ตอนที่ 12 เหมันต์
ตอนที่ 12 เหมันต์
สวี่จื้อไม่ได้ละสายตาเลย เมื่อมองไปที่แก่นพลัง มันเป็นสีฟ้าอ่อนต้องเป็นพลังชนิดใหม่ เธอต้องการมันมากจริงๆ
เสิ่นจินเหวินไม่ใช่คนเฒ่าคนแก่ที่ใช้อินเทอร์เน็ตไม่เป็น ดังนั้นเธอจึงเคยได้อ่าน และได้ยินเกี่ยวกับนวนิยายวันสิ้นโลกบางเรื่อง ทันทีที่เธอพบของสิ่งนี้ในสัตว์กลายพันธุ์ที่เธอฆ่า เธอก็นึกถึงแก่นคริสตัลในหัวซอมบี้จากนวนิยายเหล่านั้น
ดังนั้นทันทีที่สวี่จื้อพูดเกี่ยวกับพลัง เธอก็นึกถึงของชิ้นนี้ขึ้นมา
ที่เธอกล้าเอามันออกมาแล้วแสดงให้สวี่จื้อดู ก็เพราะสวี่จื้อได้บอกเธอถึงเรื่องที่ดูจากเกี่ยวข้องกันมาก่อน หากสามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูลมากกว่านี้ได้สำหรับเธอก็ถือเป็นเรื่องดี เธอมั่นใจของสิ่งนี้ต้องเป็นของสำคัญ ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมา
สวี่จื้อจะไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนมากนักนับตั้งแต่เธอยังเป็นเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เธอป่วย เธอก็อยู่อย่างโดดเดี่ยว เพราะคนอื่นๆ ในครอบครัวไม่คิดจะพูดอะไรกับเธอมากนัก ทำให้แม้ว่าเธอจะฉลาด แต่ก็ยังเก็บสีหน้าไม่เก่ง แต่เธอก็ไม่ได้คิดจะปิดบังอะไร หากอยู่ต่อหน้าสิ่งที่เธอต้องการจริงๆ
ดังนั้นเธอจึงถามอย่างตรงไปตรงมา “ฉันต้องการของสิ่งนี้ พี่ต้องการแลกเปลี่ยนกับอะไร”
เธอไม่เชื่อว่าเสิ่นจินเหวินไม่รู้ว่าเธอต้องการของสิ่งนี้
แน่นอนว่าเสิ่นจินเหวินก็ไม่ได้ประหลาดใจอะไรมากนัก เธอจึงตอบกลับว่า “บอกข้อมูลทั้งหมดที่เธอรู้เกี่ยวกับพลังต่างๆ มาให้ฉันหน่อย”
ในสายตาของเสิ่นจินเหวิน ข้อมูลนั้นมีความสำคัญมากกว่าของชิ้นนี้จริงๆ เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเธอที่จะรวบรวมข้อมูลด้วยตัวเอง เธอจึงต้องการได้รับข้อมูลในส่วนนี้จากสวี่จื้อ
เมื่อสวี่จื้อได้ยิน เธอก็พูดตอบกลับ “ฉันบอกพี่ได้แค่บางส่วนจากสิ่งที่ฉันรู้จนถึงตอนนี้ แต่มันก็เป็นส่วนที่สำคัญมากสำหรับพี่”
ในมุมมองของสวี่จื้อ ข้อมูลเกี่ยวกับแกนพลังไม่ใช่ข้อมูลที่จำเป็นต้องปกปิดเอาไว้ เพราะคนอื่นๆ จะค้นพบมันไม่ช้าก็เร็วเมื่อเวลาผ่านไป แต่ถึงกระนั้นเธอก็ไม่มีความตั้งใจที่จะบอกข้อมูลทั้งหมด แค่หนึ่งแก่นพลังยังไม่มากพอ เธอต้องเหลือไว้สำหรับการพูดคุยครั้งต่อไป
ตัวอย่างเช่น คราวนี้เธอไม่มีความตั้งใจที่จะบอกเสิ่นจินเหวินถึงข้อมูลเฉพาะของพลังแต่ละชนิด
ในมุมมองของสวี่จื้อ เมืองนี้กำลังเข้าสู่ภาวะหยุดนิ่ง และเป็นไปไม่ได้เลยที่ทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่จะมีตัวช่วยเหมือนกับเธอ เมื่ออาหาร และน้ำร่อยหรอ พวกเขาจะต้องยุ่งอยู่กับการออกไปข้างนอกเพื่อค้นหาสิ่งของประทังชีวิต และพวกเขาจะต้องเสี่ยงชีวิตมากขึ้น และจะต้องมีคนได้พบแก่นพลังจากการล่าสัตว์ประหลาดหรือสัตว์กลายพันธุ์อย่างแน่นอน
