ตอนที่ 9 เสิ่นจินเหวิน
ตอนที่ 9 เสิ่นจินเหวิน
อากาศข้างนอกค่อนข้างเย็น แต่ก็ไม่มีกลิ่นแปลกๆ ดูเหมือนเมื่อถูกล้อมรอบด้วยหมอกดำ กลิ่นเหม็นต่างๆ ก็จางหายไปพร้อมผู้คนที่อพยพออกไป ทิ้งซากเมืองร้างไว้เบื้องหลัง
สวี่จื้อสูดดมหมอกเบาๆ มันไม่มีกลิ่น แต่เธอก็ยังระวัง และควบคุมความคิดของตัวเองให้หายใจช้าลง ในตอนแรกเธอรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ราวกับว่ามีอะไรกดทับอยู่ จนแทบจะไม่ไหว แต่หลังจากหายใจลึกๆ ไปสองสามครั้ง ความรู้สึกนี้ก็บรรเทาลง ราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างในร่างกายของเธอได้รับการเติมเต็ม และเธอก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเบาขึ้นเล็กน้อย
นี่มันแปลกมาก แม้จะแปลกแค่นิดหน่อยก็ตาม แต่ก็สวี่จื้อเป็นคนคิดมาก เธอกลัวว่าเสียสติเร็วขึ้นหากสูดหมอกเข้าไปมากเกินไป แต่ตอนนี้ก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว เธอต้องฝ่าหมอกไป มันจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะสูดไอหมอกเข้าไปใจร่างกาย และเมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งเหล่านี้ อันตรายที่อาจซุ่มซ่อนอยู่รอบตัวทำให้เธอกังวลใจมากกว่า
เมื่อมาถึงจุดนี้ สวี่จื้อก็ทำได้เพียงระวังมากขึ้นเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงรอบตัว เมื่อตัดสินเดินหน้าแล้ว กังวลไปก็ไม่มีประโยชน์
บนถนนเงียบเชียบมาก ได้ยินเพียงเสียงแผ่วเบาของเสี่ยวอี้ที่เลื้อยบนพื้น ไม่มีไฟถนนสักดวงติด แต่สวี่จื้อก็ยังมองเห็นเส้นทางข้างหน้าได้อยู่ นี่ทำให้เธอแปลกใจไม่น้อย
หรือแสงจันทร์จะทะลุผ่านหมอกได้?
แต่แสงอาทิตย์ไม่สามารถทะลุผ่านหมอกดำหนาทึบได้หมด แล้วทำไมแสงจันทร์จึงทำได้?
ถึงจะเป็นคำถามที่ควรหาคำตอบ แต่สวี่จื้อไม่ได้ครุ่นคิดกับเรื่องนี้นานเกินไป จากการเรียนด้วยตนเองเป็นเวลาหลายปี เธอตระหนักได้ถึงเรื่องหนึ่ง นั่นคือหากมีสิ่งใดที่ไม่เข้าใจ ก็ให้พักเอาไว้ก่อน
ถนนในตอนเช้าเงียบเกินไปสักหน่อย สวี่จื้อเดินทางมานานกว่าสิบนาทีแล้วก็ยังไม่พบอันตรายใดๆ ดูเหมือนว่าสัตว์ประหลาดทุกตัวในบริเวณนี้จะกำลังหลับใหลอยู่
ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีในการเดินทางจากบ้านเดิมของเธอไปยังย่านเมืองเก่าด้านหลังหอนาฬิกา เธอได้ควบคุมหมาให้ไปสังเกตสถานการณ์ และหาที่พักไว้ก่อนแล้ว เจ้าของบ้านดูเหมือนจะรีบอพยพจนลืมปิดประตู เธอจึงวางแผนจะ ‘ยืม’ บ้านหลังนั้นเป็นการชั่วคราว
มันไม่สำคัญว่าเธอไม่มีกุญแจ เพราะไม่ว่ายังไง เธอก็ไม่คิดจะออกไปข้างนอกอยู่แล้ว
