ก่อตั้งองค์กรมือสังหารในโลกบำเพ็ญเพียร ตอนที่ 43 ขึ้นครองบัลลังก์
ก่อตั้งองค์กรมือสังหารในโลกบำเพ็ญเพียร ตอนที่ 43 ขึ้นครองบัลลังก์
ก่อนที่พวกเขาจะถามว่าราชวงศ์ราชันซุ่ยหยวนควรทำเช่นไร
สวี่หยาเซิงกลับเป็นผู้เอ่ยวาจาที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
“บัดนี้ราชวงศ์ที่โฉดเขลาถูกสังหารแล้ว ตระกูลฟางและตระกูลหลิวสองตระกูลใหญ่ที่เป็นดั่งมะเร็งร้ายก็ถูกกำจัดเช่นกัน ข้า สวี่หยาเซิง ตัดสินใจที่จะดูแลกิจการทั้งหมดของราชวงศ์ชั่วคราว และศาลาสังหารโลหิตที่เป็นผู้มีคุณูปการในการกวาดล้างสามตระกูลใหญ่จะเข้ารับตำแหน่งผู้ตรวจการของราชวงศ์……”
เมื่อสิ้นเสียง ทุกคนต่างก็ตกตะลึง!
“กระไรกัน? ศาลาสังหารโลหิต? ผู้มีคุณูปการ? ข้าไม่ได้หูฝาดไปใช่หรือไม่!”
“รับตำแหน่งผู้ตรวจการ? ศาลาสังหารโลหิตเป็นปีศาจกระหายเลือด สังหารผู้คนอย่างไร้ความปราณี การที่พวกเขาไม่สังหารพวกเราก็นับว่าโชคดีแล้ว”
“จบสิ้นแล้ว ดูเหมือนว่าแม้แต่ท่านสวี่ผู้ยิ่งใหญ่ก็ยังคงเข้าร่วมศาลาสังหารโลหิต”
“.......”
เหล่าขุนนางผู้มีอำนาจต่างก็หวาดกลัว
ในสายตาของพวกเขา ศาลาสังหารโลหิตเป็นดั่งยมทูตที่มาทวงชีวิตพวกเขา
การให้ขุมอำนาจชั่วร้ายเช่นนี้รับตำแหน่งผู้ตรวจการ ก็ไม่ต่างจากการบีบบังคับให้พวกเขาต้องตาย
ไม่นานนัก
ชายชราผู้หนึ่งสวมชุดคลุมสีแดงสด เดินออกมาจากฝูงชน มองไปยังสวี่หยาเซิงที่อยู่บนท้องฟ้าด้วยสายตาที่เฉียบคม
“อัครมหาเสนาบดีหวัง เจ้ามีข้อโต้แย้งหรือ?”
สวี่หยาเซิงก้มหน้าลง มองไปยังชายชราผู้นั้นด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่ง
ชายชราผู้สวมชุดคลุมสีแดงสดผู้นี้มีนามว่า หวังเฉินเฟิง เป็นอัครมหาเสนาบดีแห่งราชวงศ์ราชันซุ่ยหยวน เป็นสหายสนิทกับซุ่ยปิงซาง
และเป็นขุมอำนาจที่สี่ในราชสำนัก นอกเหนือจากตระกูลฟาง ตระกูลหลิว และราชวงศ์ นั่นก็คือตระกูลหวัง
แม้ว่าจะเป็นขุมอำนาจที่สี่ แต่เมื่อเทียบกับสามตระกูลใหญ่ ตระกูลหวังยังคงด้อยกว่า
ดังนั้นในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ตระกูลหวังจึงเลือกที่จะเป็นพันธมิตรกับราชวงศ์
กล่าวอย่างตรงไปตรงมาก็คือสุนัขรับใช้
“ข้อโต้แย้งหรือ? ข้าเพียงแค่ต้องการถามเจ้า การที่เจ้าให้ศาลาสังหารโลหิตที่สังหารฝ่าบาทรับตำแหน่งผู้ตรวจการ เจ้าคิดอันใดอยู่!”