ในโลกนี้มีคนฉลาดไม่น้อย จะมีคนที่สามารถคาดเดาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ ‘พลัง’ จากสีของแก่นพลังที่แตกต่างกันได้อย่างแน่นอน
ในความเป็นจริงจะต้องมีคนที่เต็มใจลองเสี่ยง และได้ล่วงรู้ความลับของมัน
สวี่จื้อไม่มีแผนที่จะติดต่อกับผู้คนมากขึ้นในระยะสั้น เธอต้องการมุ่งความสนใจไปที่การพัฒนาความแข็งแกร่งของตัวเอง เธอจึงมีการคาดเดาอย่างกล้าหาญว่าอาจจะใช้เวลาไม่นานก่อนที่ระเบียบใหม่จะเกิดขึ้นในเมืองที่ปิดตายแห่งนี้ ผู้แข็งแกร่งจะได้รับความเคารพ
เมื่อถึงเวลานั้น เงินก็จะไร้ประโยชน์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และสิ่งใดละ ที่มีค่า และเหมาะสมจะเข้ามาแทนที่
พอจะเดาได้ไม่ยาก จะต้องเป็นแก่นพลังอย่างแน่นอน
นั่นทำให้เธอต้องการเก็บข้อมูลที่สำคัญที่สุดเพื่อแลกกับผลประโยชน์ที่มากขึ้น ในขณะนี้ เธอเต็มใจที่จะบอกบางส่วนกับเสิ่นจินเหวิน เพื่อแสดงให้เห็นถึงความปรารถนาดีในการผูกมิตรด้วย
เธอไม่ได้วางแผนที่จะออกไปข้างนอกอีกสักพักใหญ่ และดูเหมือนว่าเสิ่นจินเหวินจะออกไปข้างนอกบ่อยครั้งมาก เธอจึงต้องการให้อีกฝ่ายเป็นแหล่งข้อมูล คอยหาข่าวให้แทน
ดังนั้น เธอจึงมองไปที่เสิ่นจินเหวินแล้วพูดต่อ "พี่ควรรู้ว่าแค่ของสิ่งนั้นก้อนเดียว ยังไม่มีค่าพอมากที่จะให้ฉันบอกข้อมูลทั้งหมดได้ มูลค่าของสิ่งที่ฉันรู้ สูงกว่านั้นมาก"
“ดังนั้น พี่ต้องทำบางอย่างเพื่อชดเชยส่วนที่ขาดไป”
“แต่ฉันก็ไม่ได้จะขออะไรมาก ฉันแค่ขอให้พี่ช่วยบอกถึงสิ่งที่พี่ได้พบเจอเมื่อออกไปข้างนอก”
“เมื่อฉันยืนยันได้ว่าพี่พูดความจริง และเราสนิทกันกว่านี้ ฉันจะบอกข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และรวมถึงข้อมูลสำคัญต่างๆ ให้พี่ทราบ ซึ่งข้อมูลเหล่านั้น คนอื่นๆ ไม่มีทางล่วงรู้ได้ด้วยตัวเองอย่างแน่นอน”
ข้อมูลที่เธอจะบอกครั้งต่อไป ย่อมเป็นรายละเอียดของแกนพลังสีฟ้าอ่อนนี้โดยธรรมชาติ เธอจึงจำเป็นต้องได้รับมันมาก่อน และอ่านคำบรรยายจึงจะรู้ว่ามันเป็นพลังชนิดใด
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เสิ่นจินเหวินก็เงียบไปนาน ไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ แต่เธอก็พยักหน้าเพื่อตอบตกลง “งั้นก็ได้”
หลังจากพูดจบ เธอก็ยื่นมือออกไป มอบแก่นพลังในมือให้สวี่จื้อ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงไมตรีจิต
สวี่จื้อยิ้มเมื่อเห็นสิ่งนี้ แม้เสิ่นจินเหวินจะไม่ค่อยพูด แต่ก็มีความเด็ดขาดในการตัดสินใจเรื่องต่างๆ คนแบบนี้เป็นคู่ค้าที่ดี และเชื่อถือได้
เมื่อคิดเช่นนี้ สวี่จื้อรับแก่นพลัง และมองไปที่มัน “ของสิ่งนี้ มันถูกเรียกว่าแก่นพลัง’