เป็นไปไม่ได้ที่ผู้คนที่ออกจากเมืองจะกลับมาในภายหลังเพราะเมืองได้ถูกปิดตายไปแล้ว ย่านเมืองเก่าจึงถูกเป็นตัวเลือกที่ดีในการหาที่พักชั่วคราว
สวี่จื้อคิดขณะเดินทางต่อไปข้างหน้า เมื่อเธอผ่านมุมๆ หนึ่ง ก่อนจะได้ยินเสียงหรือรับรู้ได้ถึงอะไร เธอก็ได้เห็นเสี่ยวอี้พุ่งไปทางซ้ายอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า แล้วอ้าปากกัดไปหมาตัวหนึ่งที่เหมือนกับกำลังรอซุ่มโจมตีอยู่
การฆ่าจบลงอย่างเงียบๆ ทั้งเสี่ยวอี้และหมาที่ถูกกัดจนตายในทันทีนั้นไม่ได้ส่งเสียงดังอะไรมากนัก และถูกกลืนเข้าไปทั้งตัว
ส่วนหนึ่งของร่างโตใหญ่ของเสี่ยวอี้นูนเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ามันเพิ่งกลืนเหยื่อทั้งเป็น แต่ในวินาทีถัดมา รูปลักษณ์เดิมของมันก็กลับคืนมา และยังคงเฝ้าดูสภาพแวดล้อมรอบๆ ราวกับสิ่งนี้เป็นปกติธรรมดา
เมื่อเห็นแบบนี้ สวี่จื้อก็ตระหนักได้ว่าเสี่ยวอี้ที่ชอบอ้อนเหมือนสัตว์ตัวเล็กๆ เป็นนักล่าที่ยอดเยี่ยมจริงๆ
มันทำให้ความกังวลในใจของเธอลดลงเล็กน้อย เธอรู้สึกโล่งใจมากขึ้น ต้องยอมรับจริงๆ ว่ามันทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยมากขึ้นจริงๆ
ความแข็งแกร่งของเธอน่าจะพอๆ กับหมาตัวนั้น หากเสี่ยวอี้ไม่ฟังคำสั่ง มันคงจะไม่ต้องใช้ความพยายามมากนักในการสังหารเธอ เมื่อสวี่จื้อเห็นว่าเสี่ยวอี้เชื่อฟังเพียงใด เธอก็รู้สึกใกล้ชิดกับมันมากยิ่งขึ้น
ระหว่างทางที่เหลือไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นอีก เธอถูกนำทางโดยเสี่ยวอี้ และมาถึงย่านเมืองเก่าอย่างราบรื่น
สวี่จื้อไม่สามารถรับประกันได้ว่าที่แห่งนี้จะปลอดภัย แต่ถ้าให้พูดตรงๆ ไม่ควรมีสถานที่ปลอดภัยเหลืออยู่ในเมืองนี้ เหตุผลที่เธอเลือกที่นี่ก็เป็นเพราะหมาที่เป็นแฟมิเลียอีกตัวของเธอก็อยู่แถวนี้
หลังเดินเข้าไปตึกหลังหนึ่ง สวี่จื้อก็ต้องหยุดหน้าบันได เนื่องจากเป็นตึกเก่า มันจึงไม่มีลิฟต์ ดังนั้นเธอจึงต้องให้เสี่ยวอี้ช่วยยกรถเข็นขึ้นไปให้
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เธอหยุด เธอก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาดังมาจากทางเดิน คล้ายกับเสียงฝีเท้าของใครบางคนที่กำลังลงมาที่ชั้นล่าง
เธอเตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ว่ายังไงเธอก็ต้องการให้เสี่ยวอี้ทำการเก็บกวาดพื้นที่รอบๆ ก่อนจะย้ายเข้าบ้านใหม่
แต่คิดไม่ถึงเลยว่า วันแรกที่เธอมาถึง เธอจะได้เห็นคนที่ดูเป็นปกติ เป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
เสิ่นจินเหวินลงมาจากชั้นบน และเธอก็ได้พบกับสวี่จื้อที่เพิ่งเข้ามา โดยยังนั่งบนรถเข็นอยู่
