บทที่ 1 พิธีศพ (ตอนที่ 1 - เข้าสู่ภาพวาด)
ในภายหลัง เมื่อเค่อชุนคิดย้อนกลับไป เขารู้สึกว่าวันนั้นตั้งแต่ก้าวเท้าออกจากบ้านก็มีบางอย่างที่ไม่ปกติเกิดขึ้น
อย่างแรกคือ เจ้าหมาพุดเดิ้ลของลุงหลี่ที่อยู่ในละแวกบ้านเดียวกัน ปกติมันจะกระโดดขึ้นมากอดขาของเขาทันทีที่เจอหน้า แต่วันนั้นกลับแค่เดินผ่านไปเฉยๆ เหมือนไม่สนใจอะไร
ถัดมาคือหน้าต่างของห้องตรงกลางบนชั้นสิบสามของอาคารด้านหลัง เขามองขึ้นไปเห็นหน้าต่างถูกเปิดอ้าออก ผ้าม่านสีเทาหม่นสองผืนแขวนอยู่ด้านนอก เมื่อมองจากมุมมองด้านล่างดูแล้วเหมือนกับผ้าประดับงานศพสองผืน
ตอนที่เค่อชุนเงยหน้ามอง เขารู้สึกเหมือนกับว่ามีใครบางคนอยู่ข้างในห้องกำลังมองลงมาที่เขา แต่เพราะมุมมองไม่ชัดเจน ทำให้เขาไม่สามารถเห็นได้แน่ชัดว่ามีใครอยู่หรือไม่
ร่างของคนๆ นั้นอยู่ในเงามืดทั้งหมด มีเพียงใบหน้าสีเทาที่ปรากฏลางๆ อยู่หลังหน้าต่าง ใบหน้านั้นไม่ขยับเขยื้อน เมื่อประกอบกับกรอบหน้าต่างสีดำทึบและผ้าม่านสีเทาหม่นสองผืน ใบหน้านั้นดูราวกับเป็นภาพถ่ายขาวดำของผู้ที่จากไปแล้ว
หลังจากนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นก็ยิ่งประหลาดมากขึ้นเรื่อยๆ...
ตัวอย่างเช่น ตอนที่เขาเช่าจักรยานจากสถานีเช่าจักรยาน เมื่อเขายกขาขึ้นคร่อมเบาะ จู่ๆ เบาะก็หลุดออกมา ถ้าหากเขายกขาลงมาอีกแค่นิดเดียว เขาอาจกลายเป็นชายคนแรกที่ถูกจักรยานเช่าทำอันตรายก็ได้...
หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง ตอนที่เขาไปเจอเว่ยตงที่สถานที่นัดหมาย ปกติเจ้าหมอนั่นจะมาสาย แต่วันนี้กลับมาตรงเวลา
อีกตัวอย่างหนึ่ง ก่อนที่ทั้งสองจะได้เริ่มเที่ยวเล่น ท้องฟ้าที่ก่อนหน้านี้เป็นสีฟ้าใสกลับถูกปกคลุมด้วยเมฆสีเทาอย่างรวดเร็ว พายุฝนก็กำลังจะตกลงมา
"ฉันรู้อยู่แล้วเชียวว่าไม่มีเรื่องอะไรดีๆ จะเกิดขึ้นเมื่อออกมาข้างนอกกับนาย" เค่อชุนพูดพลางวิ่งหาที่หลบฝน มือป้องหัวเอาไว้
"มันแปลกนะ เมื่อคืนนี้ฉันยังนับนิ้วดูดวงแบบจีนโบราณ วันนี้ควรจะเป็นวันที่ดีมาก เหมาะกับการออกเดินทาง จีบสาว และจองโรงแรมด้วยกัน" เว่ยตงไม่ได้ป้องหัวตัวเอง เขากำลังยุ่งกับการใช้เสื้อคลุมห่อโทรศัพท์มือถือ
