บทที่ 138 การสั่นสะเทือนของค่ายกล
ครั้งนี้ จินเป่าเอ๋อเตรียมการล่วงหน้า นางเปิดค่ายกลป้องกันไว้และใช้กิ่งไม้จากต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของเอลฟ์เป็นศูนย์กลางของค่ายกล!
เนื่องจากการรอให้จินจินฟื้นคืนชีพต้องใช้เวลานาน นางจึงต้องเร่งมือในการเดินทางกลับ เพราะหากปล่อยให้เวลาล่าช้ากว่านี้ การเชื่อมโยงระหว่างค่ายกลกับโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรจะเลือนลางลง และพวกนางอาจจะไม่มีทางกลับบ้านได้อีกเลย
ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับค่ายกลของมนุษย์ บรรดาฟีนิกซ์ต่างจับตามองการทำงานของนางอย่างใกล้ชิด จนกระทั่งค่ายกลเรืองแสงสว่างขึ้น ท้องฟ้าเกิดรอยแยกและพลังวิญญาณทั่วป่าถูกดึงเข้ามากลายเป็นพายุหมุน…
ภายในค่ายกล จินเป่าเอ๋อและพวกพ้องถูกยกขึ้นสู่อากาศ ขณะนั้นเอง นางนึกอะไรบางอย่างได้ จึงโบกมือลงไปเบื้องล่างทันที สิ่งที่ตามมาคือก้อนหินทรงไข่ขนาดใหญ่กว่า 30 ก้อนหล่นจากฟากฟ้าลงมา กระแทกพื้นดังสนั่น…
เสียงดังทำให้ฟีนิกซ์ที่เกาะอยู่บนต้นไม้ต้องรีบกระโดดหลบ เมื่อพวกมันกำลังจะโกรธจัดและเงยหน้าขึ้นมา ก็ได้ยินเสียงแว่วมาจากที่ไกลๆ
“เกือบลืม! การเดินทางไปยังป่าหลุดลอยทำให้พบสิ่งนี้ จึงนำกลับคืนให้แก่เผ่าฟีนิกซ์…”
ชางอู่ได้ยินเช่นนั้นก็เงยหน้าขึ้นอย่างไม่เชื่อสายตา ทว่าท้องฟ้ากลับปิดสนิทลงอีกครั้ง และร่างของผู้ที่จากไปก็หายลับไปในความเงียบงัน
“หัวหน้าเผ่า…สิ่งเหล่านี้หรือว่าเป็น?”
ชายหนุ่มในชุดน้ำเงินเดินเข้ามา ใบหน้าที่อ่อนโยนเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น!
เขาเคยมีช่วงวัยเด็กที่ลำบากอย่างมาก ร่างกายอ่อนแอจนเกือบกลายเป็น "ไข่ตาย" ใช้เวลานับร้อยปีจึงจะสามารถฟักออกมาได้สำเร็จ และมารดาของเขาที่เสี่ยงชีวิตเข้าไปในป่าหลุดลอยเพื่อช่วยเหลือเขาก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย
ก้อนหินทรงไข่ขนาดใหญ่เหล่านี้คงจะเป็นบรรพชนฟีนิกซ์ที่เข้าป่าหลุดลอยและไม่สามารถกลับออกมาได้ตลอดหลายพันปี!
คางอู่พยักหน้าอย่างตื่นเต้น มือที่สั่นเทาแตะลงบนเปลือกไข่อย่างเบามือ ดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งซาบซึ้งและตื่นเต้น
“จินเป่าเอ๋อ…หนี้บุญคุณนี้ เผ่าฟีนิกซ์ของเราติดค้างเจ้า!”
……
ในระหว่างทางกลับ พายุอันรุนแรงโหมกระหน่ำอย่างไม่หยุดยั้ง…
การสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงทำให้พวกเขาทั้งหมดโอนเอนไปมา ค่ายกลส่งตัวต้องเผชิญกับวิกฤตที่จะพังทลายลงแทบทุกขณะ!
จินเป่าเอ๋อกัดฟันแน่น คอยประคับประคองค่ายกลป้องกัน ขณะที่ฟีนิกซ์ที่นำทางยังคงเสถียร ไป๋ไป๋ก็แนบชิดค่ายกลโปร่งใสเพื่อส่งพลังวิญญาณช่วยเสริมพลัง ทว่าท่านเทียนซูที่เพิ่งถูกปล่อยตัวออกมากลับโอนเอนไปมาหาที่มั่นคงไม่ได้เลย!