เนื่องจากตอนนี้อยู่ในตึก หมอกจึงไม่หนาเท่ากับด้านนอก แสงสลัวๆ ทำให้สวี่จื้อมองเห็นคนที่ยืนอยู่บนบันไดได้เล็กน้อย ซึ่งสูงประมาณ 1.75 เมตร ไว้ผมหางม้าสูง สวมชุดกีฬา ดูเหมือนกับนักศึกษาวิทยาลัย ทันทีที่อีกฝ่ายเห็นเธอ ก็หยุดเดิน และมองดูเธออย่างระมัดระวังเช่นกัน
ดวงตาไม่ดำ และการแสดงออกก็เหมือนกับที่คนปกติทำกัน มีความระมัดระวัง และความสงสัยหลังพบคนแปลกหน้า โดยเฉพาะความกลัว และความกังวลใจที่แสดงออกมาเมื่อเห็นเสี่ยวอี้
ถึงกระนั้น สวี่จื้อก็ไม่ผ่อนคลายความระมัดระวังของตัวเองลง
เธอพอเดาได้ว่าอีกฝ่ายอาจจะอยู่ในอารมณ์ที่ซับซ้อนในขณะนี้ ท้ายที่สุดแล้ว การรวมกันของเด็กสาวบนรถเข็น และงูหลามก็ค่อนข้างแปลกเกินไป
ทางเดินเงียบไปครู่หนึ่ง ทั้งสองฝ่ายมองตากัน แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไร สำหรับเสิ่นจินเหวินที่ยืนอยู่ชั้นบน เธอยังยืนอยู่ที่เดิมไม่กล้าขยับไปไหน ส่วนใหญ่เป็นเพราะเสี่ยวอี้ที่เป็นงูตัวใหญ่ และดูน่ากลัว เธอจึงไม่กล้าแสดงท่าทีอะไรที่หุนหันพลันแล่น
จนกระทั่งสวี่จื้อริเริ่มควบคุมรถเข็น และถอยไปข้างๆ ยอมเปิดทางให้ จากนั้นพูดกับเสี่ยวอี้ว่า “มานี่ อย่าทำให้คนอื่นกลัว”
ในที่สุด บรรยากาศที่ดูกดดันก็ผ่อนคลายลง
เมื่อได้ยิน เสี่ยวอี้ก็ ‘ถือ’ กระเป๋าเดินทางและเลื้อยไปอยู่ที่ข้างๆ ของสวี่จื้ออย่างเชื่อฟัง ใช้ร่างกายส่วนหนึ่งบังร่างของสวี่จื้อเอาไว้ ราวกับผู้พิทักษ์ที่ภักดี
ที่เธออ้าปากพูด ไม่มีเหตุผลอื่นใด นอกจากเพื่อทดสอบปฏิกิริยาของอีกฝ่าย
สายตาของเสิ่นจินเหวินจับจ้องมาที่สวี่จื้อ เมื่อเธอเห็นเสี่ยวอี้เชื่อฟังคำสั่ง เธอก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าประหลาดใจ และอยากรู้อยากเห็น แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจไม่ถามอะไร และพยักหน้าเล็กน้อยเพื่อแสดงความขอบคุณ และเดินผ่านไปโดยที่ยังคงประหม่าอยู่เล็กน้อย
เธอกำลังจะออกไปข้างนอก
สวี่จื้อจ้องมองไปที่ดาบในมือของอีกฝ่าย มันไม่ใช่ดาบธรรมดา สวี่จื้อเคยเห็นมันในทีวี มันถูกเรียกว่าดาบถัง เป็นอาวุธที่คมกริบ แต่เธอก็ไม่รู้อีกฝ่ายไปเอามันมาจากไหน
สวี่จื้อมองไปอย่างเงียบๆ เธอมองดูอีกฝ่ายกำลังเดินผ่านไปอย่างประหม่า และยับยั้งชั่งใจเอาไว้
เธอสัมผัสได้ถึงความกลัวของอีกฝ่ายที่มีต่อเสี่ยวอี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนธรรมดาที่ยังมีสติอยู่
มันทำให้ความสนใจของสวี่จื้อเพิ่มขึ้น เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นคนที่มีภูมิต้านทานต่อหมอกดำนอกจากตัวเธอเอง
แล้วทำไมอีกฝ่ายถึงอยู่ที่นี่ เธอกำลังทำอะไรตอนนี้?
เธอรู้จักคนปกติธรรมดาคนอื่นๆ อีกมั้ย?