"นายคงใช้นิ้วเท้านับแทนล่ะสิ!" เค่อชุนพูดพร้อมกับสีหน้าหงุดหงิด
"ฉันจะทำยังไงได้ ตระกูลเว่ยของฉันขึ้นชื่อเรื่องเท้าเหม็นอยู่แล้ว ในฐานะหลานคนโตของตระกูลเว่ย ฉันต้องสืบทอดและพัฒนาเทคนิคเกาส้นเท้าลับเฉพาะนี้แหละ" เว่ยตงพูดเล่นเหมือนเคย จากนั้นชี้ไปยังอีกฟากของถนน
"ตรงนั้นมีพิพิธภัณฑ์ศิลปะ"
พิพิธภัณฑ์ศิลปะซิงกง
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เก่าแก่จริง ๆ ผนังด้านนอกปกคลุมไปด้วยเถาไอวี่หนาทึบจนแทบมองไม่เห็นหน้าต่าง แต่ประตูทางเข้ากลับดูใหม่ เหมือนเพิ่งได้รับการปรับปรุงไม่นานมานี้ มีป้ายประชาสัมพันธ์ตั้งอยู่หน้าทางเข้า บอกว่าเป็นนิทรรศการภาพวาดทัวร์ทั่วประเทศของจิตรกรบางท่าน
จะมีสักกี่คนในหมู่ชาวบ้านที่เข้าใจศิลปะอย่างแท้จริง? แม้จะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ แต่ผู้คนในพิพิธภัณฑ์ศิลปะก็น้อยจนนับจำนวนคนได้ ส่วนใหญ่ก็เป็นคนที่เข้ามาหลบฝนเหมือนเค่อชุนและเว่ยตง
ผู้คนจับกลุ่มกันอยู่ในห้องโถงทางเข้า บ้างก็มองฝน บ้างก็เล่นโทรศัพท์มือถือ มีเพียงไม่กี่คนที่สนใจดูภาพวาด
"ไหน ๆ ก็มาแล้ว เข้าไปดูกันสักหน่อยเถอะ" เว่ยตงพูดขึ้นอย่างไม่อยู่นิ่ง
เดิมทีทั้งสองไม่ได้วางแผนว่าจะทำอะไรในวันนี้ เพียงเพราะเมื่อคืนเว่ยตงส่งข้อความมาทางวีแชทว่า "พรุ่งนี้จะออกไปสนุกกันไหม?"
เค่อชุนก็ตอบว่า "ไปสิ"
แล้วทั้งคู่ก็ออกมา
ในฐานะคนโสดสองคนที่คอยอยู่เป็นเพื่อนกันในวันเหงาที่เหงาๆ วันหยุดสุดสัปดาห์ของพวกเขามักจะเริ่มต้นด้วยการไปเจอกันที่จุดนัดพบเก่า แล้วเดินไปไหนก็ไป เที่ยวเล่นไปเรื่อยๆ เจอสาวก็จีบ เจอชายหนุ่มก็ยังจีบ ขอแค่เจอใครที่เข้ากับใจได้ก็พอ ไม่สนว่าจะหมดเงินไปเท่าไร
เค่อชุนไม่เคยมีความรู้เกี่ยวกับศิลปะมากนัก ไม่ต้องพูดถึงการชมภาพวาดเลย แม้แต่การถ่ายเซลฟี่ เขายังถ่ายเบี้ยว ภาพมัว มือที่ทำสัญลักษณ์สองนิ้วยังดูเหมือนมีนิ้วเกินออกมาอีก ทำเอาหน้าตาที่หล่อเหลาอยู่แล้วของเขาดูเหมือนเป็นการทำศัลยกรรมที่ล้มเหลว
ในเรื่องนี้เว่ยตงเก่งกว่าเค่อชุนร้อยเท่า อย่างน้อยเว่ยตงก็เป็นศิษย์เก่าของสถาบันศิลปะ ถึงแม้ว่าสุดท้ายจะมาทำงานในหนึ่งในสิบอาชีพที่เสี่ยงต่อเส้นผมร่วงหน้าผากร่นมากที่สุด
นักออกแบบกราฟิก...