หวังเฉินเฟิงชี้นิ้วไปยังสวี่หยาเซิง ตะโกนเสียงดัง
สวี่หยาเซิงไม่ตอบคำถาม เพียงแต่กล่าวว่า “เช่นนั้น อัครมหาเสนาบดีคิดว่า……”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าที่แก่ชราของหวังเฉินเฟิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ดวงตาทั้งสองข้างหรี่ลง แววตาที่เฉียบคมปรากฏขึ้น
จากนั้นเขาหันหลังกลับอย่างช้า ๆ มองไปยังทุกคน “ทุกคนรู้ดีว่าองค์ชายใหญ่ได้หายตัวไปอย่างลึกลับเมื่อหลายปีก่อน ตอนนี้องค์ชายคนอื่น ๆ ยังคงเยาว์วัยเกินไป ไม่สามารถรับภาระอันหนักอึ้งในการดูแลราชวงศ์ได้ ดังนั้นข้าจึงขออาสาที่จะรับตำแหน่งฝ่าบาทชั่วคราว”
“ส่วนผู้ตรวจการสวี่ ข้าคิดว่าเจ้าควรจะทำหน้าที่ของเจ้าต่อไป ท้ายที่สุดแล้วราชสำนักขาดเจ้าไม่ได้”
หวังเฉินเฟิงยิ้มให้สวี่หยาเซิง
เมื่อสิ้นเสียง ผู้คนมากมายต่างก็กล่าวว่า “ข้าคิดว่าคำพูดของท่านอัครมหาเสนาบดีถูกต้อง”
“การให้ศาลาสังหารโลหิตมารับตำแหน่งผู้ตรวจการ เว้นแต่จะเป็นคนบ้า มิเช่นนั้นคงไม่มีผู้ใดทำเช่นนี้”
“ข้าเห็นด้วยกับท่านอัครมหาเสนาบดี”
ขุนนางและเศรษฐีเกือบแปดส่วนต่างก็แสดงท่าที สนับสนุนหวังเฉินเฟิง
หวังเฉินเฟิงมองไปยังสวี่หยาเซิง “ผู้ตรวจการสวี่ ท่านคิดว่าข้อเสนอนี้เป็นเช่นไร?”
ทว่าในวินาทีถัดมา มุมปากของสวี่หยาเซิงยกขึ้นเล็กน้อย
“อัครมหาเสนาบดีหวัง ดูเหมือนว่าg0hkจะเป็นสุนัขรับใช้ของราชวงศ์มานาน จนกระทั่งคิดที่จะเป็นเจ้านายเสียเอง”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังเฉินเฟิงกล่าวด้วยความโกรธ “เจ้ากล่าวอันใด!”
ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็ซีดเผือด หยาดเหงื่อเย็นไหลรินลงมาที่แก้ม
เงาร่างของสวี่หยาเซิงปรากฏขึ้นเบื้องหน้าหวังเฉินเฟิง
ดวงตาทั้งสองข้างเย็นชา กลิ่นอายระดับบำรุงจิตสองชั้นฟ้ากดขี่หวังเฉินเฟิงจนแทบหายใจไม่ออก
“เจ้… เจ้า… หมายความว่าอย่างไร?”
หวังเฉินเฟิงรู้สึกราวกับตกอยู่ในนรก น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
สาเหตุที่เขากล้ากล่าวเช่นนี้กับสวี่หยาเซิงที่เป็นถึงผู้บำเพ็ญระดับบำรุงจิต ก็เพราะเขารู้จักนิสัยของสวี่หยาเซิงเป็นอย่างดี
ตามหลักเหตุผลแล้ว สวี่หยาเซิงควรจะยอมรับข้อเสนอของเขา
เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้
สวี่หยาเซิงไม่ลงมือ เพียงแต่หยิบสมุดเล่มเล็กสีแดงเลือดออกมาจากอกเสื้อ
โยนไปที่ใบหน้าของหวังเฉินเฟิง “อัครมหาเสนาบดี g0hkรู้จักสิ่งนี้หรือไม่”
“นี่… นี่คือ……”
หวังเฉินเฟิงหยิบสมุดเล่มนั้นขึ้นมา เปิดอ่านอยู่ครู่หนึ่ง
ร่างกายของเขาก็เริ่มสั่นเทา
“เจ้… เจ้… เจ้า……”
หวังเฉินเฟิงมองดูสวี่หยาเซิงด้วยความหวาดกลัว
สวี่หยาเซิงมีสีหน้าเย็นชา กล่าวด้วยน้ำเสียงที่น่ากลัว “หวังเฉินเฟิง ในระหว่างที่เจ้าดำรงตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี เจ้าได้ยักยอกเงินจำนวนหนึ่งร้อยยี่สิบล้านตำลึงเงิน และหินวิญญาณระดับต่ำอีกห้าหมื่นก้อน ปกปิดความผิดของบุตรชายสามคนที่สังหารผู้คน และ……”
ทุกข้อกล่าวหาที่ถูกเปิดเผย ทำให้เหล่าขุนนางที่อยู่โดยรอบตกตะลึง
“ความผิดของเจ้ามากมายมหาศาล ตามกฎหมายของราชวงศ์ราชันซุ่ยหยวน เจ้าต้องถูกประหาร!”