“พลังทั้งหมดแบ่งออกเป็นแปดสาย และสีของแก่นพลังแต่ละก้อน ก็แสดงให้เห็นถึงพลังที่แตกต่างกัน สำหรับรายละเอียดเฉพาะเจาะจง หรือความสามารถเฉพาะตัวของมัน ฉันยังไม่สามารถบอกพี่ได้ในตอนนี้ เพราะคุณค่าของมันยังสูงเกินไป”
“เพื่อเป็นหลักฐาน ฉันมีบางสิ่งให้ดูเหมือนกัน”
สวี่จื้อหยิบแก่นพลังสีเหลืองอ่อนที่เธอใส่ไว้ในกระเป๋าตั้งแต่ก่อนหน้านี้ออกมา "นี่คือหนึ่งในแก่นพลังที่มีฉันมี"
เมื่อเสิ่นจินเหวินเห็นแกนพลังคมมีด เธอก็เชื่อคำพูดของสวี่จื้อมากยิ่งขึ้น หลังจากที่สวี่จื้อถือให้เห็นสักพักหนึ่ง เธอก็เก็บแก่นพลังทั้งสองก้อนเข้าไปในกระเป๋า
“ข้อมูลที่สำคัญที่สุดที่ฉันสามารถบอกได้ก็คือ เราทุกคนจะถูกดึงดูดด้วยพลังที่เหมาะสมที่สุดกับตัวเองมากที่สุด ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงที่พี่จะเข้ากันได้กับพลังที่อยู่ในแก่นพลังสีฟ้าอ่อนนี้”
“แต่หากต้องการดูดซับมัน พี่ต้องทราบวิธีการเฉพาะ อีกอย่างการดูดซับพลังที่ไม่เหมาะสมกับตัวเองทำให้ถึงตายได้ หากพี่ต้องการรู้มากกว่านี้ พี่ก็ต้องแสดงความจิตใจให้ฉันเห็นก่อน”
“นั่นคือทั้งหมดที่ฉันพอจะบอกได้ในตอนนี้”
สวี่จื้อวาดฝันให้เสิ่นจินเหวินในระหว่างการพูดคุย เธอยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะใช้แก่นพลังอย่างไร ดังนั้นจึงถือว่าเป็นคำพูดกึ่งจริงกึ่งหลอก
โชคดีที่ข้อมูลที่สวี่จื้อเปิดเผยจนถึงขณะนี้ ‘คุ้มค่าเงิน’ แล้วในสายตาของเสิ่นจินเหวิน
ตอนนี้ในสายตาเธอ สวี่จื้อเปลี่ยนจาก ‘เด็กสาวที่แปลกประหลาดและอันตราย’ ไปเป็น ‘เด็กสาวลึกลับที่รู้มาก’
เมื่อเปิดประตูให้สวี่จื้อ ความไว้วางใจของเสิ่นจินเหวินที่มีต่อเธออาจเป็นเพียง 10% ถึง 20% ในระดับนั้นไม่ใช่เรื่องของความไว้วางใจหรือไม่ไว้วางใจ แต่เป็นการเดิมพันมากกว่า
ในเวลานี้ ความไว้วางใจของเธอที่มีต่อสวี่จื้อเกิน 50% ซึ่งอาจรวมถึงความจริงที่ว่า ‘วันสิ้นโลก’ ในเมืองหยุนเพิ่งเริ่มต้นขึ้น และความไว้วางใจระหว่างผู้คนจึงยังพอมีเหลืออยู่
เมื่อพิจารณาจาก ‘ความมีน้ำใจ’ ของสวี่จื้อแล้ว เสิ่นจินเหวินก็บอกถึงสิ่งที่เธอพบเจอตลอดหลายวันที่ผ่านมาก แต่จริงๆ แล้วก็ไม่ได้มีข่าวอะไรมาก และเกือบทั้งหมดก็วนเวียนอยู่บริเวณแถวนี้ ทำให้เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ข้อมูลที่สวี่จื้อบอกจึงยังมีคุณค่ามากกว่า
ดังนั้นเธอจึงไม่ขอให้สวี่จื้อพูดอะไรต่อ
แต่เมื่อให้คงความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน สวี่จื้อจึงบอกข้อมูลบางอย่าง เมื่อเธอเห็นว่าข่าวที่ได้รับมากนั้นมีค่ามากพอ
พวกเธอสองแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน และกล่าวอำลากันหลังจากนั้นไม่นาน
หลังจากกลับมาถึงบ้านหลังใหม่ สวี่จื้อก็หยิบเครื่องเกมขึ้นมา และควบคุมโก้วจื่อให้ออกล่า แต่ในเวลานั้นเอง เธอก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีบางอย่างที่ทำก่อน