เมื่อคิดเช่นนี้ สวี่จื้อจึงเสียงเรียก ขณะที่เสิ่นจินเหวินกำลังจะก้าวออกจากตึก
เมื่อเสียงแหบแห้ง และอ่อนโยนของเด็กสาวก็ดังขึ้นในทางเดินที่เงียบสงัด แผ่นหลังของเสิ่นจินเหวินก็แข็งทื่อ
สวี่จื้อยิ้ม “พี่สาว พี่ไม่ต้องกังวลไป ฉันแค่อยากถามว่าพี่อาศัยอยู่ที่นี่งั้นเหรอ?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เสิ่นจินเหวินหันมามองสวี่จื้อแต่ไม่ได้ตอบคำถามของเธอ
ด้วยเหตุผลบางอย่าง สวี่จื้อเหมือนจะเห็นภาพซ้อนของตัวเองจากตัวอีกฝ่ายตอนที่เป็น ‘สาวน้อยผู้น่าสงสาร’ ที่ไม่กล้าพูดอะไรเมื่อมีคนมาเคาะประตูบ้าน และถามคำถาม ซึ่งค่อนข้างคล้ายกับเหตุการณ์ในตอนนี้
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ สวี่จื้อก็รู้สึกขบขันเล็กน้อย ดังนั้นเธอจึงหัวเราะเบาๆ
เธอไม่ได้เพิกเฉยต่อความสับสนในดวงตาของคู่สนทนา เธอจึงพูดต่อด้วยรอยยิ้มว่า "ฉันเพิ่งย้ายมาที่นี่ และไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรมากนัก ถ้าเราเป็นเพื่อนบ้านกัน มาแลกเปลี่ยนข้อมูลกันดีมั้ย?"
“พี่ก็รู้ ตอนนี้มันไม่ปลอดภัยมากนัก ยิ่งรู้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น”
หลังจากที่สวี่จื้อพูดจบ เธอก็แปลกใจเล็กน้อยกับทักษะทางสังคมของตัวเอง
หลังจากได้ยิน เสิ่นจินเหวินก็เงียบไปสองสามวินาที จากนั้นพยักหน้า และถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ได้ เธออาศัยอยู่ห้องไหน ฉันจะกลับมาในอีกสองชั่วโมง เธอจะมาหาฉันเองหรือจะให้ฉันไปหา”
เห็นได้ชัดว่าเธอระมัดระวังตัวมาก ดูเหมือนว่าไม่คิดจะบอกตนอาศัยอยู่ที่ไหน
สวี่จื้อยังคงดูอารมณ์ดี แต่คำพูดของเธอทำให้สีหน้าของเสิ่นจินเหวินเปลี่ยนไป
“พี่ไม่เห็นเหรอว่าตัวฉันตอนนี้เป็นยังไง การบอกคนอื่นว่าอยู่ที่ไหนนั้นจะอันตรายเป็นอย่างมาก”
สิ่งที่เธอพูดนั้นดูแปลกๆ เมื่อมีงูตัวใหญ่นอนราบอย่างเชื่อฟังบนพื้น ภาพที่เห็นจึงดูแปลกตาไม่น้อย
เสิ่นจินเหวินไม่กล้าปฏิเสธอีกต่อไป และทำได้เพียงบอกเธอว่าเธออาศัยอยู่ในห้องทางซ้ายมือบนชั้นสาม
หลังจากได้รับคำตอบ สวี่จื้อก็มองเธอด้วยรอยยิ้ม “‘งั้นอีกสองชั่วโมง ฉันไปหา”
เสิ่นจินเหวินพยักหน้าอย่างแข็งทื่อ ตอบคำทักทาย และจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
หลังจากที่เธอจากไป สวี่จื้อก็นั่งเงียบๆ อยู่พักหนึ่ง เธอยังคงคิดถึงสิ่งที่เธอเพิ่งทำไป นี่เป็นครั้งแรกที่เธอทำตามความต้องการของตัวเอง และพูดในสิ่งที่เธอต้องการพูด มันให้ความรู้สึกแปลกใหม่
แม้ว่าส่วนหนึ่งจะเป็นเพราะเสี่ยวอี้ที่กดดันอยู่ข้างๆ แต่สวี่จื้อกลับชอบความรู้สึกนี้ เธอเริ่มไตร่ตรอง และรู้สึกว่าหมอกเริ่มส่งผลกระทบต่อตัวเธอ และทำให้เธอกลายเป็นคนหยิ่งผยอง และอาจจะมากยิ่งกว่านี้ในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นยังไง ทุกอย่างก็ยังไม่แน่นอน แม้วันนี้เธอจะข่มขู่อีกฝ่ายได้ แต่พรุ่งนี้ก็อาจจะยังไม่แน่ เธอจึงต้องการแฟมิเลียที่แข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อที่ตัวเธอเองจะได้แข็งแกร่งขึ้นตามไปด้วย
ส่วนเรื่องที่ว่าอีกฝ่ายจะหนีไปหรือไม่นั้น สวี่จื้อไม่สนใจมากนัก เธอมั่นใจว่าน่าจะมีคนธรรมดาที่ยังมีสติเหลืออยู่อีกในเมืองนี้