ทันใดนั้น สายฟ้าฟาดลงมาอย่างรุนแรงกระแทกเข้ากับค่ายกล ไป๋ไป๋กรีดร้องด้วยความตกใจและหยุดส่งพลังวิญญาณทันที ส่งผลให้ค่ายกลสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงและเกือบพังทลายลง!
ไม่มีเวลาลังเล จินเป่าเอ๋อหยิบกิ่งไม้จากต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ออกมา ในทันทีที่กิ่งไม้ถูกใช้ พลังแห่งชีวิตจำนวนมากก็พลุ่งพล่านออกมา ซ่อมแซมค่ายกลที่กำลังแตกสลายได้อย่างรวดเร็ว และพลังวิญญาณมหาศาลก็ไหลเข้าสู่ร่างของนาง…
ทว่า เมื่อก่อนหน้านี้ นางเคยดูดซับพลังวิญญาณจากบ่อน้ำแข็งในป่าหลุดลอยไปแล้ว การเติมเต็มพลังครั้งใหม่นี้ทำให้เกิดแรงกดดันภายในทันที ผลักดันให้นางเลื่อนขั้นพลังขึ้นอีกระดับ…
การเลื่อนขั้นอย่างฉับพลันนี้ทำให้จินเป่าเอ๋อแทบจะร้องออกมาด้วยความตกใจ! นางพยายามควบคุมพลังที่พลุ่งพล่านในร่าง แต่พลังวิญญาณยังคงไหลเวียนอย่างบ้าคลั่งภายใน รุกล้ำไปทั่วร่างของนาง ส่งผลให้นางก้าวเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นปลายของฮวาชิน
นางใช้มือข้างหนึ่งประคับประคองค่ายกลป้องกัน ขณะที่อีกข้างจับกิ่งไม้ไว้แน่น ราวกับตันเถียนที่แห้งผากของนางเจอแหล่งพลังที่อุดมสมบูรณ์ มันจึงดูดซับพลังอย่างบ้าคลั่ง…
ดูดซับ เติมเต็ม ใช้พลังจนหมด แล้วดูดซับใหม่ วนเวียนซ้ำไปซ้ำมาเช่นนี้จนพลังในร่างกลับมาเสถียรอีกครั้ง แต่กิ่งไม้ในมือที่เคยสดเขียวก็กลับแห้งเหี่ยวไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นเหมือนกิ่งไม้แห้งที่พบในที่อื่น…
เมื่อแสงสว่างจ้าปกคลุมทุกสิ่ง โลกทั้งใบสว่างจ้าจนเจิดจ้า จินเป่าเอ๋อก็หมดสติไป โดยที่มือยังคงจับกิ่งไม้นั้นไว้แน่น
ที่โลกแห่งการบำเพ็ญเพียร…
ในสำนักแห่งหนึ่ง ชายชราผมขาวพลันลืมตาขึ้นทันใด! ดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและตื่นตระหนก!
“นี่มัน…การสั่นสะเทือนของค่ายกลหรือ”
ไม่น่าเป็นไปได้! ตั้งแต่ห้าปีก่อนที่จินเป่าเอ๋อ ผู้บำเพ็ญเพียรที่ทำให้ทั่วทั้งดินแดนตะลึงงัน ได้บินขึ้นสู่สวรรค์กลางวันแสกๆ ค่ายกลของโลกแห่งนี้ก็สงบลง ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ แต่เมื่อครู่…เขาไม่มีทางทำนายผิดแน่!
ใครกัน ใครที่มีพลังถึงเพียงนี้
ชายชราเริ่มคำนวณซ้ำไปซ้ำมา และผลลัพธ์ที่ได้ทำให้เขาเบิกตากว้าง!
“นี่มัน…เป็นไปได้ยังไง เผ่ามารกลับมาแล้วงั้นหรือ?!”
ไม่กี่อึดใจหลังจากนั้น เขาก็เปิดประตูใหญ่ด้วยความรวดเร็วและพุ่งตรงไปยังห้องโถงกลาง! ศิษย์ของสำนักล้วนเงยหน้าขึ้นมองดูท่านอาจารย์ของตน ด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“รีบแจ้งข่าวไปยังประมุขสำนักอื่นๆทันที! มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น!”
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ในห้องลับของสำนัก กระจกใสที่ตั้งขึ้นปรากฏเงาของประมุขสำนักระดับสูงทั้งหลายที่อยู่ในโลกของการบำเพ็ญ...
