ตอนที่ 11 แลกเปลี่ยนข้อมูล
ตอนที่ 11 แลกเปลี่ยนข้อมูล
เสิ่นจินเหวินเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว เมื่อเธอออกมา สายตาของเธอจับจ้องไปที่แก้วน้ำ เธอไม่รู้สึกแปลกอะไร เมื่อพบว่าสวี่จื้อไม่ได้ดื่มน้ำ เพราะหากเป็นตัวเธอเองก็คงจะทำแบบเดียวกัน
มีเลือดติดอยู่บนผมของเธอมากมาย แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาจะไปอาบน้ำ เธอจึงแค่เช็ดทำความสะอาดมันด้วยผ้าขนหนู แล้วนั่งลงตรงข้ามกับสวี่จื้อโดยพยายามไม่สบตาด้วย และยังตัวแข็งทื่ออยู่เล็กน้อย แต่ก็ยังเอ่ยปากถามออกมาว่า “เธอต้องการแลกเปลี่ยนข้อมูลอะไรกับฉัน”
สวี่จื้อยังไม่ตอบคำถาม และเพื่อทำให้บรรยากาศผ่อนคลาย เธอจึงถามออกไปว่า “พี่สาว ทำไมเราไม่มาแนะนำตัวกันก่อนละ เพราะต่อจากนี้ไปเราจะอาศัยอยู่ที่นี่ด้วยกัน บางทีเราอาจจะได้อีกหลายครั้งก็เป็นได้”
ผ่อนคลายไม่ได้คัดค้านเรื่องนี้ เธอพยักหน้า “ฉันชื่อเสิ่นจินเหวิน ฉันเป็นชาวเมืองหยุน ฉันเพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัย และออกจากเมืองไม่ทันเนื่องจากเหตุผลบางประการ ฉันมีความสนใจเกี่ยวกับอาวุธเย็นตั้งแต่เด็ก และได้ฝึกใช้มันมาไม่น้อย นึกไม่ถึงเลยว่าวันนี้มันจะเป็นประโยชน์จริงๆ”
คำพูดของเสิ่นจินเหวินนั้นกว้างมาก แต่สำหรับคนสองคนที่เพิ่งพบหน้ากัน การพูดแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
หลังจากพูดจบ เธอมองไปที่สวี่จื้อแล้วพูดว่า "แล้วเธอล่ะ?"
สวี่จื้อแนะนำชื่อตัวเองก่อน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสงบ “ไม่ค่อยจะมีอะไรที่ฉันจะเล่าได้มากนัก ก่อนหน้านี้สุขภาพของฉันก็ไม่ค่อยดี ก็เลยถูกทิ้งไว้ที่นี่”
เสิ่นจินเหวินมองสวี่จื้อด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย จริงๆ แล้วเมื่อเธอเห็นสวี่จื้อครั้งแรก เธอก็พอเดาได้ว่าที่เด็กสาวคนนี้ยังอยู่ในเมืองก็เพราะสุขภาพของเธอ แต่สิ่งที่ทำให้เธอประหลาดใจจริงๆ คือ สวี่จื้อดูสงบเกินไป
สวี่จื้อไม่ได้ใส่ใจกับสายตาของอีกฝ่าย แต่มองไปที่เสี่ยวอี้ที่เท้าของเธอแล้วพูดว่า “นี่คือสัตว์เลี้ยงของฉัน อาจกล่าวได้ว่าเป็นพลังวิเศษของฉันก็ว่าได้ มันถูกปลุกให้ตื่นขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ แล้วพี่สาวละ ได้ปลุกพลังหรือเปล่า?”