“ประเดี๋ยวก่อน… นี่ต้องเป็นการใส่ร้าย……”
หวังเฉินเฟิงยังไม่ทันกล่าวจบ
ทุกสิ่งทุกอย่างรอบกายก็เริ่มต้นหมุนอย่างรวดเร็ว
ศีรษะของเขาถูกตัดขาด ตกลงบนพื้น
หลังจากจัดการหวังเฉินเฟิงแล้ว สวี่หยาเซิงจึงหันไปมองเหล่าขุนนางและเศรษฐีที่อยู่โดยรอบ
เมื่อถูกสายตาของสวี่หยาเซิงจ้องมอง ผู้คนมากมายที่ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญ ต่างก็หวาดกลัว
รีบคุกเข่าลง โขกศีรษะกับพื้น “ข้าขอคารวะองค์จักรพรรดิคนใหม่”
เมื่อมีเสียงแรก ก็มีเสียงที่สอง เสียงมากมายดังขึ้นจากทุกสารทิศ
“ข้าขอคารวะองค์จักรพรรดิคนใหม่”
“ข้าขอ……”
สวี่หยาเซิงได้ยินเช่นนั้น ไม่ได้แสดงท่าทีดีใจ
ตรงกันข้าม เขากลับขมวดคิ้ว ดวงตาทั้งสองข้างเย็นชา
ตอนนี้เขาได้เห็นความเสื่อมโทรมของราชสำนักอย่างแท้จริง
เหล่าขุนนางล้วนเป็นคนขี้ขลาดและเห็นแก่ตัว
ขุนนางเช่นนี้จะมีประโยชน์อันใด
สวี่หยาเซิงโบกมือขวา
มือสังหารระดับมนุษย์ชั้นเอกแห่งศาลาสังหารโลหิตมากมายปรากฏตัวขึ้นจากทุกสารทิศ
“มือสังหารศาลาสังหารโลหิต! พวกเขามาที่นี่ได้อย่างไร?”
“ไม่อยากตายก็อย่าพูดมาก เห็นหรือไม่ว่าอัครมหาเสนาบดีหวังตายอย่างไร”
“ใช่แล้ว ตราบใดที่พวกเรารับใช้ท่านสวี่ผู้ยิ่งใหญ่ ราชวงศ์ก็ยังคงเป็นของพวกเรา”
ขุนนางระดับผู้ว่าราชการเขตหลายคนที่กำลังพูดคุยกันอยู่
ก็มีมือสังหารศาลาสังหารโลหิตคนหนึ่งเดินเข้ามาหาพวกเขา
“รองผู้ว่าราชการมณฑลซี เสี่ยวจุนเซิน รองผู้ว่าราชการมณฑลเป่ย กัวฮ่วนเฉิง รองผู้ว่าราชการมณฑลหนาน เจิ้งหลิวซิง พวกท่านทั้งสามใช่หรือไม่”
มือสังหารกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ใช่”
“ไม่ทราบว่าท่านผู้ยิ่งใหญ่แห่งศาลาสังหารโลหิตมีเรื่องอันใด”
มือสังหารมองดูภาพวาดในมือ จากนั้นจึงมองไปยังคนทั้งสามอีกครั้ง