ประมุขของสำนักเพียวเมี่ยวกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงสงสัย "เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ท่านผู้เฒ่าเต๋า"
ทันทีที่คำพูดของเขาดังขึ้น ทุกสายตาก็หันไปมองยังชายชราผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ที่ปลายห้อง… เขาคือผู้ฝึกขั้นรวมร่าง เต๋าเทียนฉี!
สีหน้าของท่านเคร่งเครียดจนยากจะบรรยาย คิ้วขมวดแน่น และมีความวิตกกังวลซ่อนอยู่
"ท่านประมุขทุกท่าน ข้าจะพูดอย่างตรงไปตรงมา! วันนี้ขอบเขตของโลกบำเพ็ญสั่นสะเทือน ข้าจึงได้ตรวจสอบทันทีและทำการคำนวณ… โลกบำเพ็ญอาจจะมีภัยใหญ่เกิดขึ้นแล้ว!" คำพูดนี้ทำให้ทุกคนตกตะลึง สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนเป็นซีดเซียว
"ขอบเขตสั่นสะเทือนหรือ เป็นไปได้อย่างไร ใครมีพลังมากพอที่จะทำได้"
ท่านเต๋าเทียนฉีส่ายหัวอย่างหนัก...
"จากการคำนวณ ข้าคิดว่าคงจะเกี่ยวข้องกับเผ่ามาร… ครั้งนี้โลกฝึกฝนพลังอาจจะต้องเผชิญกับภัยอันใหญ่หลวง! แต่ยังพอมีเส้นทางรอดบางประการอยู่บ้าง แต่ก็ความหวังน้อยมากจนเกือบจะไร้ความหวัง…"
"เผ่ามารหรือ หรือว่าพวกมันจะกลับมาโจมตีอีกหรือ ตอนนี้ในโลกบำเพ็ญมีผู้ฝึกขั้นรวมร่างถึงสามคน ขณะที่เผ่ามารมีแค่เพียงหนึ่งเดียว! พวกมันจะกล้ามาโจมตีได้อย่างไร"
ผู้พูดคือประมุขของสำนักหลงหวงหลีซิง! ท่านพูดด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยและไม่ค่อยพอใจ
ทันใดนั้น ทุกคนก็คิดถึงสงครามเมื่อหลายปีก่อนที่มีผู้ฝึกขั้นรวมร่างสามคนที่สามารถคุมขังเผ่ามารได้ ทุกคนหันไปมองที่ท่านเต๋าเทียนฉี
แต่ชายชราก็ส่ายหัว สีหน้าของท่านเต็มไปด้วยความขมขื่น… รอยยิ้มที่มุมปากของท่านเต็มไปด้วยความเศร้าและซับซ้อน
"ข้าจะพูดความจริงกับพวกท่าน..หลังจากสงครามนั้นไม่นาน ผู้ฝึกขั้นรวมร่างงท่านหนึ่ง…ก็ได้มรณภาพไปแล้ว! ครั้งนั้นเราเก็บเรื่องนี้ไว้เพื่อไม่ให้เผ่ามารรู้"
หมายความว่า ตอนนี้ในโลกนี้มีแค่เขากับเซียนจุนเท่านั้นที่เป็นผู้ฝึกขั้นรวมร่าง ไม่มีผู้ใดอื่นแล้ว! และตอนนีเผ่ามารได้เริ่มกลับมาอย่างดุเดือดอีกครั้ง อาจจะมีข่าวรั่วออกไปแล้ว
ทันใดนั้น ทุกคนรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าลงกลางใจ! ทุกคนต่างตกตะลึงและสีหน้าหมองคล้ำ
"กลัวทำไมล่ะ ถึงจะมีแค่สองคนของเรา แต่พวกมันมีแค่หนึ่งเดียว… ถ้าเกิดการต่อสู้จริงๆ ใครแพ้ใครชนะก็ยังไม่แน่!"
ท่านประมุขของสำนักตี้หยุ่นจง โหม๋กันตัง ที่เงียบมานานก็พูดขึ้นด้วยท่าทีไม่พอใจ และจ้องมองไปยังสีหน้าที่ไม่ค่อยดีของเซียวไป๋ซาน รอยยิ้มที่มุมปากของท่านเต็มไปด้วยความหมายบางอย่าง
ทุกคนหันไปมองเซียวไป๋ซาน ก่อนที่ยังไม่ทันได้ถอนหายใจ เซียวไป๋ซานจึงพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า
"เซียนจุนเขา… สถานการณ์ไม่ค่อยดีนะ!"