งานที่ต้องทำงานตามคำสั่งลูกค้า สร้างสรรค์ดีไซน์ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นการฆ่าศิลปะ แต่เขาก็ยังคงมีความหลงใหลในการชมผลงานของจิตรกรชื่อดังอยู่บ้าง
ฟ้ามืด ฝนพรำ เมื่อไม่มีอะไรทำ ทั้งสองจึงปัดน้ำฝนออกจากตัวแล้วเดินเข้าไปในประตูชั้นในของพิพิธภัณฑ์
เมื่อคิดย้อนกลับไป เค่อชุนยอมที่จะปล่อยให้ตัวเองว่างจนนอนเป็นโรคพุพองเต็มตัว ดีกว่าก้าวเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งนี้แม้แต่ก้าวเดียว
ชั้นหนึ่งของพิพิธภัณฑ์ศิลปะซิงกงที่จัดแสดงผลงานของจิตรกรที่กำลังทัวร์ ส่วนชั้นสองเป็นการจัดแสดงผลงานที่พิพิธภัณฑ์มีอยู่แล้ว มีทั้งภาพวาดต้นฉบับของจิตรกรและภาพจำลอง
ทั้งสองเดินขึ้นมาที่ชั้นสอง แล้วหยุดอยู่หน้าภาพวาดร่างกายมนุษย์แบบตะวันตก พลางมองดูด้วยความสนใจ
"สาวที่มีทรวดทรงอวบอิ่มดูแล้วสบายตาจริงๆ นะ ถ้าได้สัมผัสคงจะรู้สึกดีมากแน่ๆ" เว่ยตงพูดพลางกลืนน้ำลาย
"ก่อนอื่น นายต้องมีสาวให้ได้ก่อนนะ" เค่อชุนพูดพลางยัดมือเข้าไปในกระเป๋า มองไปรอบๆ อย่างไม่ได้ใส่ใจ
เว่ยตงจำใจละสายตาจากภาพตรงหน้า แล้วหันไปมองซ้ายขวา จากนั้นชี้ไปข้างหน้า "ตรงโน้น ยังมีห้องจัดแสดงอีกแห่งหนึ่ง นายคิดว่าที่นั่นจะมีภาพวาดชุดลับ (ภาพอิโรติก) ไหม?"
"น้องชาย ลองทบทวนชีวิตนายดูสักหน่อยสิ ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ความปรารถนาของนายเป็นจริงบ้าง" เค่อชุนตอบ
"เชี่ยเอ้ย! นายพูดตรงเกินไปแล้วนะ ระวังเถอะ ฉันจะลงไปนอนกลิ้งร้องไห้ให้ดูจริงๆ" เว่ยตงตอบยียวน
ทั้งสองค่อยๆ เดินไปยังห้องจัดแสดงนั้นอย่างช้าๆ
ห้องจัดแสดงแห่งนี้ไม่ใหญ่มาก และไม่มีหน้าต่าง มีเพียงแสงไฟสีเหลืองมัวๆ ที่ส่องสว่างอยู่ไม่กี่ดวง ภาพวาดทั้งหมดแขวนอยู่บนผนัง ภายใต้แสงสลัว เฉดสีของภาพทุกภาพดูทึบและยากที่จะมองเห็นรายละเอียดได้ชัดเจน
"นายพูดถูก มันเป็นภาพวาดชุดลับจริงๆ" เค่อชุนถอนหายใจ "แค่ตอนคนทำเรื่องลับดับไฟเท่านั้นแหละ"
ยังไม่ทันที่คำพูดจะจบดี ไฟในห้องจัดแสดงก็สั่นสะท้านแล้วก็ดับลงทันที ความมืดปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่างในพริบตา
"...จะเอาขนาดนี้เลยเหรอ บอกว่าจะดับก็จริงๆ ดับแบบนี้เลย?" เสียงของเค่อชุนดังขึ้นในความมืด
"แล้วเราควรจะเล่นตามบทไหมล่ะ ลองทำเรื่องลับๆ ดูบ้าง?" เว่ยตงพูดล้อเล่นด้วยเสียงที่มีความสนุกสนาน "นายต้องอ่อนโยนกับฉันหน่อยนะ"
"ขอบคุณนะ แต่ฉันไม่ยุ่งกับพวกชายแท้หรอก" เค่อชุนพูดพร้อมกับพยายามหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋า แต่กดอยู่นานก็ไม่สามารถเปิดหน้าจอได้
"ให้ตายเถอะ" เว่ยตงก็เริ่มค้นหาโทรศัพท์ในเสื้อของเขาเช่นกัน "โธ่เอ้ย! ช่วงเวลาสำคัญแบบนี้แบตดันหมด ฉันเพิ่งชาร์จจนเต็มก่อนออกจากบ้านเอง ตอนนี้กลับใช้ไม่ได้แล้ว"
เค่อชุนพูดขึ้นมา "เดี๋ยวก่อน นายรู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ ไหม?"
