่นเหม็นเหมือนมูลม้าอีกด้วย
แต่อย่างไรก็ต้องกินต่อไป เพราะไม่รู้ว่าเรี่ยวแรงจะอยู่ได้นานแค่ไหนถ้าไม่กิน
มื้อที่ไม่อร่อยนี้จบลงอย่างรวดเร็ว มู่อี้หรานลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไป เค่อชุนดึงเว่ยตงตามไป
"ไปไหน?"
"ออกไปเดินดูหาเบาะแส" มู่อี้หรานตอบเสียงต่ำ
"จะเดินสุ่ม ๆ เหรอ? นายไม่กลัวจะเจออะไรพรรค์นั้นหรือไง?" เว่ยตงถาม
"ตามเนื้อหาที่สะท้อนในภาพวาด เวลากลางวันน่าจะไม่เป็นอะไร" มู่อี้หรานบอก "นอกจากนี้ ในคำพูดของชายชราเมื่อครู่ ก็ไม่ได้บอกว่าห้ามออกไปข้างนอก ดังนั้นน่าจะไม่มีปัญหา"
"เราจะไปกับนายด้วย" เค่อชุนตัดสินใจขอเดินตามดีกว่า มู่อี้หรานไม่สนใจ เดินก้าวยาวออกจากลานบ้าน มุ่งหน้าไปทางทิศเหนือของหมู่บ้าน
ทิศเหนือของหมู่บ้านเป็นทุ่งร้าง ที่ไกลออกไปก็ยังคงเป็นความเลือนรางที่ไม่มีที่สิ้นสุด ในท้องฟ้าเหนือทุ่งร้าง มีเสียงกาเย็นเยียบดังขึ้นอย่างสยองขวัญ บินวนสองสามรอบแล้วลงจอดที่เนินดินแห่งหนึ่ง เค่อชุนกับเว่ยตงตามมู่อี้หรานไปอย่างเร่งรีบ แต่ที่ข้างเนินดินนั้นกลับพบศพสองร่าง
เว่ยตงร้องเสียงหลง ทรุดลงนั่งก้นกระแทกพื้น แล้วใช้มือและก้นดันตัวถอยไปอีกเจ็ดแปดเมตรก่อนจะหยุด เขาชี้ไปที่ศพพลางสั่นเทา
"หลับตา ไปยืนหลบทางนู้น"
เค่อชุนบังอยู่ข้างหน้าเขา แต่เดิมก็ไม่อยากมองสภาพศพทั้งสองมากนัก แต่เห็นมู่อี้หรานเดินตรงไปใกล้ แล้วก้มดูศพอย่างละเอียด ก็พยายามฝืนใจเดินไปดูศพตาม
และทันทีที่เห็น ก็แทบจะอาเจียนออกมาตรงนั้นโดยพลัน
.
(จบตอน)