ในเมื่อสวี่จื้อบอกถึงพลังของตัวเองก่อน เธอก็ไม่รู้จะปฏิเสธยังไง เสิ่นจินเหวินจึงพยักหน้า "ใช่ ฉันก็ได้ปลุกพลังขึ้นเหมือนกัน น่าจะประมาณ 2 วันหลังเมืองถูกปิดตาย พลังของฉันดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับดาบ"
“โอ้? พี่โชคดีจริงๆ มันบังเอิญตรงกับความชอบของพี่พอดีเลย”
สวี่จื้อบอกว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ในใจเธอไม่ได้คิดเช่นนั้นเลย
หลังจากทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน สวี่จื้อก็วางแผนที่จะเปิดการเจรจา โดยใช้การผลัดกันถามตอบ นับตั้งแต่เกิดภัยพิบัติเมื่อครึ่งเดือนก่อน ผู้ที่ถูกทิ้งเอาไว้ในเมืองก็คงมีไม่มากนัก ข้อมูลจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง
“งั้นเรามาแลกเปลี่ยนข้อมูลกันเถอะ เราจะผลัดกันถามตอบ โดยอิงจากคุณค่าของข้อมูลที่แต่ละฝ่ายนำมา การพูดคุยจะสิ้นสุดลง เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรู้สึกว่าไม่คิดว่าจำเป็นต้องถามอะไรอีก”
“แล้วก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องเล็กน้อยๆ ฉันไม่สนใจ อีกอย่าง เรามีเวลาไม่มาก จึงควรพูดถึงเรื่องที่มีประโยชน์กันจะดีกว่า ฉันจะให้พี่เป็นคนเริ่มก่อนละกัน”
น้ำเสียงของเธอดูราบเรียบ แต่คำพูดของเธอดูถูกครอบงำเล็กน้อย ท้ายที่สุดแล้ว เธอคือผู้ที่มีอำนาจเจรจาในตอนนี้ พูดตามตรง นี่ก็ไม่ได้ล้ำเส้นมากเกินไป
เสิ่นจินเหวินซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามสวี่จื้อ เมื่อปล่อยผมแล้วดูอ่อนโยนกว่าตอนแรกที่พบกันเล็กน้อย เมื่อพยายามสังเกตอย่างใกล้ชิด จะพบว่าเธอสวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นแบบสบายๆ แม้แขนของเธอจะดูเรียบเนียน ก็ยังเห็นกล้ามเนื้อที่บ่งบอกได้ว่าเธอออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
สวี่จื้ออดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าเมื่อนึกถึงแขนของตัวเองที่ผอมเบาซึ่งดูเหมือนว่าจะหักได้ง่ายๆ แม้ว่าเธอจะไม่ชอบรูปร่างที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ แต่เธอก็ต้องการให้ตัวเองดูแข็งแกร่งกว่านี้อีกสักหน่อย
ใบหน้าของเสิ่นจินเหวินก็งดงาม คิ้วของเธอค่อนข้างคม และแนวกรามก็ชัดเจนกว่าเด็กสาวทั่วๆ ไป แม้ว่าเธอจะนั่งเงียบๆ เธอก็ยังดูมีพลัง
น้ำเสียงของเธอที่ใช้ตอบคำถามของสวี่จื้อก็ชัดเจน และเต็มไปด้วยความมั่นใจ “ฉันไม่รู้ข้อมูลมากนัก แต่ฉันก็มั่นใจว่าข้อมูลเหล่านั้นมีค่าไม่น้อย”
“ในเมือง มีคนไม่มากนักที่สามารถต้านทานหมอกดำ และคงสติอยู่ได้ ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนถูกกลืนกินไปแล้ว บางคนก็ตาย ส่วนบางคนก็กลายเป็นบ้า คนบ้าเหล่านี้จะพยายามโจมตีคนอื่นๆ ที่มีสติเหลืออยู่อย่างรุนแรง กล่าวได้ว่าพวกเขากำลังตามล่าพวกเรา โดยเฉพาะผู้ปลุกพลัง ยิ่งเป็นเป้าหมายสำคัญ คนบ้าส่วนใหญ่มีไอคิวต่ำ แต่ร่างกายของพวกเขาแข็งแกร่งมาก และจะค่อยๆ กลายเป็นสัตว์ประหลาดมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็มีบางคนที่รักษารูปลักษณ์ของมนุษย์ไว้ได้ คนพวกนั้นค่อนข้างอันตรายมากเลยทีเดียว”