เว่ยตงตอบ "นายพูดแบบนี้...ฉันก็ไม่ได้รู้สึกอะไรนะ"
แต่เค่อชุนไม่ได้ตอบกลับไป ห้องจัดแสดงที่มืดมิดตกอยู่ในความเงียบสนิทที่ชวนให้รู้สึกแปลก
เงียบมาก...
มากเสียจนเหมือนกับความเงียบแห่งความตาย
"เอ่อ..." เสียงของเว่ยตงเริ่มฟังดูไม่เป็นธรรมชาติ "นายคิดว่าห้องจัดแสดงนี้อาจจะกันเสียงหรือเปล่า?"
พิพิธภัณฑ์ศิลปะเล็กๆ ที่เก่าและทรุดโทรม จนไม่มีเงินแม้แต่จะเก็บกวาดเถาไม้เลื้อยที่ปกคลุมกำแพงด้านนอก จะมีเงินมาทำให้ห้องจัดแสดงนี้กันเสียงอย่างเต็มรูปแบบได้อย่างไร?
แล้วพิพิธภัณฑ์ศิลปะจะต้องการกันเสียงอะไร? เสียง "ป้าบๆ" ของภาพวาดชุดลับที่ดังขึ้นในยามค่ำคืนหรือ?
เว่ยตงสะท้านไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินเค่อชุนพูดขึ้นมา "ไม่มีทางเป็นไปได้ ก่อนที่ไฟจะดับ ฉันยังได้ยินเสียงคนจามข้างนอกอยู่เลย ต่อให้ตอนนี้ข้างนอกไม่มีคน ห้องจัดแสดงที่กว้างแบบนี้ก็ควรจะมีเสียงก้องของอะไรสักอย่างเข้ามาบ้าง แต่ตอนนี้กลับไม่มีเสียงอะไรเลย"
ไม่มีเสียงใดๆ เลย...แม้แต่นิดเดียว
มันเป็นไปได้อย่างไรกัน?
แม้แต่ในค่ำคืนที่เงียบสงัด ในพื้นที่ห่างไกลของชนบท ก็ยังมีเสียงธรรมชาติที่แผ่วเบา
แต่ตอนนี้ ไม่มีเสียงใดๆ เลยจริงๆ ราวกับพวกเขาถูกขังอยู่ในห้องสุญญากาศ ไม่มีทั้งเสียงและแสง
เรื่องนี้ดูแปลกมาก
ความเงียบและความมืด เป็นต้นตอของความกลัวทุกอย่าง
"เดินออกไปข้างนอกกันเถอะ" เสียงของเค่อชุนยังคงฟังดูสงบ และไม่ได้พูดถึงปัญหาที่เกิดกับโทรศัพท์ของทั้งคู่
"ตกลง" เว่ยตงพยายามทำเสียงให้สบายๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ราวกับว่าถ้าไม่พูดออกมา ไม่สนใจอะไรมากไป ก็อาจจะหลอกล่อใครบางคนที่มองไม่เห็นได้
ทั้งสองเดินในความมืดอยู่สักพัก แต่เริ่มรู้สึกว่าพวกเขาสูญเสียทิศทางไปหมด
"แปลกจัง ห้องจัดแสดงนี้ไม่ได้ใหญ่มาก เดินมาขนาดนี้เราควรจะชนกำแพงได้แล้ว" เค่อชุนหยุดเดิน
"หยุดพูดเถอะ..." เว่ยตงพูดพร้อมกับเอื้อมมือไปคว้าแขนของเขา
แต่ที่จับได้กลับเป็นแขนเย็นเยียบแทน
"...เชี่ยเอ้ย!" เว่ยตงร้องเสียงดัง พลางสะบัดแขนนั้นออก
ยังไม่ทันจะทำอะไรต่อ จู่ๆ แสงสีขาวก็สว่างวาบขึ้นในความมืด
"...ไฟนี่มันเป็นระบบควบคุมด้วยเสียงเหรอ?" เค่อชุนพูดด้วยความงุนงง
"เค่อ..." เสียงสั่นของเว่ยตงดังขึ้นข้างๆ "แสงนี้...นายดูสิว่ามันมาจากไหน?"