เธอจึงหยิบแก่นพลังสีฟ้าอ่อนขึ้นมา แล้วส่งมันเข้าไปในเกม
หลังจากสวี่จื้อเปิดคลังเก็บของ เธอก็คลิกไปที่มันเพื่อดูรายละเอียด
จากนั้น ก็มีคำปรากฏขึ้นข้างๆ [ เหมันต์ ]
[ ขอแสดงความยินดีด้วย คุณได้รับแก่นพลังก้อนใหม่ พลังในนั้นแตกต่างออกไป คุณต้องการทราบรายละเอียดเกี่ยวกับมันหรือเปล่า”
สวี่จื้อกดปุ่ม จากนั้น หน้าเจอเกมก็เปลี่ยนไป
[ เหมันต์ : สัญลักษณ์แห่งความเงียบงัน จุดจบ และสิ่งต่างๆ ที่ยังไม่เลือนหายไปจนหมดสิ้น ]
[ ความตาย ความทรงจำ ความเงียบ ความพินาศ ความหนาวเย็น จุดสิ้นสุด และความอ่อนแอ บางครั้งความเงียบนั้นก็เป็นสิ่งทำให้ตระหนักรู้ถึงจุดจบของตนเอง ]
สวี่จื้อขมวดคิ้วขณะที่เธออ่านคำบรรยาย พูดตามตรง เธอไม่ค่อยเข้าใจมากนักว่าทำไมเสิ่นจินเหวินจึงถูกดึงดูดด้วยพลังนี้ และแน่นอนว่าเธอมั่นใจว่าไม่เกี่ยวข้องกับ ‘ความอ่อนแอ’ อย่างแน่นอน คำอธิบายมันดูผิวเผิน ดูเหมือนว่ากว่าจะจับจุดได้ เธอต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับแก่นพลังมากกว่านี้
เมื่อถึงตอนนั้น บางทีเธออาจจะได้รู้ว่าแต่ละคนจะเหมาะสมกับพลังชนิดใด จากการมองดูเสิ่นจินเหวินเป็นตัวอย่าง
ด้วยเหตุผลบางอย่าง เมื่อสวี่จื้อมองดูคำอธิบายของแก่นพลังเหมันต์ เธอรู้สึกว่าพลังของมันค่อนข้างเป็นกลาง ไม่เหมือนกับแก่นพลังมอธ ที่แค่ดูคำอธิบายก็สามารถบอกได้ทันทีถึงจุดสำคัญ รวมถึงแก่นพลังคมมีดที่รู้ได้ไม่ยากว่าพลังในนั้นเน้นไปที่การต่อสู้อย่างแน่นอน
สิ่งนี้ทำให้สวี่จื้อมีความอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นเกี่ยวกับแก่นพลังต่างๆ
แต่ก่อนหน้านั้น เธอต้องทำการทดลองก่อนเพื่อทดสอบว่ามันต้องใช้งานอย่างไร
สวี่จื้อหยิบแกนพลังคมมีดออกมาจากกระเป๋า จากนั้นมองไปที่เสี่ยวอี้ “อ้าปาก”
เสี่ยวอี้ที่นอนอยู่บนฟื้น เมื่อได้ยินเสียงของสวี่จื้อ ก็อ้าปากอย่างว่าง่าย เธอจึงโยนแก่นพลังเข้าไปในปากมันแล้วพูดต่อว่า “กินมันซะ”
ใช่ การทดลองที่เธอต้องการทำนั้นง่ายมาก เธอต้องการดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับแฟมิเลียหลังจากที่พวกมันกินแก่นพลังที่เกี่ยวข้องกับตัวเองลงไป พวกมันจะสามารถย่อยพลังในนั้นได้หรือเปล่า
มันเป็นความคิดที่เรียบง่าย และหยาบมาก แต่เสี่ยวอี้ก็บังเอิญอยู่ที่นี่พอดี ดังนั้นมันจึงเป็นตัวทดลองที่สมบูรณ์แบบ
มันสำคัญมากสำหรับสวี่จื้อที่จะต้องหาวิธีใช้แก่นพลังโดยเร็วที่สุด ท้ายที่สุดแล้ว เธอมีแก่นพลังที่สอดคล้องกับตัวเธอเองอยู่ในมือ
บางทีนี่อาจเป็นกุญแจสำคัญในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของตัวเธอเองก็เป็นได้
สวี่จื้อเฝ้าดูเสี่ยวอี้พลังกินแก่นพลังลงไป หลังจากนั้นห้าวินาที เสี่ยวอี้ก็หลับตาลง ราวกับว่ามันเข้าสู่สภาวะเหมือนจำศีล
เมื่อเห็นสิ่งนี้ สวี่จื้อก็หยิบเครื่องเกมขึ้นมาแล้วมองไปที่หน้าจอ