“จากที่ฉันเห็น ดูเหมือนจะมีคนบ้าอยู่สองประเภท ประเภทแรกคือ พวกที่ยังมีสติปัญญา พวกนี้อันตรายมาก ส่วนอีกประเภทคือพวกที่สูญเสียสติปัญญาไปแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะรับมือได้ง่าย พวกเขาได้ปลุกพลังบางอย่างขึ้นเพื่อช่วยกลบจุดอ่อนในข้อนี้”
เมื่อเธอพูด น้ำเสียงของเสิ่นจินเหวินรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย หลังจากพูดจบแล้ว เธอก็มองไปที่สวี่จื้อ และระบุว่านี่คือข้อมูลแลกเปลี่ยนจากฝั่งของเธอ
ข้อมูลนี้เป็นประโยชน์มาก ดูเหมือนว่าเสิ่นจินเหวินมักจะออกไปข้างนอกบ่อยครั้ง และรู้มากกว่าคนอย่างสวี่จื้อที่มักจะอยู่บ้าน
อย่างไรก็ตาม สวี่จื้อยังมีข้อมูลที่คนอื่นยังไม่รู้เช่นกัน
เธอจำแนกสิ่งที่เธอรู้ในใจ และเลือกพูดเพียงบางส่วน “พลังวิเศษทุกอย่างที่เราเห็น ไม่ว่าจะเป็นของมนุษย์ สัตว์ประหลาด หรือสัตว์กลายพันธุ์ ต่างก็เป็นสิ่งเดียวกัน และบางทีอาจมีพลังบางอย่างที่ควบคุมคนบ้าเหล่านั้นอยู่”
สวี่จื้อพูดแค่นี้ และเธอก็คิดว่ามันเพียงพอแล้ว
ก่อนหน้านี้ แม้ว่าผู้ปลุกพลังจะปรากฏตัวมานานกว่าหนึ่งปีแล้ว แต่ก็ไม่มีใครเสนอแนวคิดเกี่ยวกับต้นกำเนิดของพลังมาก่อน ในมุมมองของสวี่จื้อ สิ่งที่เธอพูดออกไปถูกขายในราคาต่ำด้วยซ้ำ
ปัจจุบัน เมืองหยุนถูกปิดตาย ทำให้สูญเสียการติดต่อกับโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง โลกภายนอกอาจตระหนักถึงการมีอยู่ของพลังต่างๆ แต่ในเมืองอาจไม่เป็นเช่นนั้น
สวี่จื้อจึงต้องใช้เรื่องนี้ให้มีประโยชน์มากที่สุดก่อน
“ที่เธอพูด เป็นความจริงเหรอ?”
เสิ่นจินเหวินขมวดคิ้วเล็กน้อย และอดไม่ได้ที่จะถามออกมา สวี่จื้อก็เข้าใจก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการสื่อถึงอะไร เธอจึงพยักหน้า และตอบว่า “แม้ว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้ เมืองนี้เริ่มเปลี่ยนไปเมื่อหมอกมาถึง แค่นี้ก็บอกได้แล้วว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติ”
ด้วยการอิงจากคำอธิบายที่คลุมเครือของเกม สวี่จื้อสงสัยว่าพลังต่างๆ นั้นเกี่ยวข้องกับหมอกดำที่ปกคลุมเมือง และกระจายไปทั่วโลกอยู่
แต่เธอจะไม่บอกเรื่องนี้กับเสิ่นจินเหวินอย่างแน่นอน
เสิ่นจินเหวินเชื่อคำพูดของสวี่จื้อไปแล้วกว่า 70% มีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เธอเชื่อบางรวดเร็ว
เธอหยิบอะไรบางอย่างออกจากกระเป๋า แล้วถือมันไว้ในมือของเธอ เธอมองไปที่สวี่จื้อ แล้วพูดว่า “เธอรู้จักของสิ่งนี้มั้ย?”
ฝ่ามือแบออกอย่างช้าๆ และสิ่งที่อยู่ในมือของเสิ่นจินเหวินก็เป็นสิ่งที่สวี่จื้อคุ้นเคยมาก นั่นทำให้เธอแปลกใจไม่น้อย
มันคือ แก่นพลังสีฟ้าอ่อน