เค่อชุนไม่ได้พูดอะไร
เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าแสงสีขาวนี้มาจากที่ไหน
ไม่มีแหล่งกำเนิดแสง มันปรากฏขึ้นมาลอยๆ ในความมืด สว่างไม่มากนัก แต่สีซีดจนแทบดูเหมือนแสงที่เลือนราง
แสงนี้ตกกระทบลงบนผนัง และในขอบเขตของแสงที่ส่องถึงนั้น มีภาพวาดแขวนอยู่...
เว่ยตงเพิ่งสังเกตว่า แขนเย็นๆ ที่เขาเพิ่งดึงไปเมื่อครู่ จริงๆ แล้วเป็นเสากั้นโลหะที่วางไว้ใต้ภาพวาด เพื่อกันระยะห่างระหว่างคนดูและภาพ ป้องกันไม่ให้ใครเอื้อมมือไปแตะภาพวาดนั้นได้
ระหว่างเสาสองต้นระหว่างที่กั้นแยก มีป้ายคำอธิบายวางไว้เพื่อให้ข้อมูลและแนะนำเกี่ยวกับภาพวาดนั้น
ทั้งสองคนมองขึ้นไปที่ภาพวาดโดยไม่รู้ตัว
ภาพวาดนั้นมีเฉดสีทึบและเลือนรางเหมือนกับภาพอื่นๆ ที่เห็นก่อนหน้าที่จะดับไฟ มีเพียงเส้นรอบๆ ที่ปรากฏขึ้นมาลางๆ แต่ความประหลาดอยู่ที่ว่า ภาพวาดนี้กลับดูชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ทั้งคู่มองมันอย่างไม่กระพริบตา
เหมือนกับมีใครกำลังใช้โปรแกรม Photoshop เพื่อปรับความละเอียดและความชัดเจนของภาพ
ภาพดูชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
หืม?
ขยายใหญ่ขึ้น?
เค่อชุนกระพริบตาอย่างรุนแรง และราวกับว่าภาพวาดนี้ก็ขยายใหญ่ขึ้นอย่างไม่สิ้นสุดพร้อมกับการกระพริบตานั้น ภาพที่อยู่ในภาพวาดราวกับพุ่งเข้ามาหาเขา คลื่นพลังบางอย่างลอยผ่านร่างเขาไป ทำให้ขนทั่วตัวเขาลุกชันขึ้นเหมือนถูกกระแสไฟฟ้าช็อต
พลังนี้หายไปในชั่วพริบตา กระจายตัวออกไปทางด้านหลังและด้านข้างรอบตัวเขา เหมือนกับมือที่เปิดม้วนภาพออก กางภาพนั้นออกไปอย่างกว้างขวาง
เค่อชุนจ้องมองฉากตรงหน้าอยู่นาน ไม่สามารถทำความเข้าใจได้
นี่... ที่ไหนกัน?!
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?!
ฉากในภาพวาดนั้น... กลับปรากฏขึ้นอย่างสมจริงอยู่ตรงหน้า!
"ไม่นะ... มันต้องไม่จริง..." เสียงของเว่ยตงสั่นเครือดังขึ้นข้างๆ
"มันต้องเป็นแค่ฝันอยู่แน่ๆ... ตอนนี้ฉันคงยังไม่ตื่น... ยังไม่ตื่นแน่ๆ..." แล้วก็อุทานออกมา "เชี่ยเอ้ย! เค่อ!...เราเจอดีเข้าแล้ว!"
การหลอกตัวเองล้มเหลว เว่ยตงร้องขึ้นด้วยความตกใจ
ถึงแม้ว่าเค่อชุนจะเคยเป็นนักเรียนที่ไม่เก่งในช่วงเรียน แต่เขาก็ไม่ได้สับสนจนแยกไม่ออกระหว่างความจริงและความฝัน เขารับรู้ชัดเจนว่า ตอนนี้ตัวเขาและเว่ยตงไม่ได้อยู่ในความฝันหรือภาพหลอนใดๆ
มันคือความจริง!
เมื่อมองขึ้นไปข้างบน มีเมฆมืดครึ้มแขวนอยู่ใต้ท้องฟ้าสีดำเข้ม บริเวณรอบตัวเต็มไปด้วยความว่างเปล่า หญ้ารกร้างสูงครึ่งตัวเติบโตแซมอยู่บนดินโล่ง กลิ่นคาวของดินและฝุ่นฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศ และห่างออกไปไม่ไกล มีหมู่บ้านเล็กๆ ที่ดูร้างและเงียบเหงาตั้งอยู่
นี่เป็นส่วนหนึ่งของฉากในภาพวาดที่เพิ่งเห็นไปเมื่อครู่!
ส่วนภาพวาดในส่วนอื่น เค่อชุนยังไม่ได้มีโอกาสมองให้ชัดเจน ...หรือจะพูดว่า เขาแกล้งไม่มอง ไม่อยากหรือไม่กล้าที่จะมอง
เขาจำได้เพียงว่า ในมุมสายตาของเขาเมื่อครู่ ราวกับว่าได้เหลือบเห็นอะไรบางอย่าง... ที่น่ากลัว และไม่ควรมีอยู่ในโลกนี้
"เราจะทำยังไงดี?" เว่ยตงถามด้วยความสิ้นหวัง หันมามองเค่อชุน
เค่อชุนก็หันมามองเขาเช่นกัน
เมื่อทั้งสองสบตากัน พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาพร้อมกัน
"เชี่ยเอ้ย!"
เสื้อผ้าที่ทั้งสองสวมใส่อยู่เดิม ไม่รู้ว่าถูกเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไร ตอนนี้พวกเขาต่างสวมเสื้อผ้าฝ้ายหยาบๆ สีขาว ไม่มีดีไซน์ที่ชัดเจน และรองเท้าก็กลายเป็นรองเท้าฟาง
"นี่มันอะไรกัน?! รองเท้า Adidas ของฉันล่ะ?!" เว่ยตงโกรธจนความกลัวในใจถูกลืมไปชั่วคราว เขาหันไปมองรอบๆ อย่างต้องการคำตอบ
"ชู่ว..." เค่อชุนใบ้ให้เว่ยตงสงบลง จากนั้นก้มมองตัวเอง ก่อนจะยกมือขึ้นพยายามถอดชุดนี้ออก แต่ก็พบว่าภายใต้เสื้อผ้าฝ้ายนี้คือร่างกายเปล่าๆ ถอดออกก็จะโป๊เปลือยทันที
ความรู้สึกแปลกประหลาดและไม่แน่นอนมากขึ้นเรื่อยๆ เค่อชุนรู้สึกคอแห้งผาก จึงเลิกพยายามถอดเสื้อผ้า แล้วจับแขนเว่ยตง
"หาอะไรทำให้เราออกไปจากที่นี่ก่อน"
เว่ยตงพยักหน้าด้วยอาการสั่นๆ สายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวกวาดมองไปรอบๆ
เค่อชุนหันกลับไปมองด้านหลัง ด้านหลังเต็มไปด้วยทุ่งรกร้างเช่นกัน ยาวไปจนถึงพื้นที่ที่เป็นความมืดสีเข้มลึกลับ เหมือนกับส่วนของภาพวาดที่มีเฉดสีทึบและความละเอียดไม่ชัดเจน
เค่อชุนไม่แน่ใจว่าถ้าเดินกลับไปทางเดิมจะไปเจอกับอะไร แต่เขามักจะมีสัญชาตญาณที่แม่นยำ...ทำให้เขารู้สึกว่า การเดินกลับไปทางเดิมไม่น่าจะเป็นทางเลือกที่ดี แต่การยืนอยู่ตรงนี้ร้องไห้กับเว่ยตงก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงชี้ไปทางหมู่บ้านข้างหน้า
"ไปดูที่หมู่บ้านกันเถอะ"
.
(จบตอน)